เธออยู่ภายในนั้นเนิ่นนาน แต่พอออกมาข้างนอกกลับผ่านไปไม่ถึงครึ่งคืน เธอให้เจ้าคำรามน้อยเก็บกวาด หลังจากนั้นจึงบำเพ็ญอยู่ภายในถ้ำต่อไป
ยามเช้าตรู่ พวกเขาแทบจะตื่นขึ้นในเวลาเดียวกัน พอล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยจึงออกไป
วันนี้พวกเขาจะไปเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษมาต่อสู้ด้วยเพื่อยกระดับความสามารถในการต่อสู้
อยู่ที่นี่มานานสองเดือน สัตว์อสูรวิเศษในบริเวณรอบๆ ย่อมรู้จักพวกเขากันหมดแล้ว รู้ว่าพวกเขาทั้งห้าคนมีพลังการต่อสู้อันน่าพิศวง ดังนั้นพอเห็นพวกเขาจึงพากันหลบหนีไปไกล
พวกเขาหามารอบหนึ่งก็ยังไม่เห็นว่ามีสัตว์อสูรวิเศษอยู่เลย จำใจต้องไปหายังบริเวณที่ไกลออกไป
“หากเข้าไปอีกก็จะเป็นอาณาบริเวณของสัตว์อสูรทิพย์แล้ว” โอวหยางเฟยยืนอยู่บนยอดเขา มองไปยังหุบเขาเบื้องหน้าพลางเอ่ยขึ้น
“ถึงอย่างไรข้าวของของพวกเราก็อยู่ในแหวนหมดแล้ว หากต้องการก็ไปได้ตลอดเวลา” เจ้าอ้วนชวีพูด “ในเมื่อหาสัตว์อสูรวิเศษแถวนี้มาต่อสู้กับพวกเราไม่ได้แล้ว ไม่สู้มุ่งหน้าต่อไปไม่ดีกว่าหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลอยู่บ้าง ตอนนี้มีเธอเพียงคนเดียวที่เป็นมหาปรมาจารย์วิญญาณ เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นเก้า ส่วนเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีเป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นแปด หากต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์ตัวสองตัวก็ยังพอไหว แต่ถ้าหากเจอเป็นฝูง พอถึงเวลานั้นต้องลำบากแน่นอน
แต่ถ้าหากมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป เป้าหมายที่พวกเขาอยากจะยกระดับพลังยุทธ์ก็คงจะเป็นเรื่องยาก
“เจ้ามิได้บอกว่าจะพัฒนาท่ามกลางภยันตรายหรอกหรือ” เว่ยจือฉีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ลังเลจึงพูดยิ้มๆ
ซือหม่าโยวเย่ว์แววตาเปล่งประกาย ใช่แล้ว ตอนนั้นที่ตนมาที่นี่ก็มิใช่เพราะมีความคิดเช่นนี้หรอกหรือ เหตุใดตอนนี้จึงลังเลขึ้นมาเสียแล้วเล่า
อันที่จริงก็เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าพวกเจ้าอ้วนชวีมากับตนถึงที่นี่แล้ว ถ้าหากไม่มีเธอ พวกเขาก็คงไม่มีทางมาถึงเทือกเขาสั่วเฟยย่า อย่างน้อยก็คงไม่มาในเวลาเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องนึกถึงความปลอดภัยของพวกเขาโดยสัญชาตญาณ
“ไปกันเถิด ข้างหน้าย่อมไม่เหมือนกับที่นี่ มีสัตว์อสูรวิเศษภายในนั้นมากกว่า พลังก็แข็งแกร่งกว่า คงจะให้พวกเราอยู่กันได้สักระยะหนึ่งเลยทีเดียว” โอวหยางเฟยพูด
พอส่งพวกเขาจากไปแล้ว สัตว์อสูรวิเศษที่ซ่อนตัวอยู่เหล่านั้นจึงทยอยกันออกมา แต่ละตัวต่างกอดคอกันร้องไห้ ในที่สุดเจ้าพวกดาวร้ายกลุ่มนี้ก็จากไปได้เสียที ไม่ง่ายเลย!
ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าเป็นลูกพลับเนื้อนุ่มจัดการง่าย คิดไม่ถึงว่าจะหนังเหนียวเคี้ยวยาก สัตว์อสูรวิเศษที่ไปยั่วยุพวกเขาล้วนมิได้มีจุดจบที่ดีกันทั้งสิ้น ถ้ามิได้ถูกฆ่า ก็ถูกทุบตีปางตาย ทำเอาพวกมันตกใจกลัวจนไม่กล้าไปเสนอหน้ากันอีกต่อไป
ดังนั้นพวกมันจึงรวมตัวกันเพื่อซ่อนตัวจากพวกเขา เมื่อหาสัตว์อสูรวิเศษไม่พบ พวกเขาก็ย่อมจากไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
คิดไม่ถึงว่ากลยุทธ์นี้จะได้ผลจริงๆ ดาวร้ายจากไปแล้ว ชีวิตของพวกมันก็คงกลับไปเป็นเช่นก่อนหน้านี้แล้ว
พวกซือหม่าโยวเย่ว์จากไป ย่อมไม่รู้อยู่ความคิดของบรรดาสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นอยู่แล้ว ถ้าหากล่วงรู้คาดว่าคงจะต่อต้าน พวกเขาน่าพิศวงขนาดที่พูดเสียที่ไหนกัน
แต่เธอก็ค้นพบแล้วว่าพวกเขาทุกคนต่างก็มีความสามารถในการต่อสู้แบบก้าวกระโดด ส่วนพวกเว่ยจือฉีนั้นถึงแม้ว่าจะยังเป็นปรมาจารย์วิญญาณ แต่หากต้องประมือกับมหาปรมาจารย์วิญญาณก็ไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย
ส่วนเป่ยกงและโอวหยางเฟย ถ้าหากสู้อย่างสุดกำลัง พลังการต่อสู้ก็น่าจะเทียบเคียงได้กับมหาปรมาจารย์วิญญาณขั้นเจ็ดขั้นแปดเลยทีเดียว
ส่วนตัวเธอเองนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความสามารถในชาติก่อน พลังจิตอันน่าพิศวงในชาตินี้ บวกกับพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าคนทั่วไปหลังจากถูกดัดแปลง ทั้งยังมีพรสวรรค์พหุธาตุ ต่อให้เผชิญกับราชาวิญญาณขั้นกลางก็ใช่ว่าเธอจะไม่มีโอกาสชนะ
เมื่อนึกถึงว่าตอนนี้ใช้งานเจดีย์วิญญาณได้ด้วย เธอจึงให้เจ้าวิญญาณน้อยเด็ดผลไม้ทิพย์มาจำนวนหนึ่งแล้วหยิบออกมาแบ่งให้คนละสองผล กินผลไม้ทิพย์ไปพลาง เดินทางไปพลาง
“ผลไม้ทิพย์หรือ โยวเย่ว์ เจ้าไปเอามาจากไหนกัน” เจ้าอ้วนชวีมองเห็นผลไม้ทิพย์จึงกัดคำหนึ่งก็พบว่าชุ่มฉ่ำน้ำ เมื่อกลืนลงท้องแล้วพลังวิญญาณขุมหนึ่งก็โคจรจากในท้องไปยังเส้นลมปราณ หลังจากนั้นก็ไหลจากเส้นลมปราณเข้าไปยังสระพลังวิญญาณ
“เสกออกมาน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์กัดผลไม้ทิพย์คำหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“ผลไม้ทิพย์นี้ดีกว่าที่เคยกินก่อนหน้านี้มากนัก พลังวิญญาณที่แฝงอยู่ภายในก็มากกว่าด้วย” เว่ยจือฉีพูด
เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยกินผลไม้ทิพย์อย่างเงียบๆ แต่นัยน์ตาก็เจือแววใคร่รู้เช่นกัน
ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่อยากบอกให้พวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของเจดีย์วิญญาณ ถึงแม้ว่าทุกคนจะคาดเดาได้เล็กน้อย แต่ก็รู้อยู่ในใจมิได้พูดออกมา
แน่นอนว่าให้พวกเขารู้ความลับบางอย่างของตน นอกจากจะเพื่อความเชื่อใจพวกเขาแล้วก็เพื่อความสะดวกของตนด้วย พอถึงเวลานั้นตนอยากจะทำอะไรก็จะไม่ยุ่งยากจนเกินไป
ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มีความลับบางอย่างที่มิอาจเปิดเผยได้โดยง่าย
นอกจากนี้การกินผลไม้ทิพย์เป็นประจำยังช่วยเพิ่มพื้นฐานการบำเพ็ญของทุกคนได้ด้วย
“มีความเคลื่อนไหว” ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดยืนอย่างกะทันหันแล้วโยนผลไม้ทิพย์ในมือทิ้งไป ก่อนจะหยิบหลิงหลงออกมาพลางมองไปเบื้องหน้าทางซ้ายอย่างระแวดระวัง
เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์โยนผลไม้ทิพย์ที่เพิ่งกินไปสองคำทิ้งเสียอย่างนั้น เจ้าอ้วนชวีก็เจ็บปวดใจไม่น้อย แต่เมื่อนึกดูอีกทีก็รู้ว่าเธอจะต้องมีผลไม้ทิพย์มากมายอย่างแน่นอน จึงยินดีอยู่ในใจ เช่นนี้ก็แปลว่าต่อไปตนจะได้กินผลไม้ทิพย์บ่อยๆ แล้วใช่หรือไม่!
