เดิมทีตอนที่น่าหลานหลานได้ฟังบทสนทนาที่ดังมาจากหินเสียง ในใจก็ยังมีความสุขอยู่เล็กน้อย เช่นนี้มู่หรงอานก็มิอาจอยู่ร่วมกับสือมั่วลี่ได้อีกต่อไปแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาเดียวสือมั่วลี่ก็ฟาดฝ่ามือใส่เขาไปฉาดหนึ่งเสียแล้ว นางจึงรีบเดินเข้าไปดึงตัวมู่หรงอานมาแล้วตะคอกใส่สือมั่วลี่ว่า “เจ้าตบเขาทำไมกัน!”
สือมั่วลี่ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าไม่เพียงแค่ตบเขาเท่านั้น แต่ข้าจะตบเจ้าด้วย!”
นางพูดพลางฟาดฝ่ามือหนึ่งใส่น่าหลานหลาน
น่าหลานหลานเองก็มิใช่ลูกนกอ่อนแอแต่อย่างใด เมื่อเห็นสือมั่วลี่ฟาดฝ่ามือใส่จึงยื่นมือไปหมายจะขัดขวาง แต่กลับถูกมู่หรงอานที่อยู่ข้างๆ ดึงเอาไว้
“น่าหลานหลาน เจ้าอย่าก่อปัญหาสิ!”
มือของน่าหลานหลานถูกดึงเอาไว้ หากแต่สือมั่วลี่มิได้ถูกดึง ดังนั้น…
“เพียะ…”
รอยนิ้วมือห้านิ้วปรากฏบนใบหน้าของน่าหลานหลานในทันที
ฝ่ามือนี้ทำให้น่าหลานหลานมึนงงไป นางหันไปมองมู่หรงอานอย่างงงงัน
“เจ้ารั้งข้าไว้ทำไมกัน”
ตอนนี้มู่หรงอานไม่มีเวลามาสนใจน่าหลานหลาน เขาปล่อยมือนางแล้วเดินมาตรงหน้าสือมั่วลี่พลางเอ่ยว่า “มั่วลี่ เจ้าอย่าไปเชื่อวาจาเหล่านั้นเลยนะ เป็นนางนั่นแหละที่มาเกาะแกะข้า ทั้งยังยั่วยวนข้า ข้าจึงต้องเอ่ยวาจาเหล่านั้นเพื่อจัดการกับนาง เจ้าต้องเชื่อข้านะ!”
ท่ามกลางสายตาของผู้คน น่าหลานหลานย่อมไม่กล้าเชื่อหูตนเอง นางกุมใบหน้าแล้วร่นถอยหลังไปหลายก้าว
“เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ…”
มู่หรงอานถลึงตาใส่นางพลางเอ่ยว่า “ข้ามิได้ชอบเจ้าตั้งนานแล้ว เป็นเจ้าเองนั่นแหละที่ตามเกาะแกะข้ามาโดยตลอด ก่อนหน้านี้มิใช่เจ้าเองหรอกหรือที่ตามข้าไปยังริมทะเลสาบน่ะ”
“มู่หรงอาน เจ้าช่างโง่เง่านัก!” น่าหลานหลานถูกวาจาของมู่หรงอานยั่วยุจนหลุดปากด่าทอออกมาพร้อมกับหลั่งน้ำตาแห่งความโศกศัลย์
“มั่วลี่ เจ้าต้องเชื่อข้านะ ข้าชอบเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นจริงๆ” มู่หรงอานไม่แยแสน่าหลานหลาน สนใจแต่จะอธิบายให้สือมั่วลี่ฟังเท่านั้น
เมื่อเทียบกันแล้วตระกูลน่าหลานนั้นไม่มีจุดใดที่จะเปรียบเทียบกับสมาคมนักหลอมยาได้เลย ดังนั้นเขาจึงมิอาจทอดทิ้งบันไดขั้นสูงอย่างสือมั่วลี่ไปได้
“นี่ เหตุใดข้าฟังน้ำเสียงของเจ้าแล้วจึงไม่รู้สึกถึงการถูกบังคับเลยเล่า ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความสุขอย่างยิ่งเสียด้วยซ้ำ!” เจ้าอ้วนชวีพูดแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่ง
คนอื่นๆ พากันพยักหน้า พวกเขาไม่เห็นความเหลืออดหรือการถูกบังคับเลยสักนิด พอฟังแล้วเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสียด้วยซ้ำ
สือมั่วลี่มิได้พูดจา เพียงแค่มองมู่หรงอานและน่าหลานหลานด้วยสายตาเยียบเย็น เมื่อเห็นมู่หรงอานมาดึงมือของตน นางจึงออกแรงสะบัดพลางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “มู่หรงอาน พวกเราจบกัน ข้ารับสามีเช่นเจ้ามิได้หรอก ท่านพ่อข้าก็รับศิษย์เช่นเจ้าไม่ไหวเช่นกัน!”
