“โยวเย่ว์ ข้าอยากล้มเลิกความคิดที่จะล้างบางตระกูลน่าหลานน่ะ” ซือหม่าเลี่ยพูด
“เพราะเหตุใดเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ยอย่างประหลาดใจ “เป็นเพราะคนที่เทือกเขาผู่สั่วผู้นั้นหรือ”
ซือหม่าเลี่ยพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะทำให้ฝ่าบาททรงคลางแคลงพระทัยในตระกูลน่าหลานแล้ว แต่ถ้าหากสู้กับตระกูลน่าหลานต่อไป ต่อให้ตระกูลเราเอาชนะได้ในท้ายที่สุดก็ยังมีราคาที่ต้องจ่าย แทนที่จะทำเช่นนี้ ข้าอยากจะทุ่มเทจิตใจไปกับการยกระดับพลังยุทธ์ของทุกคนมากกว่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองความวิตกกังวลบนใบหน้าของซือหม่าเลี่ยแล้วเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ ที่แท้แล้วตระกูลนั้นมีอิทธิพลยิ่งใหญ่เพียงใดกันแน่ จึงทำให้เขากังวลใจเช่นนี้ได้
“แต่ท่านปู่ ถ้าหากพวกเราถอยกลับ เช่นนั้นทางด้านตระกูลน่าหลาน…”
“ทางด้านตระกูลน่าหลานเผยความอ่อนแอกับพวกเราแล้วล่ะ” ซือหม่าเลี่ยพูด “น่าจะเป็นเพราะความเกี่ยวข้องกับเจ้า พวกเขาจึงตระหนักว่าสู้กับพวกเราต่อไปก็คงไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อสองวันก่อนจึงมาหาข้า หวังว่าพวกเราจะยอมปล่อยพวกเขาไปสักครั้ง แน่นอนว่าพวกเขาก็ชดเชยให้พวกเราไม่น้อยเช่นกัน”
“เพราะข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาปริบๆ แล้วพูดว่า “ข้ากับนักหลอมยาของตระกูลพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกันมิใช่หรือ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยอมถอยไปก่อนเล่า”
“เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าเจ้าก่อให้เกิดคลื่นลมอันใดขึ้นทั่วทั้งอาณาจักรตงเฉิน” ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “ตั้งแต่ที่เจ้าเปิดเผยความสามารถนักหลอมยาขั้นสองของเจ้าที่งานเลี้ยงในคราวนั้น เมื่อทุกคนได้รู้ว่าเจ้าใช้ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีตั้งแต่เริ่มสัมผัสการหลอมยาจนไปถึงระดับนักหลอมยาขั้นสอง ต่างก็พากันเห็นเจ้าเป็นอัจฉริยะไปกันหมดแล้ว”
“ข้าเป็นอัจฉริยะที่ไหนกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูก ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับคำสรรเสริญของผู้คนเลย
ซือหม่าเลี่ยแย้มยิ้ม “ตอนนี้ดูเหมือนว่าตระกูลน่าหลานนั่นคงจะพอๆ กันกับพวกเรานั่นแหละ มีนักหลอมยาขั้นสองคนหนึ่งกันทั้งคู่ แต่ในสายตาของทุกคน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีผลสำเร็จที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้ และแรงดึงดูดของเจ้าก็แข็งแกร่งกว่านักหลอมยาของตระกูลพวกเขามากมายเลยทีเดียว พวกเขามิได้ร่นถอยเพราะความสามารถของเจ้าในตอนนี้หรอกนะ หากแต่เป็นเพราะศักยภาพของเจ้าต่างหากเล่า”
“หึๆ ข้ายังไม่รู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจตรงไหนเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ “ในเมื่อท่านปู่อยากปล่อยก็ปล่อยพวกเขาไปเถิด ถึงอย่างไรน่าหลานฉีผู้นั้นก็ถูกข้าจัดการไปแล้ว ส่วนน่าหลานหลานนั่นก็ถูกวิทยาลัยไล่ออก ทั้งยังถูกมู่หรงอานทอดทิ้งอีกด้วย มิได้มีจุดจบที่ดีแต่อย่างใดเลย ใช่แล้ว พวกพี่ๆ รู้กันหรือไม่”
