เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาเตาหลอมยาออกมาจริงๆ ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็เชื่อว่าเธอเป็นนักหลอมยาจริง แต่พวกน่าหลานเหอกับสือมั่วลี่กลับรู้สึกว่านี่เป็นเพียงแค่สิ่งที่เธอเตรียมการเอาไว้ก่อนเป็นอย่างดีแล้วเท่านั้น
วั่นอู๋เฟิงโบกมือ องครักษ์ด้านข้างก็ยกโต๊ะตัวหนึ่งเข้ามากลางตำหนักใหญ่ในทันที
ขณะนี้เองน่าหลานหลานและมู่หรงอานก็เดินตามกันกลับเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กับเตาหลอมยา ต่างพากันสงสัยไม่น้อย
เมื่อสือมั่วลี่เห็นทั้งสองคนกลับมาในเวลาไล่เลี่ยกันจึงมองค้อนเขาอย่างแรงทีหนึ่ง แต่ตอนนี้ยังมิใช่เวลามาถามพวกเขา เธอเคลื่อนสายตากลับไปมองบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง
ซือหม่าโยวเย่ว์ตบโต๊ะก่อนจะโบกมือ จัดวางเครื่องยาจำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะ
น่าหลานหลานได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนโดยรอบจึงรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์กำลังจะหลอมยา จึงประหลาดใจไม่น้อยขึ้นมาในทันใด
เขามิใช่คนไร้ค่าหรอกหรือ จะกลายเป็นนักหลอมยาไปได้อย่างไรกัน!
นางยังไม่ทันถามคนข้างๆ ก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ใส่ฟืนจำนวนหนึ่งเข้าไปด้านล่างของเตาหลอมยา หลังจากนั้นจึงรวบรวมปราณวิญญาณออกมาปะทะเข้ากับไม้ฟืน ทำให้เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา
นี่คือวิธีการที่ซือหม่าโยวเย่ว์พัฒนาขึ้นมาเอง ใช้พลังวิญญาณควบคุมเปลวเพลิง ทำให้ควบคุมขนาดเปลวเพลิงได้ดังใจตลอดเวลา
เมื่อเห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์ใช้พลังวิญญาณได้จริงๆ ทุกคนจึงเชื่อว่าเธอฝึกยุทธ์ได้แล้วจริงๆ
ดีร้ายอย่างไรคนอื่นๆ ก็เตรียมใจกันเอาไว้ก่อนแล้ว แต่มู่หรงอานกับน่าหลานหลานกลับตกใจอย่างรุนแรง
คนข้างกายน่าหลานหลานจึงเล่าสิ่งที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูดมาก่อนหน้านี้ให้ฟังรอบหนึ่ง เมื่อได้ฟังว่าเธอเริ่มต้นฝึกยุทธ์หลังจากที่ถูกทำร้ายในครั้งนั้น นางกับมู่หรงอานจึงสบสายตากันปราดหนึ่ง
ซือหม่าโยวเย่ว์รอให้เตาหลอมยาร้อนได้ที่แล้วจึงเริ่มต้นกลั่นเครื่องยา ทุกคนเห็นว่าเธอดูมีท่าทางเข้าที จึงคิดในใจว่าหรือเธอต้องหลอมยาวิเศษได้จริงๆ
สุภาษิตว่าคนนอกมองหาความสนุก คนในมองหาหนทาง ในขณะที่คนอื่นๆ ยังกังขาเรื่องที่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์สำเร็จเป็นนักหลอมยาแล้วหรือยัง สือเหล่ยและอู๋หลินก็มองเห็นได้คร่าวๆ แล้ว
ยาวิเศษที่เธอเลือกคือยาวิเศษบัวขาวที่หลอมง่ายที่สุดในบรรดายาวิเศษขั้นสองทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะหลอมง่ายกว่ายาวิเศษชนิดอื่นๆ แต่ก็สมราคายาวิเศษขั้นสองอย่างแท้จริง
เมื่อดูวิธีการกลั่นสกัดเครื่องยาของเธอ ถึงแม้ว่าสือมั่วลี่จะคลุกคลีกับการหลอมยามาหลายปี แต่เมื่อเปรียบกับเธอแล้วก็ยังห่างชั้นกันหลายช่วงตัว
ดังนั้นแม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ในใจของคนทั้งคู่ก็ตระหนักดีว่าซือหม่าโยวเย่ว์ดูเหมือนจะเป็นนักหลอมยาขั้นสองจริงๆ เสียแล้ว
เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์เริ่มต้นหลอมยา จิตใจก็ไม่ว่อกแว่กเลย ไม่ได้สนใจเหตุการณ์รอบตัว เธอคุ้นเคยกับยาวิเศษบัวขาวเป็นอย่างมากแล้ว ใช้เวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมงก็หลอมได้สำเร็จ
หลังจากผนึกยาสำเร็จแล้วเธอก็ดับไฟ หลังจากนั้นจึงหยิบยาวิเศษภายในเตาหลอมยาออกมา เพื่อไม่ให้ตนเองโดดเด่นจนเกินไปนัก เธอจึงควบแน่นยาวิเศษออกมาเพียงแค่เม็ดเดียวเท่านั้น
“ฝ่าบาท นี่คือยาวิเศษบัวขาวซึ่งเป็นยาวิเศษขั้นสองพ่ะย่ะค่ะ ขอเชิญฝ่าบาททรงทอดพระเนตร”
เธอส่งยาวิเศษให้กับองครักษ์ ให้เขาส่งต่อให้กับวั่นอู๋เฟิง วั่นอู๋เฟิงยื่นมือไปรับมา หลังจากนั้นก็โบกมือ องครักษ์จึงนำยาวิเศษลงไปให้คนอื่นๆ ประเมินด้วย
“เพิ่งหลอมเมื่อครู่นี้จริงๆ ยาวิเศษยังร้อนๆ อยู่เลย”
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาเป็นนักหลอมยาขั้นสองจริงๆ น่ะสิ!”
“พรสวรรค์เช่นนี้ช่างร้ายกาจเสียจริง!”
“ดูเหมือนว่าอนาคตในภายภาคหน้าของตระกูลซือหม่าจะประเมินค่ามิได้เสียแล้ว!”
“…”
คนของตระกูลน่าหลานและสมาคมนักหลอมยาต่างหน้าตึงกันไปหมด ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้การกระทำพิสูจน์แล้วว่าเธอเป็นนักหลอมยาขั้นสอง การวางตัวต่อตระกูลซือหม่าจากนี้ไปก็ต้องเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว
คนของตระกูลซือหม่าเองก็เพิ่งเคยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หลอมยาเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นท่าทีคล่องแคล่วราวกับสายน้ำไหลของเธอแล้วก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บเตาหลอมยาและเครื่องยาที่เหลือกลับลงไปภายในมณีวิญญาณแล้วองครักษ์จึงเข้ามาย้ายโต๊ะกลับออกไป
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่บอกไปแล้วว่าถ้าหากข้าหลอมยาวิเศษขั้นสองออกมาได้ ประมุขตระกูลน่าหลานต้องขอขมาข้าต่อหน้าธารกำนัล”
“เจ้า…” น่าหลานเหอถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“ว่าอย่างไรเล่า เมื่อครู่ท่านประมุขตระกูลน่าหลานก็พูดเอง ตอนนี้จะมานึกเสียใจภายหลังอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปทางน่าหลานเหออย่างไม่เกรงกลัวอำนาจของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ประมุขตระกูลน่าหลาน ในเมื่อท่านเป็นคนรับปากเองเมื่อครู่ เช่นนั้นก็ทำตามที่สัญญาเอาไว้เถิด” วั่นอู๋เฟิงพูด
น่าหลานเหอยับยั้งความโกรธเอาไว้ในใจแล้วส่งเสียงพูดอย่างริษยาและไม่เต็มใจว่า “ขอโทษ”
“ประมุขตระกูลน่าหลาน ท่านว่าอะไรนะ เสียงของท่านเบาถึงเพียงนั้น หูของข้าไม่ค่อยดี ไม่ได้ยินเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์เงี่ยหูฟังพลางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอย่าให้มันเกินไปนักเลย!” น่าหลานหลานฟาดโต๊ะดังฉาดพลางตะคอกใส่ซือหม่าโยวเย่ว์
“เอ๊ะ ข้าทำเกินไปหรือ นักหลอมยาขั้นสองคนหนึ่งถูกผู้อื่นตั้งข้อสงสัย นั่นคือการดูหมิ่นชนิดหนึ่ง ข้าเพียงแค่ให้ประมุขตระกูลน่าหลานขอโทษข้าเท่านั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วตระกูลน่าหลานของท่านทำเกินไปยิ่งกว่าข้าเสียอีก!”