พูดจบแล้วนางก็หมุนตัววิ่งออกไป
“มั่วลี่!”
มู่หรงอานยกเท้าคิดจะวิ่งตามออกไปแต่ถูกน่าหลานหลานตะโกนเรียกให้หยุด
“มู่หรงอาน ถ้าหากวันนี้เจ้าตามออกไป ข้ากับเจ้าขาดกัน!”
มู่หรงอานหันหน้ามามองน่าหลานหลานปราดหนึ่ง หลังจากนั้นจึงวิ่งออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
น่าหลานหลานคิดไม่ถึงว่ามู่หรงอานจะวิ่งออกไปโดยไม่หยุดคิดเลยด้วยซ้ำจึงตกตะลึงไป ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างวิปลาสขึ้นมา
“มู่หรงอาน เจ้าช่างใจร้ายนัก! ข้าจะทำให้เจ้าสำนึกเสียใจแน่นอน! พวกเราไปกันเถิด!”
หญิงสาวที่มาพร้อมกับน่าหลานหลานจากไปพร้อมนางโดยไม่กล้าพูดอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว
ในขณะที่ออกจากตำหนักใหญ่ น่าหลานหลานคล้ายจะนึกถึงต้นตอแห่งปัญหาขึ้นมาได้ จึงหันมาถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง ความชิงชังในแววตาเข้มข้นเสียจนดูเหมือนจะกลั่นออกมาเป็นน้ำได้
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มให้น่าหลานหลานด้วยท่าทีว่าอันที่จริงแล้วข้าทำเพื่อประโยชน์ของเจ้า ทำเอานางสะบัดหน้าจากไปอย่างโมโห
ตัวเอกจากไปกันหมดแล้ว เจ้าอ้วนชวีจึงโบกไม้โบกมือให้ทุกคนพลางเอ่ยว่า “เอาละๆ ละครสนุกจบแล้วนะ พวกเรากินดื่มกันตามสบายได้เลย”
วั่นไป่ชวนออกไปครู่หนึ่ง ตอนที่กลับมาก็พบว่าบรรยากาศแปลกประหลาดอยู่บ้างจึงเรียกนางในมาถามดู ถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้
เขามองดูคนทั้งสองที่ดื่มสุรากันอยู่ตามลำพังที่มุมหนึ่งของตำหนักใหญ่ เขายังไม่เชื่อว่าพวกเขาไม่มีเจตนา แต่ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์เป็นนักหลอมยา แม้กระทั่งเขาก็ยังมิอาจไปไถ่ถามอีกฝ่ายตามอำเภอใจได้ สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วปล่อยพวกเขาไป
ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าอ้วนชวีใช้เวลาอยู่ที่งานเลี้ยงสุราครู่หนึ่งก่อนจะไปบอกวั่นไป่ชวนว่าอยากกลับแล้ว วั่นไป่ชวนกล่าวส่งแขกอยู่สองสามประโยคแล้วจึงปล่อยให้พวกเขาจากไป
พอออกไปจากวังหลวงแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยหัวเราะเสียงดังลั่นกับเจ้าอ้วนชวี กลั้นมาตลอดทั้งคืน ทำเอาพวกเขาอัดอั้นแทบตายเลยทีเดียว
“โยวเย่ว์ เจ้าเห็นสีหน้าของมู่หรงอานในตอนนั้นหรือไม่ หน้าเขียวคล้ำเลยล่ะ! ฮ่าๆๆ ข้าขำแทบตายแน่ะ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะแล้วพูดว่า “ในภายหน้าต้องถูกขุมอำนาจใหญ่ทั้งสองฝ่ายขึ้นบัญชีดำแน่ อนาคตของมู่หรงอานผู้นี้ไม่ต้องบอกก็รู้แล้ว”
“ใช่แล้ว เจ้ามู่หรงอานผู้นี้มิใช่ของดีแต่อย่างใดเลย เขาสมควรมีจุดจบเช่นนี้แล้วล่ะ!”เจ้าอ้วนชวีพยักหน้า “แต่ว่า… โยวเย่ว์ เหตุใดเจ้าจึงอยากลอบทำร้ายเขาเล่า”
เพราะเหตุใดหรือ ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้าพลางกระซิบในใจว่าเธอก็แค่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าของร่างเดิมในตอนนั้นเท่านั้นเอง…
วันรุ่งขึ้นเรื่องที่เกิดขึ้นที่งานเลี้ยงสุราก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หลังจากที่สือเหล่ยและน่าหลานเหอฟังบุตรสาวของตนร้องไห้คร่ำครวญแล้วก็ใส่ชื่อมู่หรงอานเข้าไปในบัญชีดำจริงๆ
น่าหลานเหอออกคำสั่งห้ามมิให้คนของตระกูลมู่หรงเข้าไปในร้านค้าใดๆ ภายใต้ชื่อของตระกูลน่าหลาน และยุติการค้าทั้งหมดกับตระกูลพวกเขา
สือเหล่ยนั้นโหดเหี้ยมยิ่งกว่า ถึงกับสั่งให้สมาคมนักหลอมยาหยุดการส่งมอบยาวิเศษให้กับพวกเขา จะไม่มีการขายยาวิเศษให้กับตระกูลพวกเขาอีกต่อไป!