“ข้ายังไม่ได้บอกพวกเขาเลย” ซือหม่าเลี่ยพูด “ข้าคิดว่ารอให้เจ้าเห็นด้วยก่อนแล้วค่อยบอกพวกเขา ขอเพียงแค่เจ้าเห็นด้วย พวกเขาก็คงไม่มีข้อโต้แย้งอันใดหรอก”
“อื้ม เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านปู่ว่าแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ดีจริง”
“เช่นนั้นหากไม่มีเรื่องอันใดแล้วข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นพูด
ซือหม่าเลี่ยโบกมือ เธอจึงหมุนกายจากไป เขามองแผ่นหลังของเธอ ความรู้สึกไม่สงบอย่างหนึ่งวนเวียนอยู่ในใจตลอดเวลา และเพราะความรู้สึกนี้เองที่ทำให้เขาล้มเลิกการจัดการกับตระกูลน่าหลาน
ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมายังเรือนของตนแล้วให้พวกชุนเจี้ยนออกไป จากนั้นตนจึงเข้าไปภายในมณีวิญญาณ
“เป็นอะไรไปหรือ” หมัวซาสัมผัสได้ถึงคนที่มาปรากฏตัวตรงหน้าตนอย่างฉับพลันจึงลืมตาขึ้นถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์จ้องมองต้นผลอสรพิษทองคำแล้วพูดว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าจะหลอมผลอสรพิษทองคำให้กลายเป็นยาวิเศษได้อย่างไร”
หมัวซาขมวดคิ้วพลางพูดว่า “หลอมเป็นยาวิเศษร้อยโคจรจะดีที่สุด”
“ยาวิเศษร้อยโคจรหรือ นั่นคือยาวิเศษอะไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ยาวิเศษร้อยโคจรระดับไม่สูง มิอาจยกระดับพลังยุทธ์ของมนุษย์ได้โดยตรง แต่กลับมีประโยชน์ในการชำระล้างเส้นเอ็นตัดไขกระดูก ปรับปรุงโครงสร้างร่างกายมนุษย์ จึงส่งเสริมการบำเพ็ญในภายหน้าได้” หมัวซาพูด
“หลอมง่ายหรือไม่”
“ไม่ยากหรอก” หมัวซาพูด “นี่คือยาวิเศษยุคโบราณชนิดหนึ่งซึ่งค่อยๆ หายสาบสูญไปในยุคหลังเพราะการสูญหายของตำรับยาพื้นบ้านและความหายากของผลอสรพิษทองคำ”
“ถ้าหากให้ท่านหลอมจะมีโอกาสหลอมได้สำเร็จเท่าใดหรือ”
“ถ้าหากเป็นตอนที่ข้ายังมีชีวิต โอกาสเต็มร้อย ถ้าหากให้เจ้ามาใส่ปราณวิญญาณ ก็คงสักร้อยละแปดสิบกระมัง”
ซือหม่าโยวเย่ว์กลั้นหายใจ โอกาสหลอมได้สำเร็จร้อยเต็ม เป็นเพราะยาวิเศษชนิดนี้มีข้อจำกัดต่ำเกินไป หรือเป็นเพราะเขาร้ายกาจเกินไปกันแน่!
“แล้วเครื่องยาอื่นๆ เล่า”
“ที่นี่มีครบทั้งหมด” หมัวซาพูด “แต่การหลอมยาชนิดนี้สิ้นเปลืองพลังอย่างมหาศาล ตอนนี้สถานะของข้ายังไม่ได้เลย”
“ต้องอีกนานเท่าใดหรือ”
หมัวซาเหลือบตามองเธอปราดหนึ่งพลางเอ่ยว่า “นี่ก็ต้องดูว่าเจ้าต้องการหลอมมากเท่าใด ผลอสรพิษทองคำผลหนึ่งสามารถหลอมได้แปดถึงสิบเม็ด ตอนนี้เจ้ามีอยู่สี่ผล ต้องดูว่าเจ้าอยากจะนำมาหลอมยาสักกี่ผลล่ะ ใช่แล้ว มนุษย์คนหนึ่งกินได้มากที่สุดสองเม็ด จะปรับปรุงได้มากเท่าใดก็ต้องดูจากโครงสร้างร่างกายของแต่ละคนด้วย กินมากกว่าสองเม็ดไปก็ไร้ผล”
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดคำนวณในใจรอบหนึ่ง บวกกับตนเองด้วยมีทั้งสิ้นสิบคน เช่นนั้นก็ต้องใช้ยี่สิบเม็ด
เมื่อสัมผัสได้ถึงความคิดในใจเธอ หมัวซาจึงพูดออกมาตรงๆ ว่า “ยาวิเศษร้อยโคจรนี้ไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าเลย เจ้าไม่ต้องบวกตัวเองเข้าไปด้วยหรอกนะ”
“เพราะเหตุใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจอย่างยิ่ง
“ตอนที่เจ้าทำพันธสัญญากับไข่ฟองนั้น มันได้ใช้เพลิงนิพพานปรับปรุงร่างกายของเจ้าไปแล้ว เมื่อเทียบกับเพลิงนิพพานแล้ว ยาวิเศษร้อยโคจรนี้ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับเจ้าเลย” หมัวซาพูด
