เว่ยเหม่ยเจียรู้สึกอับอายและโกรธเสียจนยากที่จะทานทนไหว นางยับยั้งตนเองไม่อยู่และในที่สุดก็มองไปทางซูจิ่นซีก่อนจะระเบิดออกมา “พี่สะใภ้ ผงหลูเกินนี้เป็นท่านที่ใส่ลงไปใช่หรือไม่? ”
“น้องหญิง เจ้าอย่ารนจนเหมือนหมาบ้ามาแว้งกัดผู้อื่นเช่นนี้สิ? พูดจาอันใดจะต้องมีหลักฐาน! ”
รอบดวงตาของเว่ยเหม่ยเจียแดงก่ำ “พอเสด็จป้าดื่มชาที่ท่านถวายแล้วก็หมดสติไป ยังจะพูดว่าท่านไม่ได้กระทำอีกหรืออย่างไร! ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เป็นเรื่องน่าขันเสียจริง! ก่อนที่จะมาถึงแก้วชาของข้า เสด็จแม่ก็ดื่มชาของท่านอ๋องนี่! หรือว่าแม้แต่ท่านอ๋องเจ้ายังนึกสงสัย? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วทันที
สงสัยเยี่ยโยวเหยา?
เว่ยเหม่ยเจียอย่างไรก็ไม่กล้า นางไม่มีแม้แต่ความคิดนั้นออกมาจากหัว ซูจิ่นซี ฟันต่อฟัน [1] กับนาง ทว่าก็ทราบดีว่าเว่ยเหม่ยเจียนั้นไร้เหตุผล
เว่ยเหม่ยเจียโกรธจัด “หากไม่ใช่ท่านแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก? ท่านแค้นใจที่เสด็จป้าเข้มงวดกับท่าน ดังนั้นจึงวางยาเองกับมือ”
พิษนั้นเกิดจากซูจิ่นซีจริงๆ นางดูออกและรู้ว่าเฉินไท่เฟยแพ้ผงหลูเกิน ดังนั้นนางจึงวิเคราะห์ยาสลบในถ้วยน้ำชาแล้วเปลี่ยนเป็นผงหลูเกินแทน
ทว่าบัดนี้ซูจิ่นซีจะไม่ยอมรับเด็ดขาด และนางก็ไม่อยากที่จะสนใจเว่ยเหม่ยเจียอีกแล้วเช่นกัน
เมื่อมีเยี่ยโยวเหยาอยู่ด้วย เว่ยเหม่ยเจียแม้จะทำเกินไปบ้าง ทว่าก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผยว่าซูจิ่นซีเป็นคนเช่นใด ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้ยังมีเฉินไท่เฟยที่นอนอยู่ด้านในอีกด้วย! แน่นอนว่าทุกอย่างมีความสำคัญต่ออาการของเฉินไท่เฟย
“หมอหลวงอวิ๋น ในเมื่อวินิจฉัยออกมาแล้วว่าแพ้ผงหลูเกิน ท่านก็คิดวิธีรักษาเถิด! วิธีใดที่สามารถบรรเทาอาการของเสด็จป้าได้บ้าง ปล่อยเสด็จป้าทุกข์ทรมานเช่นนี้ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะ! ”
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ในที่สุดเว่ยเหม่ยเจียก็เข้าใจประเด็น และขอความช่วยเหลือจากหมอหลวงอวิ๋นอีกครั้ง
“ต้องล่วงเกินถามคุณหนูเหม่ยเจียแล้วว่า ไท่เฟยเคยแพ้ผงหลูเกินมาก่อนหรือไม่? ครานั้นมีอาการเป็นระยะเวลานานเท่าใด? ”
หมอหลวงอวิ๋น แม้ว่าจะเป็นหมอของสำนักหมอหลวง ทว่าก็เข้ามาในสำนักหมอหลวงได้ยังไม่ถึงสองปี และในสองปีนี้เขาก็ได้ตรวจวินิจฉัยเพียงฮ่องเต้กับไทเฮามาโดยตลอด จึงไม่ค่อยเข้าใจอาการของเฉินไท่เฟยเสียเท่าไร
“แท้จริงเสด็จป้าแพ้ผงหลูเกินอยู่ก่อนแล้ว ข้าจำได้รางๆ ว่าระยะเวลาแพ้ประมาณเดือนกว่าได้กระมัง หมอหลวงอวิ๋น ท่านมีวิธีใดที่จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของเสด็จป้าได้บ้างหรือไม่ เพื่อให้นางอาการดีขึ้นมาเสียหน่อย? ”
หมอหลวงอวิ๋นพยักหน้า เดินไปที่โต๊ะแล้วเริ่มเขียนเทียบยา
“ข้าเขียนเทียบยานี้แล้ว ให้ไท่เฟยอาบน้ำด้วยยานี้ทุกวัน แล้วจะหายเป็นปกติหลังจากเจ็ดวัน”
