การประชุมดำเนินไปราวๆ สองชั่วโมงแล้ว หลังออกมาจากห้องประชุมเป็นการชั่วคราวแล้ว บนใบหน้าของผู้จัดการทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง ราวกับได้เห็นอนาคตอันสดใส
ซือหม่าโยวเย่ว์และพ่อบ้านตามออกมาทีหลัง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ พ่อบ้านก็รู้สึกพึงพอใจอย่างแท้จริง
เธอมิได้หดหู่ มิได้เฉยชา มิได้ล้มลุกคลุกคลาน แต่กลับจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นอย่างดีภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้
ก่อนหน้านี้ทุกคนไม่เคยค้นพบมาก่อนเลยว่าเธอมีความเป็นผู้นำมากถึงเพียงนี้
“คุณชายเจ้าคะ” ชุนเจี้ยนคอยเฝ้าอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “คุณชาย พวกคุณชายชวีมาเจ้าค่ะ รอกันอยู่ครู่ใหญ่แล้ว”
“พวกเจ้าอ้วนชวีมาอย่างนั้นหรือ อยู่ที่ใดเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“รออยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนพูด “ตอนนี้พวกเราไม่มีเรือนสำรอง จึงได้แต่ให้พวกเขาคอยอยู่ข้างนอกน่ะเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านพ่อบ้าน ท่านไปทำงานก่อนเถิด”
“ขอรับ ข้าน้อยขอตัว” พ่อบ้านคารวะก่อนจะหมุนตัวจากไป
ชุนเจี้ยนพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังด้านหน้า ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนพื้นเรียบ เธอจึงรีบเดินเข้าไปหา
“โยวเย่ว์” เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันไป ก็เห็นเธอเดินเข้ามา
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูแวววิตกกังวลบนใบหน้าของพวกเป่ยกงถังแล้วจึงยิ้มให้กับพวกเขาก่อนจะเอ่ยว่า “ขอโทษด้วยจริงๆ ตอนนี้พวกเจ้ามากันยังไม่มีแม้แต่ที่ให้นั่งเลย”
“โยวเย่ว์ พวกเราได้ยินว่าเจ้าออกมาจากวิทยาลัย ก็เลยมาดูกันสักหน่อยน่ะ” เป่ยกงถังพูด “ร่างกายของเจ้าในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“เอาละ พวกเราได้ยินว่าร่างกายเจ้ากระดูกหักไปหลายแห่ง ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนั้นเสียที่ไหนกัน ก็แค่หมดสติไปไม่กี่วันเท่านั้น พอฟื้นขึ้นมาก็หายดีแล้ว”
“จริงหรือ” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ เธอขยับร่างกายโดยไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ ทุกคนจึงค่อยวางใจ
“พวกเราย้ายที่คุยกันดีกว่า ตอนนี้จวนแม่ทัพไม่มีสถานที่พอจะรับรองพวกเจ้าได้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเราไปที่โรงน้ำชาใกล้ๆ ก็แล้วกัน”
ทั้งห้าคนไปยังโรงน้ำชาแล้วหาห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ขณะที่เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นยกน้ำชามาก็ยังมองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่หลายครั้ง
ซือหม่าโยวเย่ว์ยกจอกชาขึ้นพลางพูดกับเจ้าอ้วนชวีว่า “เจ้าอ้วน ข้าขอใช้น้ำชาแทนสุราขอบคุณตระกูลพวกเจ้าที่ช่วยเหลือตระกูลข้าในเวลาเช่นนี้”
“โยวเย่ว์ เจ้าช่างเกรงอกเกรงใจเสียเหลือเกิน ข้าไม่คุ้นชินเอาเสียเลย” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางเกาท้ายทอย
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางดื่มน้ำชาลงไป หลังจากนั้นก็เทมาอีกจอกหนึ่งแล้วพูดกับเว่ยจือฉีว่า “สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรยื่นมือเข้าช่วย คงจะเป็นเพราะเจ้าไปหาท่านอาของเจ้าสินะ ขอบคุณเจ้ามาก จือฉี”
เว่ยจือฉีอมยิ้มพลางโบกไม้โบกมือแล้วยกจอกชาขึ้นดื่มพร้อมกับซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์เทน้ำชาจอกที่สามแล้วพูดว่า “จอกนี้ เป็นการขอบคุณพวกเจ้าสำหรับยาวิเศษในระยะนี้”
โอวหยางเฟยและเป่ยกงถังยกจอกชาขึ้นดื่ม
“โยวเย่ว์ ข้าได้ยินว่าสถานการณ์ของตระกูลซือหม่าในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เจ้ามีแผนอะไรบ้างแล้วหรือยัง” เจ้าอ้วนชวีถาม
“ต้องมีแน่นอนอยู่แล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “คนเหล่านั้นคิดจะอาศัยโอกาสนี้กลืนกินตระกูลซือหม่าของข้า คงจะไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก ถึงแม้ว่าพวกท่านปู่จะไม่อยู่ แต่ข้ายังอยู่ทั้งคน ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลซือหม่าสลายไปเช่นนี้หรอก ข้าจะทำให้มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีก!”
“เจ้าวางแผนจะทำเช่นไรหรือ” เว่ยจือฉีถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้ม “เรื่องนี้ยังต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย…”
วันต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรพร้อมกับเว่ยจือฉีเพื่อไปพบรองประธานสมาคม
“ท่านอา โยวเย่ว์มาแล้วขอรับ” เว่ยจือฉีพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปในโถงรับแขกแล้วพูดกับคนที่คอยอยู่ที่นั่น
ซือหม่าโยวเย่ว์โค้งกายคำนับน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “คารวะท่านรองประธานสมาคม”
รองประธานสมาคมพยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณชายห้า เชิญนั่งเถิด”
“ขอบคุณท่านรองประธานสมาคม ท่านเรียกข้าว่าโยวเย่ว์ก็พอแล้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงพร้อมเว่ยจือฉี ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ยกน้ำชามาให้
“โยวเย่ว์ เมื่อวานจือฉีมาพบข้า ต้องการให้ข้าได้พบหน้าเจ้า แต่ว่ามีเรื่องอันใดกันหรือ” รองประธานสมาคมถาม
“เรื่องเป็นเช่นนี้ หลังจากที่ข้าฟื้นขึ้นมาแล้วก็ได้ยินพ่อบ้านพูดว่าสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรช่วยเหลือพวกเราเพราะทำตามคำสั่งของท่าน ดังนั้นจึงอยากมาขอบคุณท่านสักครั้ง นอกจากนี้ยังมีเรื่องบางอย่างที่อยากหารือกับท่านรองประธานสมาคมสักหน่อยด้วย”
“ถึงแม้ว่าข้ากับท่านปู่ของเจ้าจะมิได้ไปมาหาสู่กันมากมายนัก แต่ก็รู้ว่าเขามีอุปนิสัยตรงไปตรงมา บวกกับที่เจ้าและจือฉีมีความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ ดังนั้นช่วยเจ้าสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร” รองประธานสมาคมพูด “สำหรับเรื่องที่เจ้าบอกว่าอยากจะหารือด้วย เรื่องนี้เจ้าคุยรายละเอียดกับคนที่ไปส่งได้เลยนะ”
“เรื่องนี้จำเป็นต้องคุยกับผู้จัดการ ดังนั้นจึงให้จือฉีพามาหาท่าน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านรองประธานสมาคม ข้ามิได้มาถามหาความช่วยเหลือ หากแต่มาร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร”
“ร่วมมือหรือ” รองประธานสมาคมมองซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่รู้ว่าเธอจะมีอะไรมาร่วมมือกับตนได้ “สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรมิได้ฟังเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น อยากจะร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร เช่นนั้นเจ้าก็ต้องนำเอาสิ่งที่ต้องใจสมาคมมา”
“ในเมื่อข้ามาถึงนี่ ย่อมต้องคิดถึงจุดนี้เอาไว้อยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่าเจ้าอยากจะร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรอย่างไร” รองประธานสมาคมถาม
“ตอนนี้ร้านค้าตระกูลซือหม่าต้องการสัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกให้เชื่องแล้วจำนวนหนึ่ง หวังว่าสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรจะช่วยเติมเต็มช่องว่างของพวกเราได้เป็นการชั่วคราว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “และเพื่อเป็นการตอบแทน ข้ายินดีฝึกสัตว์อสูรทิพย์จำนวนหนึ่งให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร”
“เจ้าว่าอะไรนะ! เจ้าทำให้สัตว์อสูรทิพย์เชื่องได้อย่างนั้นหรือ!”
รองประธานสมาคมและเว่ยจือฉีต่างตกตะลึงไป คิดว่าตนหูแว่วเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว มิทราบว่าเรื่องนี้พอจะแลกเปลี่ยนกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรได้หรือไม่”
“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูรแล้วหรือ” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเธอทุกวัน เธอก็ยังคงทำให้พวกเขาประหลาดใจได้ตลอด
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
สายตาของรองประธานสมาคมที่มองไปทางซือหม่าโยวเย่ว์เปลี่ยนแปลงไปอยู่บ้างแล้วพูดว่า “เจ้าเคยฝึกสัตว์อสูรทิพย์มาก่อนหรือ”
“ใช่แล้ว”
“ขั้นใดหรือ”
“ขั้นสี่”
สายตาของเว่ยจือฉีที่มองซือหม่าโยวเย่ว์นั้นราวกับมองสัตว์ประหลาด ท่านอาเคยบอกว่าเขามีพรสวรรค์เหนือผู้ใด ในภายหน้าจะต้องประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดา แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อาจฝึกสัตว์อสูรทิพย์ได้เลย ทว่าซือหม่าโยวเย่ว์กลับฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสี่ให้เชื่องได้แล้ว
แม้กระทั่งท่านอาของเขาผู้เป็นรองประธานสมาคมของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรที่มีชีวิตอยู่มานานกว่าเธอหลายสิบหลายร้อยปีก็ยังฝึกได้เพียงแค่สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหกเท่านั้นเอง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าระดับพลังวิญญาณของนางยังสูงกว่าเขาเสียอีก นอกจากนี้ยังเป็นนักหลอมยาอีกด้วย
เขาลูบหน้าผาก เจ้าคนผู้นี้คือคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาจริงๆ น่ะหรือ
ไม่ถูกสิ นี่ใช่มนุษย์เสียที่ไหนกัน เป็นตัวประหลาดชัดๆ เลย!
“พูดไปก็เท่านั้นแหละนะ” รองประธานสมาคมเก็บความรู้สึกพรั่นพรึงของตนเอาไว้แล้วพูดพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์
“ข้าพิสูจน์ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากสมาคมมีสัตว์อสูรวิเศษที่ยังไม่ได้ฝึก ข้าก็ฝึกมันที่นี่ได้เลย ถือเสียว่าเป็นเครื่องแสดงความจริงใจของความร่วมมือระหว่างพวกเราก็แล้วกัน”
“ได้สิ เมื่อสองวันก่อนมีสัตว์อสูรทิพย์มาใหม่ตนหนึ่งพอดี เดิมทีคิดว่าผ่านไปสักสองวันค่อยฝึกมัน ตอนนี้ยกให้เจ้าทดสอบดูได้เลย” รองประธานสมาคมเกิดความสนใจในตัวเธอขึ้นมา แล้วนึกถึงสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งส่งมาเมื่อครู่แล้วนึกอยากให้เธอลองดูว่าจะฝึกสัตว์อสูรทิพย์ได้อย่างที่พูดหรือไม่!
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มอย่างมั่นใจ “ได้เลย!”