เมื่อตระกูลมู่หรงได้ยินบทลงโทษที่ทั้งสองขุมอำนาจใหญ่มอบให้พวกเขาก็ตกตะลึงไปทันที ต่อมาเมื่อได้ยินว่าเกิดปัญหาเพราะเรื่องของมู่หรงอานจึงลงโทษมู่หรงอานอย่างหนักหน่วง นอกจากนี้เพื่อบรรเทาความโกรธและให้ได้รับการอภัยจากสมาคมนักหลอมยากับตระกูลน่าหลาน จึงให้ลาออกจากราชวิทยาลัยแล้วส่งตัวเขาไปดูแลกิจการของตระกูลยังพื้นที่เล็กๆ อันห่างไกล เช่นนี้จึงทำให้สองขุมอำนาจใหญ่ยอมถอนบทลงโทษต่อทั้งตระกูลมู่หรงได้
ตอนที่ได้รับทราบข่าวเหล่านี้ ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังอาบแสงตะวันกินผลไม้ทิพย์อยู่ในลานบ้าน เมื่อนึกถึงว่าชีวิตนี้มู่หรงอานคงไม่มีทางได้ลืมตาอ้าปากอีกแล้ว เธอจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
“เช่นนี้นับได้ว่าชดเชยให้เจ้าได้แล้วหรือยังเล่า”
สายลมอ่อนพัดโชยผ่านไป คล้ายกับการให้คำตอบเธออย่างรางๆ
เธอพิงเก้าอี้นวมตัวยาวพลางหลับตาลงด้วยสีหน้าสุขสันต์
ชุนเจี้ยนเดินเข้ามา ก็เห็นกลิ่นอายสงบนิ่งแผ่ซ่านออกมาจากร่างเธอ เมื่อเห็นใบหน้าอันงดงามของเธอแล้วจึงมองตาค้างอยู่ครู่หนึ่ง
“มีเรื่องอันใดหรือ” เธอรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนที่ชุนเจี้ยนเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นนางไม่พูดไม่จาจึงเอ่ยปากถามขึ้น
ชุนเจี้ยนได้สติกลับคืนมาแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ท่านแม่ทัพส่งคนมาเชิญท่านไปพบน่ะเจ้าค่ะ”
“ท่านปู่กลับมาแล้วหรือ ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”
ชุนเจี้ยนยอบกายคารวะครั้งหนึ่งแล้วออกไปจากลานบ้าน ซือหม่าโยวเย่ว์กินผลไม้ทิพย์ในมือจนหมดแล้วจึงลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือของซือหม่าเลี่ย
ตั้งแต่กลับมาจากงานเลี้ยง ซือหม่าเลี่ยก็ออกไปแต่เช้าตรู่แล้วกลับมาค่ำมืดทุกวัน ซือหม่าโยวเย่ว์จึงยังมิได้พบเขาอีกเลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะกลับมาเร็วเช่นนี้ได้
แต่เขาเรียกตนไปทำไมกัน
เมื่อมาถึงเรือนของซือหม่าเลี่ย องครักษ์ต่างพากันทำความเคารพเธอแล้วผลักประตูห้องหนังสือให้เปิดออก มองปราดหนึ่งก็เห็นซือหม่าเลี่ยที่กำลังตกตะลึงอยู่
“ท่านปู่ ท่านเรียกหาข้าหรือ”
ซือหม่าเลี่ยได้สติกลับมาแล้วกวักมือเรียกซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ เจ้ามาแล้ว เข้ามานั่งสิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปก็เห็นท่าทีจิตใจไม่สงบของซือหม่าเลี่ย จึงเอ่ยว่า “ท่านปู่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่”