“เจ้า…”
“หลานเอ๋อร์ ถอยไป” น่าหลานเหอพูดเสียงดุ หลังจากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าขอโทษ”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อประมุขตระกูลน่าหลานก็ได้ขอโทษแล้ว ข้าน้อยก็จะไม่ติดใจเอาความอะไรอีก หวังว่าต่อไปในภายหน้าประมุขตระกูลน่าหลานจะไม่ทำความผิดเช่นนี้อีกนะ ถึงอย่างไรนักหลอมยาทั้งหลายก็มิได้คุยด้วยง่ายๆ เหมือนข้ากันหมดหรอกนะ”
พูดจบเธอก็มองพวกสือเหล่ยด้วยสายตาปราศจากนัยแอบแฝง แล้วหมุนตัวกลับไปยังที่นั่งของตระกูลซือหม่า
“น้องห้า ทำได้ดีมาก!” พวกซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่คนล้วนส่งสายตาชื่นชมยินดีมาให้เธอ ซือหม่าโยวเล่อยังยกนิ้วโป้งให้เธออีกด้วย
“เอาละ เรื่องนี้ให้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้แล้วกัน” วั่นอู๋เฟิงพูด “ในช่วงท้ายข้าได้จัดเตรียมงานเลี้ยงเต้นรำร่ำสุราเอาไว้ให้กับทุกท่านด้วย พวกเจ้าคนหนุ่มสาวที่ชอบความครึกครื้นก็ไปเที่ยวเล่น ไป่ชวน เจ้าคอยต้อนรับทุกคนด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” องค์ชายใหญ่ลุกขึ้นตอบรับวั่นอู๋เฟิง
วั่นอู๋เฟิงนำองครักษ์ออกไปจากตำหนักใหญ่ วั่นไป่ชวนโบกมือ นางในกลุ่มหนึ่งก็เรียงแถวกันเข้ามานำทางทุกคนไปยังตำหนักอีกแห่งหนึ่ง
เพราะรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่รักสนุก คนที่เลยวัยไปแล้วจึงพากันปลีกตัวกลับไปก่อน ดังนั้นเมื่อไปถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงสุรา แขกในงานจึงเหลือเพียงรุ่นหนุ่มสาวเท่านั้น
เดิมทีซือหม่าโยวเย่ว์ไม่อยากเข้าร่วม แต่เมื่อนึกถึงหินเสียงในมือ เธอจึงเปลี่ยนความตั้งใจ
“น้องห้า เจ้าจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงสุราด้วยหรือ” เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังจะเดินตามนางในไป พวกซือหม่าโยวหมิงจึงเรียกเธอเอาไว้
ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าพูดไปแล้วว่าจะกลับไปด้วยกัน เธอโบกไม้โบกมือไปทางพวกเขาแล้วพูดว่า “พวกท่านกลับกันไปก่อนเถิด ข้าจะไปดูสักหน่อยว่างานเลี้ยงสุรานั้นเป็นเช่นไร”
“แต่เจ้าจะไปคนเดียวได้หรือ เช่นนั้นให้พวกเราไปกับเจ้าด้วยก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวหรานพูด
“ไม่ต้องหรอก พวกท่านไม่ชอบงานเลี้ยงสุราเช่นนี้มิใช่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าไปเที่ยวเล่นครู่เดียวก็จะกลับแล้วล่ะ”
“แต่ว่า…”
“ข้าก็จะไปงานเลี้ยงสุรา อยู่ด้วยกันกับโยวเย่ว์ ท่านพี่ทั้งหลายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าจะดูแลนางให้ดีอย่างแน่นอน” ไม่รู้ว่าเจ้าอ้วนชวีนั้นโผล่มาจากที่ใด มาอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ เขาคิดจะเอื้อมมือไปโอบไหล่เธอ แต่เมื่อนึกได้ว่าเธอเป็นหญิงจึงล้มเลิกไป
เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่เป็นเพื่อนซือหม่าโยวเย่ว์แล้วซือหม่าโยวหมิงจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็กลับกันให้เร็วหน่อยแล้วกัน พวกเราจะทิ้งรถเทียมสัตว์อสูรเอาไว้ให้เจ้า”
“ไม่ต้องหรอก ประเดี๋ยวข้าให้เจ้าอ้วนไปส่งข้าที่บ้านก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราไปก่อนนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือให้พวกเขาก่อนจะหมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงสุราพร้อมกับเจ้าอ้วน
“โยวเย่ว์ บอกมาสิว่ามีเรื่องอะไรจะให้ข้าทำ” เจ้าอ้วนชวีพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีเรื่องจะให้เจ้าทำ”