สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 24 ภูตผีปีศาจ เจ้าพอได้แล้ว

     เว่ยเหม่ยเจียที่เพิ่งเข้ามาจากด้านนอก ก็ได้ยินการสนทนาระหว่างเฉินไท่เฟยกับซูจิ่นซี และยังได้ยินอีกว่าท่านอ๋องเยี่ยโยวเหยากำลังจะยอมรับความผิด เฉินไท่เฟยยังไม่ทราบข่าวถึงการเปลี่ยนแปลงที่หน้าประตู เมื่อทราบเรื่องแล้วเว่ยเหม่ยเจียจึงรีบวิ่งเข้าไปข้างหน้าเยี่ยโยวเหยา นางดึงที่แขนของเฉินไท่เฟยแล้วขยิบตาให้

        “เสด็จป้า ดูท่านสิเพคะ เว่ยเหม่ยเจียความจำไม่ดี เหตุใดท่านถึงสับสนผิดไปกับเว่ยเหม่ยเจียด้วยเล่า สุนัขที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานไว้ให้ท่านนั้นความจริงแล้วมันแก่ตายไปเมื่อห้าปีก่อน ที่เพิ่งตายไปเมื่อครู่ตรงหน้าประตู มันคือลูกที่เกิดมาจากสุนัขที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานไว้ให้ท่านมิใช่หรือเพคะ! ”

        เมื่อเยี่ยโยวเหยาปรากฏตัวขึ้น เฉินไท่เฟยจึงทราบทันทีว่าดูท่าจะไม่ดีเสียแล้ว นางขยิบตาให้เว่ยเหม่ยเจีย จะเป็นไปได้อย่างไรที่เว่ยเหม่ยเจียจะไม่เข้าใจว่าเสด็จป้ากำลังให้นางหาแผนขั้นต่อไปให้กับตนเอง

        ดูเหมือนว่านังทึ่มสกุลซูจะเป็นไปตามข่าวลือเช่นนั้นจริงๆ กลายเป็นตัวแสดงที่โหดร้ายเสียแล้ว

        ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องใช้วิธีที่ไม่ธรรมดารับมือกับผู้ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

        เฉินไท่เฟยระงับความโกรธภายในใจของนางพร้อมกุมขมับ “โอ้ย! เหม่ยเจียเจ้าพูดถูก ป้าสับสนเสียแล้วจริงๆ สินะ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสวรรคต ป้าระลึกถึงพระองค์มากเหลือเกิน! ”

        เฉินไท่เฟยพูดพร้อมกับหยิบผ้าแพรขึ้นมาปาดน้ำตาบริเวณหางตา

        “เสด็จป้าเพคะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็ทรงยกโทษให้พี่สะใภ้เสียเถิด! เหม่ยเจียเฝ้าดูอยู่ที่ประตูตกใจยิ่งนักเมื่อรถม้าเกิดเสียการควบคุม รถม้าของพี่สะใภ้จึงเหยียบสุนัขที่ท่านป้ารักตายอย่างไม่ตั้งใจนะเพคะ”

        เฉินไท่เฟยเป็นคนฉลาด ตาของนางเหลือบมองที่เสื้อผ้าสีดำของเยี่ยโยวเหยา เพิ่งนึกได้ว่าเยี่ยโยวเหยาก็มาด้วย ซูจิ่นซีไม่ได้นั่งอยู่ในรถเพียงผู้เดียว ไม่ง่ายเลยที่จะฆ่าซูจิ่นซีด้วยวิธีนี้ ทำได้เพียงแค่ยกเลิกมันไป

        “ในเมื่อเหม่ยเจียขอร้อง ป้าก็จะไม่ไต่ถามเรื่องราวในเวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ซูจิ่นซีก็เป็นภรรยาเสด็จพี่ของเจ้า นางจะเทียบกับสัตว์ชั้นต่ำได้อย่างไรกัน? ”

        เฉินไท่เฟยจงใจพูดเน้นประโยคสุดท้ายอย่างแดกดัน ฟังจากภายนอกดูเหมือนไม่มีอันใด ทว่าฟังอย่างไรก็ทำให้คนฟังรู้สึกไม่สบายใจได้อยู่ดี

        ความหมายของเฉินไท่เฟยคือการด่าซูจิ่นซีว่าเมื่อเปรียบกันแล้ว นางก็ยังไม่เทียบเท่ากับสัตว์ชั้นต่ำเลย!