ที่เผชิญในคราวนี้ก็คือเสือเขี้ยวดาบ สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขา เสือเขี้ยวดาบก็พุ่งตรงเข้ามา ดูเหมือนว่าจะหิวกระหายอย่างยิ่ง อยากกินพวกเขาเต็มแก่
“เพิ่งมาถึงก็พบสัตว์อสูรทิพย์เลย ต้องรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว!” เจ้าอ้วนชวีเก็บผลไม้ทิพย์ที่เหลือเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ ก่อนจะหยิบอาวุธของตนออกมาแล้วลุยเข้าไปด้วยเช่นกัน
การเคลื่อนไหวของพวกโอวหยางเฟยก็ไม่ช้าเช่นกัน ตอนที่เจ้าอ้วนชวีบ่นอยู่นั้นพวกเขาก็เริ่มต้นเคลื่อนไหวกันแล้ว
สัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้า ถึงแม้ว่าจะห่างกันเพียงระดับขั้นเดียว แต่พลังยุทธ์กลับห่างชั้นกันมากเหลือเกิน พวกเขาสองสามคนจัดการสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้าตนหนึ่งได้ แต่เมื่อเผชิญกับสัตว์อสูรทิพย์ พวกเขาต้องลุยเข้าไปพร้อมกันจึงจะใช้ได้
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง พวกเขาห้าคนก็ทำให้เสือเขี้ยวดาบยอมศิโรราบได้ พวกเขาไม่อยากเข่นฆ่า ดังนั้นจึงมิได้เอาชีวิตมัน
“โยวเย่ว์ ตระกูลซือหม่ายังต้องการสัตว์อสูรวิเศษอีกมิใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าฝึกมันให้เชื่องแล้วพอถึงเวลาก็ส่งมันไปพร้อมกับยาวิเศษจะดีกว่านะ” เว่ยจือฉีพูด
ราคาของสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่งสูงกว่าราคาของสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำหลายเท่า สัตว์อสูรทิพย์ย่อมสร้างรายได้ให้มากกว่าสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำอย่างมหาศาล
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดๆ ดูแล้วก็ใช้ได้ ตระกูลซือหม่ายังต้องการสัตว์อสูรวิเศษไปแก้ขัดอยู่ ที่ตนเองรับปากสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรเอาไว้แล้วว่าจะฝึกสัตว์อสูรทิพย์จำนวนหนึ่งให้ก็ยังไม่ได้ทำเลย ตนก็ฝึกสัตว์อสูรวิเศษจำนวนหนึ่งให้เชื่องเอาไว้ก่อน พอถึงเวลาแล้วค่อยส่งไปพร้อมกัน
การฝึกฝนเคล็ดหลอมวิญญาณตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ รวมทั้งพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นของตน พลังจิตของเธอก็เพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้การฝึกสัตว์อสูรทิพย์จึงยิ่งง่ายดายขึ้นอีก
มีบางทีที่เธอให้เว่ยจือฉีมาฝึก หลังจากมาที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าแล้วเธอได้สอนเคล็ดหลอมวิญญาณส่วนแรกให้กับเว่ยจือฉีบางส่วน มิได้บอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดหลอมวิญญาณ บอกเพียงแค่ว่าเป็นวิธีการที่ช่วยยกระดับพลังจิตได้เท่านั้น
เว่ยจือฉีฝึกฝนอย่างเคร่งครัดอยู่ทุกคืน ตอนนี้เขาก็พอฝึกสัตว์อสูรวิเศษในบรรดาสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองได้แล้ว
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มต้นกวาดไปทั่วทั้งภูเขาอีกครั้ง ในขณะที่ยกระดับพลังยุทธ์ของตนอย่างต่อเนื่องก็ไม่ลืมที่จะเก็บสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นทั้งหมดเอาไว้ด้วย
เมื่อรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์มีสิ่งของที่เก็บสิ่งมีชีวิตได้ เห็นเธอเก็บสัตว์อสูรวิเศษตนแล้วตนเล่าเข้าไป พวกเขาจึงไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย
กินผลไม้ทิพย์ ต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษ ดูดซับปราณวิญญาณอันเข้มข้นในภูเขาไปทุกวัน ถึงแม้ว่าจะได้สัมผัสกับรอยต่อความเป็นความตายอยู่เป็นประจำ แต่พลังยุทธ์ของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้นราวกับขี่จรวดเลยทีเดียว
อีกหลายเดือนต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าคำรามน้อยออกไปเพียงคนเดียว มายังบริเวณที่เข้ามาในเทือกเขาสั่วเฟยย่าเป็นครั้งแรก พ่อบ้านตระกูลซือหม่ากำลังรอเธออยู่ที่นั่น
คราวก่อนตอนส่งมอบยาวิเศษก็บอกเอาไว้แล้วว่าครั้งนี้ให้เขานำกรงใส่สัตว์อสูรวิเศษมาด้วยสักเก้าอันสิบอัน จากนั้นเขาจึงรีบไปที่สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรแล้วขอยืมกรงมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะรีบมาโดยไม่พักฝีเท้าแล้วรอคอยซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ที่นี่มาโดยตลอด