“พวกคนฉวยโอกาสยามผู้อื่นประสบเคราะห์!” ซือหม่าโยวเย่ว์ฟาดมือลงบนโต๊ะ ทำเอาโต๊ะแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“คุณชาย ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ” พ่อบ้านมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง
“เรื่องอันใดหรือ”
“เพราะคุณชายบอกว่ารู้ที่อยู่ของผลอสรพิษทองคำ ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายคิดทำเรื่องเลวร้ายกับท่าน” พ่อบ้านพูด “ต่อมาท่านอาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยปล่อยข่าวว่าหากผู้ใดกล้าทำร้ายท่านก็เท่ากับเป็นศัตรูของวิทยาลัย ดังนั้นหลายวันมานี้คนพวกนั้นจึงยังไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด”
“โอ้ วางแผนคิดร้ายต่อข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเยียบเย็นเสียงหนึ่ง “เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเข้ามาเลยสิ ถึงตอนนั้นใครเข้ามาก็สังหารมันเสีย หากมากันทั้งตระกูล ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะล้างบ้างตระกูลหรอกนะ!”
พ่อบ้านเห็นแววเยียบเย็นในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วสงสารเธออยู่บ้าง ถ้าหากมิใช่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ เธอจะกลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
“คุณชาย ในเมื่อท่านอาจารย์ใหญ่ลั่นวาจาไว้แล้ว คนพวกนั้นย่อมไม่กล้ามาซึ่งๆ หน้าแน่ แต่พวกเราก็ยังต้องป้องกันมิให้พวกเขาลอบทำเรื่องเลวทรามในมุมมืดด้วย” พ่อบ้านคิดว่าซือหม่าโยวเย่ว์พูดเพียงเพราะโมโหเท่านั้น แต่ไม่รู้เลยว่าเธอมีพลังยุทธ์มากพอที่จะทำเช่นนั้นได้จริง
“อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ในตอนนี้เลย ข้าจะจัดการเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือ “เมื่อครู่ท่านกำลังหารือเรื่องต่างๆ อยู่กับบรรดาผู้จัดการเหล่านั้นใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว ขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยคิดว่าท่านแม่ทัพจากไปแล้ว จวนแม่ทัพจะต้องกระจัดกระจายแน่ ดังนั้นจึงคิดจะพากันมาหาส่วนแบ่ง ตระกูลจำนวนหนึ่งมาหาข้า คิดจะซื้อร้านค้าของพวกเราต่อในราคาต่ำ ผู้ส่งของบางรายก็ตัดแหล่งสินค้าของพวกเราเสียอย่างนั้น คงกลัวว่าพวกเราจะไม่มีปัญญาจ่าย ดังนั้นสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้จึงล่อแหลมมาก แม้แต่ลูกค้าก็หายไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว” พ่อบ้านพูดอย่างหดหู่
“หากพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าตอนนี้ร้านค้าของพวกเราก็กลายเป็นร้านร้างเสียแล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ใช่แล้วขอรับ เมื่อครู่ข้ากำลังหารือกับบรรดาผู้จัดการอยู่พอดีว่าจะหาร้านอื่นแทนได้หรือไม่” พ่อบ้านพูด
“คนอื่นๆ ข้างนอกต่างก็ฉวยโอกาสยามพวกเราประสบเคราะห์กันหมดเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกขอรับ ก่อนหน้านี้ตระกูลชวีส่งคนมาบอกเหตุผลที่ส่งสินค้าให้กับพวกเรา แต่ความสามารถของพวกเขาเองก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ย่อมมิอาจแก้ไขวิกฤติของพวกเราได้อย่างสมบูรณ์” พ่อบ้านกล่าว “เจ้าอ้วน…” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างที่หมดสตินั้นคล้ายจะได้ยินเจ้าอ้วนพูดอยู่ข้างหูตนว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เกิดเรื่องกับตระกูลซือหม่า แล้วเขาก็ทำจริงๆ เสียด้วย
“นอกจากนี้ยังมีสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรที่ลั่นวาจาว่าจะช่วยเหลือพวกเรา เต็มใจจะมอบสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่ฝึกฝนเรียบร้อยแล้วให้จำนวนหนึ่ง” พ่อบ้านพูดเสริม “ข้าได้ยินคนที่มาพูดว่าเป็นการตัดสินใจของท่านรองประธานสมาคม”
“นั่นคงจะเป็นเพราะจือฉีไปหาท่านอาของเขาสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ส่งถ่านหินให้ในยามหิมะโปรย ย่อมดีกว่าโรยกลีบดอกไม้ตกแต่งอยู่แล้ว ไม่ว่าจะช่วยเหลือพวกเราได้เพียงน้อยนิดแค่ไหน พวกเราล้วนต้องขอบคุณพวกเขา ในขณะเดียวกันพวกเราก็ต้องตอบแทนพวกที่คิดจะฉวยโอกาสยามพวกเราประสบเคราะห์เหล่านั้นให้สาสมด้วย!”
พ่อบ้านเห็นความมั่นใจในตัวเองในแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์ ในใจจึงสงบนิ่งลงมาไม่น้อย ขอเพียงแค่เขาไม่ล้มลงไป ตระกูลซือหม่านี้ก็ไม่มีทางล้มลงแน่นอน
“คุณชาย ต่อไปพวกเราควรทำเช่นไรกันดีขอรับ”
“ท่านไปเรียกผู้จัดการเหล่านั้นเข้ามาที พวกเรามาหารือกันสักหน่อยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เธอไม่เชื่อหรอกว่าตนที่เป็นทั้งนักฝึกสัตว์อสูรและนักหลอมยา จะประคับประคองตระกูลซือหม่าเอาไว้มิได้!
“ขอรับ”
พ่อบ้านเดินออกไป เพียงไม่นานก็พาตัวผู้จัดการเหล่านั้นเข้ามา
“คุณชายห้า” ผู้จัดการทำความเคารพซือหม่าโยวเย่ว์อย่างนอบน้อม
ตอนนี้เธอเป็นเจ้านายของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว
ก่อนหน้านี้เพียงแค่ไม่เลือกปฏิบัติต่อเธอตามที่ซือหม่าเลี่ยบอกเท่านั้น แต่ในใจก็มิได้ยอมรับเธอ ทว่าหลังจากได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ทุกคนต่างก็เห็นเธอเป็นเจ้านายของพวกเขาไปแล้ว
“เอาล่ะ ทุกท่านหาที่นั่งเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ท่านพ่อบ้านเล่าสถานการณ์ให้ข้าฟังหมดแล้ว ก่อนอื่นโยวเย่ว์ต้องขอบคุณที่ทุกท่านไม่ทอดทิ้งตระกูลซือหม่าในช่วงเวลาเช่นนี้ ข้าขอขอบคุณทุกท่านแทนท่านปู่และพวกพี่ๆ ด้วย”
พูดแล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งคำนับให้ทุกคน
“คุณชายจริงจังเกินไปแล้วขอรับ” บรรดาผู้จัดการเหล่านั้นพากันลุกขึ้นยืน ไม่กล้ารับการขอบคุณจากซือหม่าโยวเย่ว์
“นี่เป็นเรื่องที่สมควรยิ่งนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงอีกครั้ง บรรดาผู้จัดการจึงนั่งกลับลงไปด้วย “ข้าเองก็ได้ยินมาว่ามีผู้จัดการคนสองคนที่จากไปในช่วงนี้เพราะรู้สึกว่าตระกูลซือหม่าของเราจะกระจัดกระจายกันด้วยเรื่องนี้ ข้าไม่ตำหนิพวกเขาหรอกนะ แต่ข้าขอให้คำมั่นไว้ตรงนี้เลยว่าตระกูลซือหม่าไม่มีทางตกต่ำลงกว่าเมื่อก่อนอย่างแน่นอน จะมีแต่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น พวกเราจะต้องทำให้คนที่จากไปเหล่านั้นนึกเสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้ให้จงได้!”
“ยอดเยี่ยม!”
“พวกเราเชื่อมั่นในตัวคุณชาย!”
“คุณชายอยากให้พวกเราทำสิ่งใด พวกเราล้วนเชื่อฟังท่านทั้งสิ้น!”
คำพูดสั้นๆ ของซือหม่าโยวเย่ว์ปลุกใจคนที่นั่งอยู่ในที่นั้นขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้เธอได้กลายเป็นเจ้าชีวิตของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว
“ก่อนอื่น ร้านค้าของพวกเรายังต้องเปิดต่อไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าจัดหายาวิเศษให้ได้ พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องยาวิเศษและเครื่องยาเลย ส่วนทางด้านสัตว์อสูรวิเศษก็ไปหานักฝึกสัตว์อสูร ด้านนี้ข้าก็พอหาได้จำนวนหนึ่งเช่นกัน ส่วนด้านอื่นๆ ก็ให้ไปหาตระกูลชวีก่อน ต่อให้ไม่ได้กำไร พวกเราก็ต้องหาสินค้ามาเติมเป็นอันดับแรก อย่าให้ร้านค้าขาดแคลนสิ่งใดเป็นอันขาด”
เธอเป็นนักหลอมยา เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินเธอพูดถึงเรื่องยาวิเศษ พวกเขาจึงมิได้รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่เรื่องเกี่ยวกับสัตว์อสูรวิเศษนั้นพวกเขายังคงลังเลกันอยู่บ้าง
“คุณชาย ถึงแม้ว่าสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรจะบอกว่าจะมอบความช่วยเหลือบางอย่างให้ได้ แต่ก็มิอาจเติมเต็มความต้องการของพวกเราได้หรอก ถ้าหากไปให้พวกเขาช่วย เกรงว่าคงต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยทีเดียว” ผู้จัดการคนหนึ่งพูด
“พวกเราต้องการแค่ให้พวกเขาจัดหาตามจำนวนเป้าหมายที่ต้องการในตอนนี้ก็พอแล้ว ส่วนการจัดหาในภายหน้า พวกเราต้องพึ่งพาตนเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“พึ่งพาตนเองอย่างนั้นหรือ”
“คุณชาย ไม่มีนักฝึกสัตว์อสูรอะไรอยู่เลย แล้วจะพึ่งพาตนเองได้อย่างไรเล่า”
“ใครบอกว่าไม่มีนักฝึกสัตว์อสูรกันล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“พวกเราล้วนฝึกสัตว์อสูรไม่เป็นกันทั้งนั้น หรือว่า…”
ทุกคนพากันส่งสายตาคาดเดามองไปที่ร่างของเธอ เธอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ข้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูร ดังนั้นระยะเวลาต่อจากนี้พวกท่านรับผิดชอบหาคนไปจับสัตว์อสูรวิเศษมา แล้วข้าจะฝึกพวกมันเอง”
“คุณชายเป็นนักฝึกสัตว์อสูรหรือขอรับ!”
ทุกคนมองเธออย่างตกตะลึง คล้ายกับกำลังประเมินความเป็นจริงในเรื่องนี้
“คุณชาย ท่านมิใช่นักหลอมยาหรอกหรือ” มีคนถามขึ้น
“ใครบอกว่าเป็นนักหลอมยาแล้วจะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรมิได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามกลับ
“ไม่…ไม่มีขอรับ”
คนผู้นั้นพยักหน้าอย่างโง่งม ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
“แต่ว่า… คุณชายขอรับ ถ้าหากจะไปจับสัตว์อสูรวิเศษ เกรงว่าคนของพวกเราจะไม่พอน่ะสิขอรับ” พ่อบ้านพูด
“เช่นนั้นก็ไปเกณฑ์คนมาเพิ่มสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่คุณชายขอรับ ตอนนี้พวกเรามิได้มีเงินทองมากมายถึงเพียงนั้น” พ่อบ้านพูด “ก่อนหน้านี้พวกเราก็มิได้ทำกำไรได้มากนัก ดังนั้นจึงมิได้มีเหลือมากสักเท่าไหร่ ตอนนี้ยังต้องซ่อมแซมบ้านเรือน ทั้งยังต้องจัดหาสินค้าอีก เรื่องเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น นอกจากนี้บรรดาปรมาจารย์วิญญาณเหล่านั้นใช่ว่าจะใช้เงินซื้อมาได้เสมอไปอีกด้วย”
“การไม่มีเงินช่างเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่หากไม่มีเงินทอง พวกเราก็ใช้วิธีอื่นๆ มาดึงดูดให้พวกเขาลงแรงให้พวกเราได้นี่นา อย่างเช่น… สิ่งที่พวกเขาอยากได้”