“เอ่อ… หากท่านไม่พูดถึงข้าก็ลืมเจ้าเพลิงชาดนั่นไปแล้วนะนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
นับตั้งแต่คราวก่อนที่ทำพันธสัญญากับเพลิงชาดที่เทือกเขาผู่สั่วแล้ว มันก็อาศัยอยู่ภายในมิติพันธสัญญาด้วยความสงบเงียบอย่างยิ่งมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเริ่มปริปากก่อนเลย ทุกครั้งที่เธอสัมผัสถึงมันได้ล้วนพบว่ามันนอนหลับอยู่ทั้งสิ้น ผ่านไปเนิ่นนานเธอจึงค่อยๆ ละเลยมันไปเสียแล้ว
ความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อคราวก่อนที่ถูกเพลิงนิพพานปรับปรุงทั่วทุกบริเวณของร่างกายทำให้เธอสั่นสะท้านไปทั้งร่างโดยไม่รู้ตัว
หมัวซามองดูท่าทีตระหนักรู้อย่างฉับพลันของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงลอบคิดว่าเจ้าคนผู้นี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน ผู้คนมากมายเคยแค่ได้ยินเกี่ยวกับเพลิงนิพพาน รวมถึงสัตว์อสูรเทพที่ครอบครองมันตนนั้น แต่กลับไม่เคยมีโอกาสได้พบเห็นมันเลย แม้กระทั่งเขาเองในตอนแรกก็ยังต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงมหาศาลในการเสาะหา แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือตนเองเป็นเพื่อนบ้านกับสัตว์อสูรเทพตนนั้นมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าในท้ายที่สุดแล้วจะเป็นเด็กสาวเช่นนี้คนหนึ่งที่เป็นผู้ทำพันธสัญญากับมัน
ไม่ใช่สิ หากจะพูดให้ชัดเจนต้องบอกว่ามันถึงกับยอมรับเธอเป็นเจ้านายได้ นอกจากนี้ยังเป็นฝ่ายเริ่มยอมรับเป็นเจ้านายก่อนอีกด้วย
เห็นเธอเป็นเช่นนี้ ถึงกับลืมเลือนเจ้านั่นไปเสียสนิท คนที่ทำกับเพลิงชาดเช่นนี้ได้ คิดไปคิดมาแล้วก็คงมีแค่เธอเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“ในเมื่อไม่มีประโยชน์ต่อข้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องนับรวมข้า ตัดของข้าออกไปสองเม็ด ก็ยังต้องการอีกสิบแปดเม็ด เช่นนั้นก็หลอมขึ้นมาสองผลก่อนแล้วกัน ถ้าหากไม่พอค่อยเพิ่มเอา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“อีกครึ่งเดือนให้หลังจะหลอมให้เจ้า” หมัวซาพูด
“ดีมาก”
เธอรู้ว่าอันที่จริงแล้วทุกครั้งที่ให้หมัวซาหลอมยาล้วนต้องใช้พลังวิญญาณของเขาไปจนหมดสิ้น ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าขอเวลาครึ่งเดือน เธอจึงมิได้คิดว่าไม่เหมาะสม
เจรจากับหมัวซาเสร็จแล้วเธอก็ไปที่ห้องหลอมยาเพื่อหลอมยาวิเศษจำนวนหนึ่งให้กับร้านค้าของตระกูลซือหม่า เมื่อเห็นว่ารวมกับยาที่หลอมเอาไว้เมื่อสองวันก่อนก็เพียงพอสำหรับขายในระยะเวลาหนึ่งแล้ว เธอจึงค่อยหายตัวออกไป
เธอให้ชุนเจี้ยนส่งยาวิเศษไปให้ซือหม่าเลี่ย หลังจากนั้นจึงเริ่มนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังจิต เมื่อนึกถึงว่าอีกสิบห้าวันให้หลังก็จะหลอมยาวิเศษที่ปรับปรุงโครงสร้างร่างกายได้ให้กับพวกเขาแล้ว เธอจึงจำเป็นต้องรีบยกระดับพลังยุทธ์ของตนให้ได้โดยเร็วที่สุด
เดิมทีคิดว่าเวลาสิบห้าวันจะมาถึงอย่างรวดเร็ว แต่เธอกลับคิดไม่ถึงว่าความเปลี่ยนแปลงจะมาถึงอย่างกะทันหันเหลือเกิน พวกซือหม่าเลี่ยมิได้อยู่รอเธอหลอมยาวิเศษร้อยโคจรให้เสียแล้ว