สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 22 ของกำนัลจากฮ่องเต้องค์ก่อน

     รถม้าค่อนข้างสูง ดูเหมือนว่าพ่อบ้านไม่ได้คำนึงถึงความสะดวกสบายของซูจิ่นซีเสียเลย เก้าอี้ขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้ก็ค่อนข้างเตี้ย ซูจิ่นซีปีนขึ้นไปบนรถม้าด้วยความยากลำบาก

        ภายในรถกว้างมาก เครื่องเรือนหรูหราครบครัน ซูจิ่นซีถอนหายใจในความฟุ่มเฟือยของตระกูลผู้ดีในสมัยโบราณ นางก้มหัวเข้าไปนั่งตรงขอบ ชิดในรถม้า พยายามอยู่ห่างจากเยี่ยโยวเหยา

        เยี่ยโยวเหยาถือตำราอยู่ตลอดทาง สีหน้าดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ซูจิ่นซีนั่งในรถอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าพูดอันใดสักคำ หรือแม้แต่จะขยับตัวก็ยังไม่กล้า

        รัศมีของบุรุษผู้นี้ช่างอาฆาตมาดร้ายยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่บัดนี้ก็ยังหาคู่ครองไม่ได้ ติดปัญหาตรงนิสัยสิท่า!

        ซูจิ่นซีแอบถอนหายใจ

        ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว เสียงองครักษ์ดังมาจากด้านนอก “ท่านอ๋อง พวกเราถึงถนนใหญ่หนานย่วนเป็นที่เรียบร้อยและด้านหน้าก็จะเป็นหนานย่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

        เยี่ยโยวเหยายังคงก้มหน้าอ่านหนังสือ ไม่เงยหน้าขึ้นมาตอบรับแต่อย่างใด

        ทว่าองครักษ์ด้านนอกเหมือนว่าจะไม่รอคำตอบจากเยี่ยโยวเหยาเช่นเดียวกัน

        มือคู่เล็กๆ ของซูจิ่นซีจับที่แขนเสื้อไว้แน่น ฝ่ามือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ

        ไม่ใช่เพราะว่าตื่นเต้นที่จะได้เจอกับเฉินไท่เฟย ทว่าระหว่างทางนางตกใจจากความกดดันที่มองไม่เห็นบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยา ถึงหนานย่วนเสียที ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นแล้ว ซูจิ่นซีสูดหายใจลึกๆ

        ไม่ทราบว่าเกิดเหตุใดขึ้น ม้าที่ขับเคลื่อนรถด้านนอก ตกใจร้องเสียงดังออกมา ฉับพลันหลังจากนั้นรถม้าที่เคลื่อนมาด้วยความมั่นคงก็ขยับอย่างอันตรายขึ้นมาพักหนึ่ง จากนั้นจึงวิ่งเตลิดไปอย่างบ้าคลั่ง

        ซูจิ่นซีที่อยู่ภายในรถม้าตรงขอบประตูเริ่มนั่งไม่มั่นคง ทันใดนั้นก็ถูกเหวี่ยงไปทางเยี่ยโยวเหยา

        รถม้าจะว่าเล็กก็ไม่เล็กจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาไม่ทันที่จะหลบ เท้าของซูจิ่นซีก็ไปโขกกับขาตั้งโต๊ะเล็กในรถม้า ทันใดก็เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดขึ้นมา นางเองก็ไม่อาจทราบได้ว่าภายใต้มือของนางนั้นจับอะไรไว้อยู่ มันนุ่มๆ ตามสัญชาตญาณนางจึงบีบแรงๆ แล้วร้อง “อุ๊ย!” นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเยี่ยโยวเหยากระตุกขึ้นอย่างกะทันหันภายใต้น้ำหนักมือของนาง ทว่าในความตื่นตระหนกนั้นนางเองก็ไม่ได้ใส่ใจอันใดมากนัก

        ผ่านไปครู่หนึ่ง ม้าตัวที่ได้รับความตกใจถูกเหล่าองครักษ์จับกุมตัวไว้

        ซูจิ่นซีพบว่าตนเองนอนอยู่บนร่างของเยี่ยโยวเหยา หัวคิ้วผูกเป็นปมแน่น

        “ท่านอ๋อง เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้ตั้งใจ… ข้า… ”

        อ่ะ!…ขณะที่ซูจิ่นซีอธิบายอย่างจริงจังนั้น ดูเหมือนว่าท่าทางของท่านอ๋องจะแปลกไป ไม่เพียงเท่านั้นตัวของเขาตั้งตรงราวกับเสาไม้ ดูท่าทางเครียดเกร็ง นางดูไม่ผิดหรอกกระมัง? ท่านอ๋องผู้มีนิสัยบ้าคลั่ง คาดไม่ถึงว่าจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้

        ทันใดนั้นก็เกิดเสียง “ตูม!” ขึ้นมาในใจ ซูจิ่นซีดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นางค่อยๆ ก้มศีรษะมองลงไปยังมือที่นางสัมผัสกับวัตถุอันอ่อนนุ่ม ทันใดนั้นก็เห็นว่ามือของนางจับที่ส่วนล่างของเยี่ยโยวเหยา

        “ว้าย!… ”

        ซูจิ่นซีไม่ทันที่จะหน้าแดงหรือแสดงปฏิกิริยาอะไร ในวินาทีต่อมานางก็ถูกเยี่ยโยวเหยาคว้าขึ้นมาด้วยความโทสะและจับนางโยนทิ้งออกไปนอกรถ

        ซูจิ่นซีถูกโยนลงพื้นเหมือนสุนัขที่กำลังกินอุจจาระ [1] นางทั้งสั่นทั้งเจ็บไปทั่วร่างกาย ทว่านางกลับไม่กล้าที่จะบ่นแม้แต่น้อย เมื่อนึกถึงมือไม่รักดีที่ไปกอบกุมสิ่งนั้นเข้า พอกลับมาคิดดูอีกครั้งถึงลักษณะที่เดือดดาลไม่เป็นตัวเองของเยี่ยโยวเหยานั้น แท้จริงคือฝันร้ายของนางยิ่งนัก

        “อ้าว! เหตุใดพระชายาของโยวอ๋องจึงตกลงมาจากรถม้าเช่นนี้เล่าพ่ะย่ะค่ะ? ”

        “ประเพณีธรรมเนียมของพระชายาโยวอ๋องไม่เหมือนผู้ใดเสียจริง น่าเสียดายที่เฉินไท่เฟยยังไม่ออกมา! ”

        “ใช่แล้ว คุณหนูเจ็ดแห่งสกุลซูช่างไม่เหมือนกับผู้อื่นเอาเสียเลย! ”

        ประตูหนานย่วนเต็มไปด้วยฝูงชน ผู้คนต่างพากันชี้นิ้วและหัวเราะเยาะ

        “พระชายา พระองค์ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”

        องครักษ์นายหนึ่งก้าวเข้ามาดูอาการซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีปวดจนรอยย่นขึ้นบนใบหน้า พยุงตนลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก นางฝืนยิ้มหลังจากสำรวจตนเองว่าไม่ได้แขนขาหักแต่อย่างใด “ไม่เป็นไร ไม่ตายหรอก! ”

        ทว่าคำพูดนี้ทำให้หน้าขององครักษ์ถึงกับกระตุกอย่างรุนแรง ลักษณะที่พระชายาพูด เหตุใดช่างต่างจากผู้อื่นยิ่งนัก

        หลังจากที่ซูจิ่นซีลุกขึ้นยืนนิ่งแล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างมากดังขึ้นมา

        “ตายจริง! พี่สะใภ้ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว นี่เป็นสุนัขที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้มอบไว้ให้เสด็จป้า คาดไม่ถึงว่ารถม้าของเสด็จพี่… เหยียบมันตายเสียแล้ว! ”

        เป็นเว่ยเหม่ยเจีย

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและหันตัวกลับมา มองไปตามสายตาที่ตกใจของเว่ยเหม่ยเจีย จึงได้เห็นสุนัขสีขาวราวหิมะนอนอยู่ตรงรถม้าที่วิ่งผ่านไป ขนของสุนัขนั้นเปื้อนเลือด นอนตะแคงตัวสั่นไปหมด ดูแล้วคงจะอยู่ได้อีกไม่นานนัก

        “ตายจริง! เดิมทีมันเป็นตัวแทนความรักระหว่างฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับองค์ไท่เฟยหรือ? ไม่แปลกใจเลยที่มันดูแตกต่างไปจากสุนัขตัวอื่นๆ ”

        “พระชายาโยวอ๋อง ท่านเป็นผู้ทำให้เกิดเรื่องใหญ่นี้ขึ้น หม่อมฉันได้ยินมาว่าเฉินไท่เฟยรักลูกสุนัขตัวนี้อย่างยิ่ง”

        “เหยียบประตูของพระมารดาโยวอ๋องวันแรกก็ก่อเรื่องเสียแล้ว ดูเหมือนว่าหลังจากนี้พระชายาโยวอ๋องจะไม่มีชีวิตที่ดีในเขตพระราชฐานแห่งนี้เป็นแน่”

        “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ? เป็นนกกระจอกบินตามกิ่งไม้ดีๆ คิดอยากขึ้นมาเป็นหงส์ มีเรื่องง่ายเช่นนี้ที่ใดกัน? ยิ่งกว่านั้นที่ผ่านมาพระชายาโยวอ๋องก็เป็นเพียงคนโง่ผู้หนึ่ง”

        “ข้าว่านะ บางทีเด็กโง่สกุลซูนี่อาจเป็นหายนะก็เป็นได้ ก่อนหน้านี้อยู่ที่จวนสกุลซูก็ทำให้แม่แท้ๆ ต้องตาย ครานี้พอมาอยู่ที่ตำหนักของพระสวามีก็มาขวางความเจริญอีก มิเช่นนั้นเมื่อเช้านี้สุนัขของเฉินไท่เฟยยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดถึงถูกเหยียบตายได้เล่า? ”

        “อ๊ะ! เรื่องนี้เจ้าจะพูดจาส่งเดชไม่ได้ คนที่เจ้าพูดถึงอยู่คือพระชายาโยวอ๋อง พูดเช่นนี้คงอยากถูกตัดหัวกุดใช่หรือไม่!”

        มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นในฝูงชน ซูจิ่นซียืนกำหมัดแน่น

        เว่ยเหม่ยเจียพอใจเป็นอย่างมากกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนในตอนนี้ นางเดินไปด้านข้างของซูจิ่นซี “พี่สะใภ้เพคะ ท่านอย่าไปฟังพวกเขาเลย เรื่องไร้สาระทั้งนั้น ข้าจะกลับมาลงโทษพวกเขาทีหลังอย่างแน่นอน”

        เสียงของเว่ยเหม่ยเจียไม่ดังมาก ทว่าก็ทำให้ผู้คนที่พึ่งพูดถึงเรื่องนี้ได้ยิน ทุกคนต่างพากันแสดงสีหน้าตกใจ ไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงคนโง่ของสกุลซูว่าแท้จริงอาจเป็นฆาตกร

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและเหลือบมองไปยังเว่ยเหม่ยเจีย เหตุใดนางจึงมองไม่ออกถึงวิธียกยอปอปั้นเช่นนี้ นางไม่สนใจเว่ยเหม่ยเจียอีกต่อไป ซูจิ่นซีเดินไปด้านข้างเจ้าสุนัขสีขาวและตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

        ขณะที่นางกำลังดูว่ามีผู้ใดที่พอจะช่วยเหลือได้บ้างหรือไม่ รถม้าที่เพิ่งขับฝ่าไปด้วยความโกลาหลก็แล่นมาเหยียบหน้าอกของสุนัขด้วยเท้าข้างเดียว บัดนี้แม้จะเป็นเทพยดาเซียนต้าลัวที่ไม่อาจเยียวยาให้ชีวิตหวนคืนกลับมาได้อีก

        เว่ยเหม่ยเจียยิ้มมุมปากอย่างมีชัย นางเดินกลับไปทางซูจิ่นซีอีกครั้ง “พี่สะใภ้ไม่ต้องกังวลไปหรอกเพคะ ก็แค่สุนัขตัวหนึ่งตายเท่านั้น เพียงขออภัยโทษจากเสด็จป้า แน่นอนว่าเสด็จป้าจะต้องอภัยให้ท่านเป็นแน่ อีกอย่างตอนนี้ท่านอยู่ในสถานะใด? เป็นถึงพระชายาโยวอ๋อง! เป็นลูกสะใภ้ของเสด็จป้า เทียบกับสุนัขสักตัวไม่ได้เลยหรือ? ”

        ซูจิ่นซีอดใจไม่ไหวอยากจะฉีกปากเว่ยเหม่ยเจียจากนั้นก็เย็บปิดกลับไป

        นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สตรีเจ้าเล่ห์เพทุบายเสียแล้ว ทั้งยังเป็นดอกบัวขาว [2] และเป็นดอกบัวขาวที่ร้ายเดียงสาเสียด้วย!

        นี่มันเป็นเพียงเรื่องธรรมดาสำหรับการตายของสุนัขตัวหนึ่งหรือ?

        ทุกคนในที่นี้มีใครไม่ทราบบ้างว่านี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนฝากไว้ให้เฉินไท่เฟย เฉินไท่เฟยสามารถไว้ชีวิตนาง เพียงเพราะว่านางคือพระชายาโยวอ๋องอย่างนั้นหรือ?

        เว่ยเหม่ยเจีย พูดต่อหน้าผู้คน ว่าความจริงแล้วซูจิ่นซีเทียบไม่ได้แม้แต่สุนัข!

        ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นไปมองฝูงชน กลับมองเห็นว่าสีหน้าของทุกคนต่างแสดงออกว่า ‘ไม่คิดว่าเฉินไท่เฟยจะปล่อยนางไปง่ายๆ แน่นอน’

        แม้ว่ารอยยิ้มของเว่ยเหม่ยเจียจะยิ้มอย่างเป็นมิตร ทว่าภายในใจของนางยังคงยินดีเมื่อซูจิ่นซีประสบเคราะห์มีโชคร้ายและถูกผู้อื่นต่อว่าไปไม่น้อย

        ซูจิ่นซี เจ้ามันคนสารเลว มาดูกันว่าเจ้าจะอวดดีถึงเพียงใด

        เหล่าองครักษ์ที่ติดตามตัวต่างกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์ของซูจิ่นซีในขณะนี้

        พวกเขามองย้อนกลับไปที่รถม้า ทว่าผ้าม่านของรถม้าไม่ได้ขยับ ไม่อาจทราบได้ว่าท่านอ๋องของพวกเขากำลังนึกอะไรอยู่ เหตุใดถึงยังไม่ลงมา

        เรื่องนี้พระชายาไม่ควรต้องแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียวกระมัง? หากต้องการจะกล่าวโทษผู้ใด ท่านอ๋องและองครักษ์ที่มีหน้าที่ขับรถก็ต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ด้วย

        ถ้าหากท่านอ๋องยอมออกมา เรื่องก็จะไม่ลำบากเพียงนี้

        ตอนนี้ซูจิ่นซีได้แต่มองย้อนไปที่รถม้า เมื่อตระหนักได้ว่าเยี่ยโยวเหยาเป็นคนปล่อยให้นางต้องมาเจอกับเรื่องนี้อยู่ผู้เดียว นางจึงลืมเรื่องที่ก่อนหน้านี้ในรถม้าตนเองทำอันใดกับเยี่ยโยวเหยาไปเสียแล้ว

        ในใจได้แต่คิดสาปแช่ง

        เหอะ! ข้าเป็นผู้มาใหม่ในโลกใบนี้แต่ก็ไม่ใช่แมวป่วย [3] มิใช่ว่าทุกคนอยากพูดอย่างไรก็พูดได้

        เว่ยเหม่ยเจียมองดูสีหน้าท่าทางขององครักษ์และซูจิ่นซีที่มองเข้าไปในรถม้า ทันใดนั้นก็นึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหายไป

        ตามมาด้วยใบหน้าที่สวยงามของซูจิ่นซีที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาจ้องไปที่เว่ยเหม่ยเจีย

        “น้องสามี สุนัขของไท่เฟยถูกเหยียบตาย ข้าก็เสียใจมากเช่นกัน ทว่าผลของเรื่องนี้ดูจากภายนอกแล้วไม่ควรเป็นความผิดของข้าแต่เพียงผู้เดียว มิเช่นนั้นเจ้าลองถามความเห็นเสด็จพี่ของเจ้าเสียสิ? ”

        พูดแล้วนิ้วเรียวขาวผ่องก็ชี้ไปยังรถม้าที่ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปที่ใด

        เหตุใดกัน?

        เสด็จพี่ก็มากับนังโง่นี่ด้วยหรือ?

        แต่ว่าเสด็จป้าเรียกนังโง่นี่มาเข้าพบเพียงผู้เดียวนี่!

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset