“คุณชาย” พ่อบ้านกลับมาพอดี เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยืนค้างอยู่ตรงนั้นจึงเดินเข้ามาหา
ซือหม่าโยวเย่ว์หมุนกายมามองพ่อบ้านแล้วพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ตระกูลชวีตัดสินใจร่วมมือกับพวกเราแล้ว ส่วนประเด็นสำคัญต่างๆ นั้นไว้ค่อยหารือกันต่อไป” พ่อบ้านพูด
วันนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ไปสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร ส่วนเขาไปที่ตระกูลชวีเพื่อพบบิดาของเจ้าอ้วนชวี หารือกันเรื่องการจัดหาสินค้า
“คุณชาย สถานการณ์ทางด้านท่านเป็นเช่นไรบ้าง”
“นับได้ว่าราบรื่นเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเรากลับเข้าไปกันก่อนค่อยว่ากันเถิด”
เมื่อกลับไปถึงห้องประชุมชั่วคราว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังรอบหนึ่ง เมื่อได้ฟังว่าไม่เพียงแต่ซือหม่าโยวเย่ว์จะต่อรองกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเสร็จเรียบร้อยเท่านั้น แต่ยังได้เป็นผู้อาวุโสของสมาคมอีกด้วย จึงทำให้เขาดีใจไม่น้อย
“ในเมื่อมีชื่อเสียงแล้วพวกเราก็เตรียมการเกณฑ์คนได้แล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้พวกเราต้องการคนอย่างเร่งด่วน ดังนั้นจึงผ่อนคลายเงื่อนไขลงได้เล็กน้อย ขอเพียงแค่มีความสามารถมากพอ และบุคลิกไม่ย่ำแย่มากนักก็ใช้ได้แล้ว นอกจากนี้ยังต้องรับรองว่าจะทำงานให้จวนซือหม่าสิบปี ภายในสิบปีนี้จะได้รับค่าจ้างจากจวนซือหม่า พอครบสิบปีแล้วจะอยู่หรือไปก็ย่อมได้ ให้พวกเขาเลือกกันเอาเอง”
“คุณชาย เหตุใดจึงต้องเป็นสิบปีด้วยเล่า” พ่อบ้านไม่เข้าใจ
“มีปรมาจารย์วิญญาณบางคนที่ไม่ชมชอบการถูกผูกมัด ถ้าหากให้พวกเขาทำงานให้พวกเราไปตลอดชีวิต พวกเขาย่อมไม่มีทางเห็นด้วยแน่ แต่ถ้าหากเป็นระยะเวลาเพียงแค่สิบปี พวกเขาก็จะเห็นสิ่งนี้เป็นเพียงแค่ข้อตกลงแล้วยอมทำอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ทว่าสิบปีก็เพียงพอให้พวกเราพัฒนาหล่อหลอมเป็นขุมอำนาจของตัวเองได้แล้วล่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง คุณชายช่างคิดไตร่ตรองได้รอบคอบยิ่งนัก” พ่อบ้านพูดพลางพยักหน้า
“สำหรับเงื่อนไขการเกณฑ์คนนั้น จะต้องมีพลังยุทธ์เหนือกว่าระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณขึ้นไป นอกจากนี้ยังจะได้ครอบครองสัตว์อสูรวิเศษระดับต่างๆ โดยอ้างอิงจากระดับขั้น ทั้งยังยังเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ข้าฝึกให้เชื่องเอง บวกกับยาวิเศษสมุนไพรอื่นๆ อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเสริม “นอกจากนี้เมื่อเข้าตระกูลซือหม่าแล้วจะได้ค่าจ้างที่ดีเท่ากับทหารยามของพวกเราเองเลย ท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดี ต้องมีผลตอบแทนที่ดีจึงจะมีคนเต็มใจอยู่ต่อ” พ่อบ้านขานตอบ
“ในเมื่อท่านเองก็เห็นด้วย เช่นนั้นก็ไปเตรียมติดป้ายประกาศเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์เสริม “นอกจากนี้ให้คนเร่งซ่อมแซมจวนซือหม่าด้วย พวกเรามิอาจอยู่อย่างไร้บ้านไปได้ตลอดทั้งยังไม่เอื้อต่อการดึงดูดผู้มีความสามารถอีกด้วย”
“ขอรับคุณชาย”
“ท่านไปจัดการเรื่องหลักๆ ก่อน รอให้เกณฑ์คนได้แล้วค่อยให้คนไปจับสัตว์อสูรวิเศษ พวกเรามิอาจพึ่งพาสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรตลอดไปได้หรอกนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปจัดการก่อนนะขอรับ” พ่อบ้านค้อมกายเล็กน้อยเตรียมจะจากไป
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพ่อบ้านเพิ่งกลับมาแล้วกำลังจะไปทำงานต่อโดยที่ยังไม่ทันได้พักหายใจ จึงเอ่ยว่า “เวลาในช่วงนี้ลำบากยิ่งนัก ต้องรบกวนท่านด้วย”
พ่อบ้านส่ายหน้า “ได้เป็นธุระให้ตระกูลซือหม่า นับเป็นวาสนาของตาแก่เช่นข้าแล้วขอรับ”
“ท่านอาฝู ขอบคุณท่านมาก”
พ่อบ้านออกไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ซือหม่าเลี่ยจากไปแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ท่านนายพล… คุณชายเติบใหญ่แล้วจริงๆ นะขอรับ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากห้องประชุม ก็เห็นคนที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมแซมจวนซือหม่า จึงผ่อนลมหายใจยาว
เมื่อเห็นหอหนังสือสะสมอันสมบูรณ์ไร้ที่ติ เธอจึงนึกถึงข้อสงสัยก่อนหน้านี้ขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
เธอหยุดยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าหอหนังสือสะสมแล้วนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ซือหม่าเลี่ยพาตนมาที่นี่เป็นครั้งแรกขึ้นมา ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง กุญแจดอกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่กลางอุ้งมือของเธอ
“คลิก…”
เธอเสียบลูกกุญแจเข้าไปในรูกุญแจ ประตูก็เปิดออกตามเสียงนั้น
เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไป เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ประตูก็ปิดลง
เธอเดินขึ้นเดินลงวนไปวนมาอยู่ภายในหอหนังสือหลายรอบก็ไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษ เพียงแค่พบหีบใบหนึ่งที่ชั้นบนสุดเท่านั้น
เธอหยิบหีบมาเปิดออก ก็เห็นว่าภายในนั้นมีแบบจำลองของหอหนังสือสะสมอยู่อันหนึ่งซึ่งมีความละเอียดและประณีต
“คราวก่อนที่มายังไม่เห็นสิ่งนี้เลย ท่านปู่เอามาวางไว้ที่นี่ทีหลังอย่างนั้นหรือ” เธอหยิบหอหนังสือสะสมมาตรวจตราอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จึงเห็นว่ามีร่องเล็กๆ อยู่ที่ด้านล่าง ซึ่งไม่รู้ว่ามีประโยชน์เช่นไร
เธอวางหออันเล็กกลับไปแล้วนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้
“ท่านปู่ ท่านพี่…”
แต่ก่อนล้วนมีคนในครอบครัวอยู่เป็นเพื่อนทุกครั้งยามกลับบ้าน แต่ตอนนี้มีเพียงแค่เธอเพียงคนเดียวจัดการทั้งบ้านด้วยตนเอง เธอจึงรู้สึกว่าแต่ก่อนตนเองโชคดีเพียงใด
เมื่อนึกถึงแหวนที่ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสมอบให้เธอ เธอจึงหยิบมันออกมาจากภายในมณีวิญญาณ ก่อนหน้านี้เพราะในใจเป็นทุกข์มากเกินไป จึงมิทันได้สังเกตว่านี่ก็คือวงที่เธอสวมอยู่เป็นปกตินั่นเอง!
พลังจิตด้านบนได้ถูกขจัดออกไปแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าแหวนวงนี้เป็นแหวนที่ไร้เจ้าของ
“ท่านปู่…”
เธอปล่อยพลังจิตเข้าไป ก็เห็นคลังปกติของซือหม่าเลี่ย จึงค้นพบว่าถึงแม้เขาจะเป็นราชันวิญญาณ ทั้งยังเป็นแม่ทัพแห่งอาณาจักรตงเฉิน แต่กลับมิได้มีสิ่งของมีค่ามากมายสักเท่าใดนัก
ความจริงแล้วทรัพย์สินของซือหม่าเลี่ยก็นับได้ว่ามั่งคั่งในอาณาจักรตงเฉินแล้ว เพียงแต่เธอเคยเห็นสิ่งของมากมายภายในมณีวิญญาณมาแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกว่าซือหม่าเลี่ยอัตคัดนัก
เธอกวาดตามองแหวนเก็บวัตถุรอบหนึ่ง จึงเห็นหนังสือเล่มหนึ่งกับหินเสียงก้อนหนึ่งวางอยู่ที่มุม
เธอหยิบหินเสียงขึ้นมาแล้วใส่พลังวิญญาณเข้าไป อักขระด้านบนเริ่มโคจร จากนั้นน้ำเสียงอันคุ้นเคยของซือหม่าเลี่ยจึงลอยออกมา
“โยวเย่ว์ ถ้าหากเจ้าได้ฟังสิ่งนี้ แสดงว่าตอนนี้ข้าคงจะมิได้อยู่ที่อาณาจักรตงเฉินแล้ว” เสียงของซือหม่าเลี่ยแก่ชราเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง
“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เคยบอกเจ้ามาโดยตลอด แท้ที่จริงแล้วเจ้ามิใช่สายเลือดของตระกูลซือหม่า จำสิ่งที่ข้าเคยบอกเจ้าได้หรือไม่ ตอนนั้นครอบครัวเราหนีไปถึงเทือกเขาสั่วเฟยย่า คนอื่นตายกันหมดแล้ว แต่สุดท้ายข้าได้รับความช่วยเหลือจากคนผู้หนึ่ง พาตัวข้าออกมาจากเทือกเขาสั่วเฟยย่า คนผู้นั้นก็คือบิดาของเจ้า เดิมทีข้าคิดว่าคงจะมิได้พบเจอกับเขาอีกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนเขาจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับอุ้มเจ้าเอาไว้ในอ้อมแขน หลังจากที่เขาฝากฝังเจ้าไว้กับข้าแล้วก็จากไป บอกว่าถ้าหากวันหนึ่งในภายภาคหน้าเจ้าประสบความสำเร็จ ก็ให้อาศัยป้ายหยกในแหวนวงนี้ไปพบเขาที่ดินแดนโบราณ…”
ซือหม่าโยวเย่ว์กวาดตามองภายในแหวนเก็บวัตถุรอบหนึ่งจึงเห็นว่ามีป้ายหยกวางอยู่อย่างโดดเดี่ยวจริงๆ เธอหยิบมันออกมาแล้วพบว่าพื้นผิวของป้ายหยกชิ้นนี้ใกล้เคียงกับที่เฟิงจือสิงให้ตน
“ปู่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีบางอย่าง เดิมทีคิดจะให้พวกเจ้าจากไปพรุ่งนี้เช้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือไม่ ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ขอฝากตระกูลซือหม่าให้เจ้าดูแลด้วย พ่อบ้านน่าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ ได้ ถ้าหากต้านทานต่อไปไม่ไหว ก็จงแยกย้ายกันไปเสีย…”
“หอหนังสือสะสมนั้นคืออาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งที่ข้าเคยได้มาครอบครองโดยบังเอิญ ตลอดมาข้าเองก็ยังไม่เข้าใจว่าที่แท้แล้วสิ่งนี้มีประโยชน์เช่นไร ใช้เป็นเพียงแค่หอหนังสือสะสมเท่านั้น ตอนนี้ข้าขอยกมันให้กับเจ้า บางทีเจ้าอาจจะค้นพบความเร้นลับที่ซ่อนอยู่ภายในก็เป็นได้ ภายในแหวนมีกุญแจอยู่ หากเจ้าเห็นก็คงเข้าใจได้เอง…”
“โยวเย่ว์ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ นี่คือความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของข้ากับบรรดาพี่ชายของเจ้า ข้าเชื่อว่านี่ก็เป็นสิ่งที่บิดามารดาบังเกิดเกล้าของเจ้าปรารถนาเช่นเดียวกัน…”
วาจาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ซือหม่าโยวเย่ว์มองหินเสียง ขณะนี้เธอมีน้ำตานองเต็มหน้า
เธอสัมผัสได้ถึงความรักอันหนักแน่นที่ซือหม่าเลี่ยมีต่อเธอ สัมผัสได้ถึงความไม่นิ่งนอนใจของเขา รวมทั้งความปรารถนาว่าตนจะมีชีวิตที่สงบสุขอีกด้วย
เธอเก็บหินเสียงขึ้นแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ท่านปู่ ท่านจงวางใจเถิด พวกเรายังต้องได้พบกันอีก ข้าจะต้องไปช่วยพวกท่านให้ได้!”