เว่ยเหม่ยเจียตกตะลึงทันที มองหมอหลวงอวิ๋นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส
ไม่แปลกใจเลยว่าจะเป็นหมอเทวดาที่ได้รับการแต่งตั้งโดยฮ่องเต้ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งในสำนักหมอหลวงด้วยพระองค์เอง! ความจริงแล้วเสด็จป้าแพ้ผงหลูเกินนี้รุนแรงยิ่งนัก แต่ก่อนแม้ว่าจะเป็นสำนักหมอหลวงของหัวหน้าหมอหลวงซูที่สั่งยาให้เสด็จป้ายามแพ้ผงหลูเกิน ก็ยังต้องใช้เวลาเกือบเดือนเช่นกัน หมอหลวงอวิ๋นผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็สามารถรักษาให้หายแล้ว
เว่ยเหม่ยเจียทางนี้ก็วิพากษ์วิจารณ์ทักษะทางการแพทย์ของหมอหลวงอวิ๋นเป็นน้ำไหลไฟดับ ทว่าซูจิ่นซีอีกด้านหนึ่งกลับถอดถอนใจอย่างไม่รู้ตัว
ยาจีนโบราณที่ได้รับการพัฒนามาแล้วก็มีข้อดีคือได้พัฒนา ทว่าทักษะทางการแพทย์ยังถือว่าด้อยอยู่มากนะ!
แพ้ผงหลูเกิน อาการของโรคง่ายๆ เช่นนี้ หมอหลวงของสำนักหมอหลวงใช้เวลารักษานานถึงเจ็ดวัน นางเศร้าใจกับผู้ที่ศึกษาการแพทย์ในโลกนี้เสียจริง
เดิมทีซูจิ่นซีถอนหายใจกับตนเอง แม้แต่ตัวนางเองยังไม่รู้สึกตัว ดังนั้นจึงคาดไม่ถึงว่ามันจะไปกระตุ้นความสนใจของเยี่ยโยวเหยาเข้า
“โอ้? ได้ยินเสียงทอดถอนใจของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีฝีมือที่เก่งกว่าหมอหลวงอวิ๋นสินะ? ”
ซูจิ่นซีพึ่งตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเอง
ทว่าคิดในทางกลับกัน เหตุผลที่เฉินไท่เฟยกลายเป็นเช่นนี้ก็ถือเสียว่าเป็นสิ่งตอบแทนจากนางก็แล้วกัน แค้นก็ชำระแล้ว เกียรติก็ทำลายแล้ว ถือว่าระหว่างนางกับเฉินไท่เฟยไม่มีความเกลียดชังต่อกันอีกต่อไป นางจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ทำให้หญิงชรานางนี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด อาการคันและมีไข้เป็นเวลาเจ็ดแปดวัน
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อจากนี้ในอนาคตหากนางคิดจะอยู่ในมิตินี้นางก็จะต้องอยู่ในแวดวงนี้ให้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฉินไท่เฟย ลูกสะใภ้และแม่สามีจึงไม่อาจผิดใจกันแบบนี้ได้เสมอไป หรือไม่ก็ต้องหาโอกาสที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะแสดงความเมตตายกโทษให้เฉินไท่เฟยชั่วคราว
“แค่ก แค่ก แค่ก! ” ซูจิ่นซีจงใจปรับบรรยากาศโดยการกระแอมไอ “ทักษะทางการแพทย์ดีมากหรือไม่เปรียบเทียบกันมิได้เพคะ ท่านอ๋องท่านคงยังไม่ทราบ หม่อมฉันไม่ได้เข้าใจทักษะทางการแพทย์มากนัก ทว่าในวิชาถอนพิษมีผู้วิเคราะห์มากมายว่าอาการแพ้เช่นนี้ถือเป็นการติดพิษ ดังนั้นหม่อนฉันก็จะขอลองดู ”
“อ๋อ? เช่นนั้นหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว
เสแสร้ง!
ซูจิ่นซีต่อว่าในใจ
หากไม่ทราบว่าภรรยาตนเองสามารถถอนพิษได้ สาส์นจากภรรยาของท่านจะสามารถหลอกล่อให้ท่านกลับมายังจวนกลางดึกกลางดื่นเพียงเพื่อเตรียมตัวเดินทางมายังตำหนักหนานย่วนเป็นเพื่อนภรรยาได้หรือ?
หากไม่ทราบว่าภรรยาสามารถถอนพิษได้ ก่อนหน้านี้เพื่อยาเพียงสามเม็ด ท่านจะยอมแสดงละครต่อหน้าทุกคนได้อย่างไร?
ทว่าคำพูดเหล่านี้แน่นอนว่าซูจิ่นซีไม่อาจหาญพูดต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาท่านอ๋องปีศาจนั่น
ซูจิ่นซียิ้มอย่างเชื่อฟังด้วยดวงตาที่ใสซื่อ นางมองไปยังเยี่ยโยวเหยาอย่างจริงใจเหลือเกิน
เยี่ยโยวเหยาหันศีรษะหนีทันทีเมื่อสายตาประสานเข้ากับสายตาของซูจิ่นซี
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ลองดูเสียหน่อยเถิด! ”
“เพคะ ท่านอ๋อง! ”
ซูจิ่นซีลุกขึ้นและเดินไปด้านในห้อง
หมอหลวงอวิ๋นทิ้งใบสั่งยาในมือที่เขียนไปได้เพียงครึ่ง แล้วเดินตามซูจิ่นซีเข้าห้องบรรทมไท่เฟยไปเช่นกัน
สำหรับเว่ยเหม่ยเจียที่เข้าไปกับซูจิ่นซีก็เพราะนางไม่อาจวางใจสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับซูจิ่นซีได้
ในเวลานี้เฉินไท่เฟยเหงื่อกาฬไหลไม่หยุดแม้แต่น้อยเพราะรู้สึกไม่สบายตัว อารมณ์ของนางหงุดหงิดเป็นอย่างมาก คราแรกนางไม่ยอมให้ซูจิ่นซีจับชีพจร ทว่าหมอหลวงอวิ๋นก็พูดโน้มน้าวจนนางยอมยื่นมือของตนให้ซูจิ่นซีจับ
ซูจิ่นซีทราบกระทั่งปริมาณของผงหลูเกินที่ตนเองใส่ลงไป และทราบถึงสถานการณ์ของเฉินไท่เฟยเป็นอย่างดี ทว่าต้องทำเป็นตรวจเพราะอยู่ต่อหน้าของทุกคน
เวลาผ่านไปไม่นานซูจิ่นซีก็ออกมาด้านนอกห้อง
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันเข้าใจอาการของเสด็จแม่แล้วเพคะ หากยึดตามหลักการรักษาแล้ว หม่อมฉันรับรองได้ว่าภายในสามวันอาการป่วยของเสด็จแม่จะไม่หลงเหลืออย่างแน่นอน”
เยี่ยโยวเหยาเลิกคิ้วหรี่ตาเล็กน้อยแล้วมองซูจิ่นซีด้วยดวงตาที่ซับซ้อน
หมอหลวงอวิ๋นมองที่ซูจิ่นซีอย่างยากที่จะเชื่อ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถามซูจิ่นซีอย่างสุภาพอ่อนโยน
“ทักษะแพทย์ของพระชายาแท้จริงแล้วสูงส่งถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะใช้เวลาเพียงสามวันในการรักษา ข้าน้อยขอคารวะ ไม่ทราบว่าพระชายาใช้ยาใดในการรักษา ถึงมีผลอัศจรรย์เช่นนี้”
“ข้าเพียงแค่สามารถถอนพิษ ไม่ได้สามารถรักษาอันใดได้ถึงเพียงนั้น! ”
ซูจิ่นซีย้ำหนักแน่น
จากนั้นนางจึงหยิบขวดสีขาวน้ำนมออกจากแขนเสื้อ แล้วเทเม็ดยาสีขาวสองสามเม็ดจากขวดนั้น หยิบส่งให้หมอหลวงอวิ๋น
“นี่ สิ่งนี้อย่างไรเล่า เคล็ดลับศาสตร์ระบบพิษ! ”
หมอหลวงอวิ๋นหยิบยาที่อยู่ในมือและศึกษายาเม็ดที่อยู่ในขวด
“พระชายา ยานี้ดูแล้วพิเศษยิ่งนัก ยาเช่นนี้ข้าน้อยไม่เคยพบเจอมาก่อน กระทั่งดมกลิ่นก็ไม่เคย ไม่ทราบว่ายานี้มีชื่อว่ากระไรพ่ะย่ะค่ะ? ใช้ตัวยาใดบ้างในการสกัดจึงได้มาซึ่งยาเม็ดนี้? ”
ยาเม็ด?
ความจริงเป็นเพียงยาเม็ดแก้แพ้ที่ใช้กันทั่วไปในการรักษาโรคภูมิแพ้ในยุคปัจจุบัน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “พูเอ๋อร์หมิ่น [2] ” ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีได้หยิบมาจากระบบถอนพิษตอนที่ทุกคนไม่ได้สนใจ
ซูจิ่นซีมองดูท่าทางทุกการเคลื่อนไหวของหมอหลวงอวิ๋นอย่างละเอียด หากเขามาจากโลกนั้นเหมือนนาง เขาควรรู้จักยาชนิดนี้
“หมอหลวงอวิ๋น ท่านไม่เคยพบเห็นยาเช่นนี้จริงๆ หรือ? ”
……