        ซูจิ่นซีได้แต่ก่นด่าอยู่ภายในใจ หากความแค้นนี้นางไม่เอาคืน ก็ไม่ใช่ผู้ที่ใช้แซ่ซูเป็นแน่

        “ขอบพระทัยเพคะเสด็จป้า! ” เว่ยเหม่ยเจียกล่าวขอบคุณน้ำเสียงไพเราะ นางเดินไปด้านข้างซูจิ่นซีอีกครั้ง พร้อมดึงแขนซูจิ่นซี “พี่สะใภ้ อย่ามัวแต่ยืนอยู่เลย ท่านรีบเข้ามาเถิดเพคะ ในที่นี้ล้วนเป็นครอบครัวของท่านเอง มาทำความคุ้นเคยและไม่ต้องเกรงใจนะเพคะ! ”

        เมื่อกล่าวจบ เว่ยเหม่ยเจียก็มองไปยังซูจิ่นซีอีกครั้งแล้วขยิบตาพูดเสียงต่ำ “พี่สะใภ้อย่าถือสาเลยนะเพคะ แม้ว่าเสด็จป้าจะเป็นคนพูดจาโผงผาง ทว่าท่านก็ใจดีกับพี่สะใภ้นะเพคะ! ”

        เว่ยเหม่ยเจียพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดูเหมือนว่าจะพูดให้ซูจิ่นซีฟังเพียงผู้เดียว ทว่าผู้คนบริเวณนั้นต่างก็สามารถได้ยิน

        ผู้คนต่างพยักหน้าชื่นชมเว่ยเหม่ยเจียครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะเฉินไท่เฟยที่เวลามองซูจิ่นซี จะแสดงสีหน้าราวกับภูตผีปีศาจ ทว่าเมื่อมองเว่ยเหม่ยเจีย นางกลับยิ้มดั่งดอกไม้บาน ราวกับเว่ยเหม่ยเจียเป็นลูกสะใภ้อย่างไรอย่างนั้น

        เว่ยเหม่ยเจียช่างเป็นน้ำมันที่ไหลลื่นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนเสียจริง

        ทำตนให้โดดเด่นเช่นนี้ ช่างดูคล้ายกับนิสัยของซูจิ่นซีตอนเด็กๆ เสียจริง

        ซูจิ่นซีกัดฟันอย่างขมขื่นในใจ ทันใดนั้นก็คิดแผนการได้ นางก้าวเท้าไปด้านหน้าและล้มลงบนร่างของเว่ยเหม่ยเจียราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจ

        เว่ยเหม่ยเจียรีบประคองซูจิ่นซีโดยทันที

        “พี่สะใภ้ เป็นอันใดหรือไม่เพคะ? ”

        ซูจิ่นซีจับไปที่หน้าผาก นางใช้หางตาเหลือบมองไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างเขินอาย ลดเสียงต่ำลงเพื่อให้มีเว่ยเหม่ยเจียเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะได้ยินอย่างชัดเจน “ข้ายังไม่ได้ตำหนิท่านพี่ของเจ้าเลย ข้าบอกว่าวันนี้อยากพบเสด็จแม่ บอกว่าไม่เอาๆ เขาก็จะเอาแต่ใจเสียให้ได้จนข้าไม่ได้นอนทั้งคืน เอวของข้ายังเจ็บอยู่เลย”

        ใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางมองที่เยี่ยโยวเหยาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ในเวลาเดียวกันก็ไม่ทราบว่าซูจิ่นซีตั้งใจหรือว่ายืนไม่อยู่จริงๆ เมื่อระหว่างที่เว่ยเหม่ยเจียปล่อยมือ ร่างของซูจิ่นซีก็ร่วงลงบนพื้นทันที

        เมื่อมองไปทางทุกคน เหมือนว่าซูจิ่นซียืนไม่มั่นคงจริงๆ เสียแล้ว ทว่าเว่ยเหม่ยเจียกลับปล่อยมือโดยตั้งใจจึงทำให้ซูจิ่นซีล้มลง

        ทักษะการแสดงของซูจิ่นซีนั้นดีไม่น้อย การเล่นละครของนางได้คะแนนเต็ม ทันทีที่นางล้มลงบนพื้น นางก็ยื่นมือไปทางเยี่ยโยวเหยา“โอ้ย! ข้าปวดมากเหลือเกิน! ท่านอ๋อง เป็นข้าเองที่ตั้งตัวไม่ทัน จะโทษน้องสาวไม่ได้ ท่านอย่าโทษนางเลยเพคะ”

        กระทำมาแบบใดก็ต้องได้รับผลกลับไปเช่นนั้น

        ไม่ทราบว่าเกิดอันใดขึ้นกับท่านอ๋องเยี่ยโยวเหยา เขาเพียงทำหน้าอึ้งเดินไปหาซูจิ่นซีด้วยท่าทางดุร้ายราวกับปีศาจและช่วยพยุงนางขึ้นมา

        ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ ทว่าก็ไม่ได้ตกตะลึงมากเกินไปกว่าความปวดใจจนเลือดนองของเว่ยเหม่ยเจีย

        สิ่งที่ซูจิ่นซีพูดข้างหูของนางก่อนหน้านี้ ควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวของเยี่ยโยวเหยาเพื่อช่วยนาง มันแทบจะลบล้างการรับรู้ทั้งหมดของเว่ยเหม่ยเจียที่เกี่ยวกับเยี่ยโยวเหยา

        โลกนี้ไม่มีสิ่งใดทำให้คนอกหักได้มากไปกว่าการได้เห็นบุรุษที่ตนรักปฏิบัติต่อสตรีอื่นต่อหน้าต่อตาของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ในการรับรู้ของทุกคนคือบุรุษผู้นี้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรี เป็นบุรุษที่เปรียบดั่งเทือกเขาหิมาลัยผู้ที่ไม่เข้าใจการดูแลคนที่เขารัก

        ซูจิ่นซีจับมือเยี่ยโยวเหยาไว้แน่นเมื่อนางได้รับการช่วยเหลือจากเยี่ยโยวเหยา แม้เยี่ยโยวเหยาอยากที่จะหลบซ่อน ทว่ากลับถูกกุมไว้แน่นด้วยมือเล็กๆ ของซูจิ่นซี

        “น้องสามี เจ้าเป็นอันใดหรือไม่เล่า? เป็นพี่เองที่ยืนไม่มั่นคง เจ้าอย่าโทษตนเองเลย พี่มิได้จะโทษเจ้าแต่อย่างใด”

        เว่ยเหม่ยเจียไม่สามารถพูดได้ว่าถูกซูจิ่นซีจัดการ ทำได้เพียงระงับความโกรธไว้ในใจแล้วกลืนเข้าไปในท้องของตนเอง นางอยากจะร้องไห้เสียจริง การทำสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมฝืนยิ้มยังยากกว่าการร้องไห้เสียอีก

        ในเมื่อเฉินไท่เฟยรักใคร่เว่ยเหม่ยเจียจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทนเห็นความอับอายของเว่ยเหม่ยเจียในขณะนี้

        เฉินไท่เฟยกล่าวด้วยท่าทีโมโหเล็กน้อย “โยวเหยา นั่นเป็นวิธีที่เจ้าโปรดปรานพระชายาของเจ้าหรือ? ช่างน่าสมเพชเสียจริง! ในสายตาของพวกเจ้ายังมีเหล่าสตรี มีน้องสาวของเจ้า หรือมีแม่ของเจ้าบ้างหรือไม่? ”

        ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเย็นชาลง อยากจะสะบัดมือออกจากซูจิ่นซี

        แท้จริงแล้วซูจิ่นซีก็อยากจะปล่อยมือของเยี่ยโยวเหยานานแล้วเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วแม้ถอนขนคางเสือ [1] ก็ต้องมีขีดจำกัด ทว่าในเมื่อเฉินไท่เฟยกล่าวเช่นนี้ นางก็ตัดสินใจจะกำเริบเสิบสานให้ถึงที่สุดอย่างไม่วางมือ

        “ซูจิ่นซี เจ้าพอได้แล้ว! ”

        เยี่ยโยวเหยากระซิบบอกซูจิ่นซีด้วยความโมโห

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างชั่วร้ายบนใบหน้าของนาง และกระซิบบอกเยี่ยโยวเหยา “ไม่พอ ไม่พอเพคะ หากท่านยินยอมข้าจะเพิ่มยารักษาให้อีกสองเม็ดเพคะ”

        เยี่ยโยวเหยาหรี่ตามองเล็กน้อย เขามองไปยังใบหน้าของซูจิ่นซีอย่างอันตราย ซูจิ่นซีไม่ได้หันหน้ามาแต่อย่างใด ทำให้เยี่ยโยวเหยาเห็นเพียงแค่ด้านข้างที่งดงามของนาง

        ผิวที่ขาวผ่อง แก้มแดงระเรื่อ ขอบข้างของใบหูที่เย้ายวน และริมฝีปากราวกับสีของผลอิงเถาเป็นกระจับช่างอ่อนหวาน เป็นอันทำให้บุรุษทุกผู้ทุกคนต่างรู้สึกหวั่นไหว อยากที่จะจูบความงดงามที่หอมหวานนี้เสียจริง

        เยี่ยโยวเหยาไม่ทราบว่าเหตุใดจึงมองอย่างตกตะลึง เขากระชับซูจิ่นซีไว้ในอ้อมอกอย่างทรยศตนเอง แล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตน

        ทุกคนสูดลมหายใจอย่างประหลาดใจ

        ใบหน้าของเฉินไท่เฟยแทบไม่อยากจะเชื่อ

        เว่ยเหม่ยเจียตกตะลึงและเกิดความอิจฉาจนใกล้จะระเบิดเต็มทน แทบอยากจะพุ่งเข้าหาซูจิ่นซีให้พินาศไปด้วยกัน

        แม้แต่ซูจิ่นซีเองก็คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะสามารถกระทำได้ถึงเพียงนี้

        ดั่งเช่นนกตัวน้อยๆ ที่อยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีเมียงมองรูปหน้าที่งามล้ำของเยี่ยโยวเหยาจนลืมสิ้นทุกสิ่งไปชั่วขณะ มือเล็กๆ คู่หนึ่งโอบรอบคอของเยี่ยโยวเหยาอย่างอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นความจริง นางหวังเพียงว่าเวลาจะสามารถนานขึ้นกว่านี้อีกเล็กน้อย แม้กระทั่งอยากที่จะหยุดเวลานี้ไว้ชั่วขณะ

        ในความเป็นจริง ซูจิ่นซีผู้ที่มีรูปลักษณ์หน้าตาโง่เง่าผู้นี้กระทำเรื่องบ้ากามกับเยี่ยโยวเหยา ก็เริ่มไร้เดียงสาขึ้นมาบ้างแล้ว

        เยี่ยโยวเหยาวางซูจิ่นซีบนเก้าอี้ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คน สติของซูจิ่นซียังไม่กลับมา เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างเย็นชา “เอามือสกปรกของเจ้าออกไป”

        สติของซูจิ่นซีกลับมาทันที ด้วยปฏิกิริยาโต้กลับนางจึงปล่อยมือที่คล้องคอของเยี่ยโยวเหยาออกด้วยความอาลัย

        มองดูท่าทางที่เย็นชาของเยี่ยโยวเหยากลับคืนสู่สภาพเดิม ทำให้รู้สึกว่างเปล่าภายในใจเล็กน้อย

        นางส่ายหัวอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง ซูจิ่นซีหยิบยาสองเม็ดออกจากแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว นางกำยาลูกกลอนที่อยู่ในมือของตนเองและวางไว้ในมือของเยี่ยโยวเหยาด้วย

        ทันใดนั้นก็พูดอย่างหมดหวัง “ท่านอ๋อง เพื่อที่จะแก้พิษ ท่านก็เจ้าเล่ห์ไม่น้อยเลยนะเพคะ! ”

        เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วด้วยความโมโหและแผ่รัศมีน่าเกรงขามขึ้นทันที

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset