“มิใช่จิ้งจอกธรรมดาอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้สองมือยกตัวจิ้งจอกขึ้นมองซ้ายมองขวาแล้วพูดว่า “ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะมีสิ่งใดผิดปกติเลย”
ราชาสัตว์อสูรกระโดดลงมา ร่างกายสั่นสะท้านแล้วกลับคืนสู่ร่างเดิม จิ้งจอกขนาดมหึมาตัวหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทุกคน
จากนั้นหางของมันก็โบกสะบัดสองครั้ง จากหางเดียวกลายเป็นสองหาง จากนั้นก็สามหาง สี่หาง… ในที่สุดก็กลายเป็นเจ็ดหางแล้วจึงหยุดลง
“จิ้งจอกวิญญาณเจ็ดหาง!”
เมื่อเห็นหางยาวเหยียดเจ็ดหางของมัน ทั้งห้าคนต่างเบิกตาโพลง หลังจากนั้นพวกเจ้าอ้วนชวีก็เบนสายตาไปทางซือหม่าโยวเย่ว์ ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษสักตัวอย่างสุ่มๆ ก็ได้สัตว์อสูรวิเศษที่มีสายโลหิตสัตว์อสูรเทพโบราณหมดเลยหรือ!
“ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ในตัวของพวกเราจิ้งจอกวิญญาณเจ็ดหางมีสายโลหิตจิ้งจอกวิญญาณเก้าหางอยู่ รอให้สายโลหิตของข้าถูกกระตุ้นก่อน อาจจะกลายเป็นจิ้งจอกเก้าหางก็เป็นไปได้” ราชาสัตว์อสูรพูดต่อไป
ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ตกตะลึงเช่นกัน เธอเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับจิ้งจอกวิญญาณเจ็ดหางเข้า
“อะแฮ่มๆ เจ้า… เจ้าชื่ออะไรหรือ” เนิ่นนานกว่าเธอจะหาเสียงของตัวเองเจออีกครั้ง
“เชียนอิน”
“ชื่อเหมือนสตรีเลย” เจ้าคำรามน้อยพึมพำอยู่ข้างๆ
“อย่าคิดว่าตอนนี้พวกเรามีเจ้านายคนเดียวกันแล้วข้าจะไม่กล้าตีเจ้านะ!” สายตาของเชียนอินที่มองไปทางเจ้าคำรามน้อยยังคงย่ำแย่นัก
“เจ้าเข้ามาสิ มาเลย!” เจ้าคำรามน้อยหมอบอยู่บนบ่าซือหม่าโยวเย่ว์พลางแลบลิ้นใส่เชียนอิน
“ในเมื่อเป็นสัตว์อสูรของข้าด้วยกันทั้งหมด ข้าย่อมมิอาจลำเอียงเข้าข้างใครได้หรอกนะ เชียนอิน เจ้าก็ต้องออมมือหน่อยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเจ้าคำรามน้อยลงมาแล้วโยนไปทางเชียนอิน
ก่อนหน้านี้เจ้าคำรามน้อยเป็นคนของตน ต่อให้ไม่แยแสก็ยังต้องช่วยเหลือคนของตน แต่ตอนนี้เป็นสัตว์อสูรของตนด้วยกันทั้งคู่ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็กลายเป็นความขัดแย้งภายในแล้ว เธอจึงไม่อยากเข้าข้างใคร
แน่นอนว่าตอนนี้ที่เชียนอินบอกว่าจะจัดการเจ้าคำรามน้อยก็เป็นเพียงการแสดงท่าทีไปอย่างนั้น มิได้คิดจะฆ่าแกงเจ้าคำรามน้อยจริงๆ เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเชียนอินวิ่งไล่จับเจ้าคำรามน้อยมาตีรอบหนึ่ง หลังจากนั้นจึงพามันเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ
พอเชียนอินเข้าไปยังเจดีย์วิญญาณแล้วก็ชอบใจในสภาพแวดล้อม เมื่อรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์วางแผนจะให้เผ่าพันธุ์ของตนมาอยู่ที่นี่ ในภายหน้าย่อมติดตามไปกับเธอได้ ก็เป็นการจัดการที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ดังนั้นมันจึงพาพวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังอาณาเขตของตนอย่างเต็มใจ
เมื่อไปถึงที่นั่นโยวเย่ว์จึงรู้ว่าที่มีอยู่มิใช่จิ้งจอกวิญญาณเจ็ดหางทั้งหมด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสามหาง สี่หาง และห้าหาง
เธอลองถามเชียนอินดูจึงได้รู้ว่ายิ่งสายโลหิตสูงส่งก็จะยิ่งมีหางมาก มีมันเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่มีเจ็ดหาง มิน่าเล่าจึงเป็นราชาของพวกมันได้
เมื่อได้รู้ว่าราชาของตนทำพันธสัญญากับมนุษย์ เผ่าพันธุ์จิ้งจอกวิญญาณจึงเกิดความโกลาหลขึ้น สัตว์อสูรวิเศษจำนวนมากพากันต่อต้านเรื่องนี้
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้สนใจการต่อต้านของพวกมันแล้วยกเรื่องนี้ให้เชียนอินจัดการเอง
ดูเหมือนว่าเรื่องในครั้งนี้จะค่อนข้างยุ่งยาก ซือหม่าโยวเย่ว์เดินแทบจะทั่วทั้งภูเขาแล้ว เชียนอินจึงค่อยถ่ายเสียงบอกเธอว่าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เธอพาพวกเว่ยจือฉีกลับไป ไม่รู้ว่าเชียนอินพูดอะไรกับพวกมัน พวกที่ต่อต้านอย่างยิ่งก่อนหน้านี้ก็มิได้แสดงท่าทีต่อต้านยามเห็นซือหม่าโยวเย่ว์อีกต่อไปแล้ว
“เจ้านาย ข้าคุยกับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจะไปจากที่นี่พร้อมกับท่าน” เชียนอินพูด “นอกจากนี้ต่อให้จากไปในภายหน้าก็รับรองว่าจะไม่แพร่งพรายความลับของท่าน แต่ข้าเชื่อว่าพอได้ไปที่เจดีย์วิญญาณ พวกเขาก็คงไม่คิดจะจากไปแล้วล่ะ”
“ดี เช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าก็ลองดูกันว่ามีสิ่งใดที่ต้องนำติดไปด้วยหรือไม่ พรุ่งนี้พวกเราค่อยออกเดินทางก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
จากสถานที่ที่จากมาจนถึงที่นี่ก็ไกลพอสมควร นอกจากนี้ยังผ่านอาณาเขตของสัตว์อสูรวิเศษอื่นๆ มาหลายตัว ตอนนี้ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว ไม่เหมาะสมแก่การเดินทาง
เจ้าคำรามน้อยถูกเชียนอินตีไปยกหนึ่งจึงขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์ตลอดทั้งวัน ให้เธออุ้มตนเป็นการลงโทษที่เธอทอดทิ้งมัน ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าให้เก็บข้าวของ เจ้านี่จึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที จากนั้นจึงบินขึ้นไปบนหลังเชียนอินพลางเอ่ยว่า “พี่ชาย ไป พวกเราไปด้วยกันเถิด”
เชียนอินอดกลอกตามิได้ แต่ก็ยังพามันไปสั่งการการย้ายบ้านของเผ่าพันธุ์ของตน
เช้าวันรุ่งขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บจิ้งจอกวิญญาณทั้งหมดเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ ซึ่งเหมือนกับที่เชียนอินได้พูดเอาไว้ หลังจากที่พวกเขาไปถึงเจดีย์วิญญาณแล้วก็ชื่นชอบสภาพแวดล้อมภายในนั้นไม่น้อย แม้กระทั่งสัตว์อสูรเทพหลายตัวที่วิพากษ์วิจารณ์ในตอนแรกก็ไม่มีความเห็นต่างอีกต่อไปแล้ว
แม้จะพูดว่าเผ่าพันธุ์จิ้งจอกวิญญาณก็จริง แต่อันที่จริงแล้วมีสัตว์อสูรวิเศษรวมทั้งสิ้นเพียงแค่สามสี่สิบตัวเท่านั้น มีสัตว์อสูรเทพทั้งหมดหกตัว สัตว์อสูรทิพย์สิบกว่าตัว ส่วนที่เหลือล้วนเป็นสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำ แต่สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำโดยทั่วไปล้วนเป็นจิ้งจอกวิญญาณวัยเยาว์ที่พลังยุทธ์ยังยกระดับขึ้นไปไม่ได้ทั้งสิ้น
เดินทางมาหนึ่งวัน พวกเขาก็มาถึงสถานที่ก่อนหน้านี้ เมื่อนึกถึงว่าหลังจากออกไปแล้วก็จะไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ภายนอก พวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงรอให้ถึงเช้าวันรุ่งขึ้นแล้วค่อยให้เจ้าคำรามน้อยเปิดข่ายมนตร์ออกไป
ตอนออกไป เชียนอินก็ติดตามไปด้วย หลังจากที่มันข้ามผ่านข่ายมนตร์นั้นมาแล้ว มันก็หันกลับมามองทิวเขาอันทอดตัวยาวต่อเนื่องกันภายในนั้นโดยไม่เอ่ยวาจาอยู่เนิ่นนาน
ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ข้างกายเชียนอิน รู้ว่าความรู้สึกของมันในตอนนี้ซับซ้อนอยู่บ้าง จึงก้มตัวลงตบหัวมันเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ในภายภาคหน้ามีอะไรรออยู่อีกมากมาย ในเมื่อออกมาแล้ว ก็ต้องมองไปข้างหน้าแล้วล่ะ”
“อื้อๆ” เชียนอินพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินเข้าไปในภูเขากับพวกซือหม่าโยวเย่ว์
เมื่อผละจากข่ายมนตร์มา พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าปราณวิญญาณข้างนอกนี้เข้มข้นกว่าข้างในนั้นเสียอีก ดูเหมือนว่าแนวกั้นนั้นไม่เพียงแต่จะกักขังพวกเขาเอาไว้ภายในเท่านั้น แต่ยังทำให้ปราณวิญญาณภายในเบาบางลงอีกด้วย
“อา… รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก” เจ้าอ้วนชวีสูดหายใจเข้าลึกคราหนึ่งก่อนจะพูดยิ้มๆ
“โยวเย่ว์ เหลือเวลาเกือบหนึ่งปีกว่าจะถึงวันที่กำหนดไว้ในตอนนั้น พวกเราจะตรงไปกันเลย หรือว่าอย่างไรดีเล่า” เป่ยกงถังถาม
“โอวหยาง เจ้ารู้จักบ้านตระกูลซือหม่าหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
โอวหยางเฟยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อย่างน้อยในอาณาจักรทักษิณายาตรก็ไม่มีตระกูลใหญ่แซ่ซือหม่าอยู่เลย”
“เช่นนั้นพวกเราก็คงต้องตามหากันเป็นระยะเวลาหนึ่ง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เช่นนั้นพวกเราตรงไปกันเลยดีกว่า ระหว่างทางก็คอยดูว่าจะเจอสัตว์อสูรวิเศษอะไรให้ฝึกปรือกันได้บ้างหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ในภูเขาเพื่อฝึกฝนอีกแล้ว ว่าอย่างไรเล่า”
“ได้เลย พวกเราไม่มีปัญหา” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ตอนนี้พวกเราเชื่อฟังเจ้าทั้งหมดนั่นแหละ เจ้าจัดการเลยก็ได้” เว่ยจือฉีพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟย เมื่อดูแล้วเขาไม่มีความเห็นต่างอะไรจึงพูดว่า “เช่นนั้นก็สรุปเช่นนี้แล้วกัน ตอนนี้พวกเรามุ่งหน้าตรงไปกันเลย เชียนอิน เจ้าคำรามน้อย พวกเจ้าเก็บพลานุภาพของพวกเจ้าไปก่อนนะ”
“ได้เลยเจ้านาย”
เชียนอินและเจ้าคำรามน้อยเก็บพลานุภาพของตัวเองไป แล้วพวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยออกเดินทาง
พูดได้ว่าบริเวณที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้มิใช่ศูนย์กลางของเทือกเขาสั่วเฟยย่า ศูนย์กลางที่แท้จริงนั้นคือบริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ต่างหาก
แต่นั่นมิใช่สิ่งที่พวกเขาจะสัมผัสได้ในตอนนี้ ดังนั้นตอนที่พวกเขาเดิน จึงใช้เส้นทางเลี่ยง ภายใต้การนำทางของโอวหยางเฟย
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็พบกับสัตว์อสูรเทพจำนวนไม่น้อยตลอดทาง มีบางส่วนที่มิได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนักกับการที่พวกเขาผ่านทางมา แต่ก็มีบางส่วนที่วิ่งไล่ตามพวกเขาข้ามภูเขาหลายลูก
อย่างเช่นตอนนี้ หมีสีน้ำตาลตัวหนึ่งก็ไล่ตามอยู่เนิ่นนานจึงผละจากไป
“บ้าจริง ไล่ล่าเสียโหดร้ายปานนั้น ทำเอาคุณชายเช่นข้าทำรองเท้ากระเด็นหายไปเลย” เจ้าอ้วนชวีเห็นเท้าที่รองเท้าหลุดหายไปข้างหนึ่งของตัวเองแล้วจึงโมโหจนก่นด่าออกมา
ทุกคนเพิ่งสังเกตว่าเจ้าอ้วนชวีใส่รองเท้าข้างเดียว ส่วนเท้าอีกข้างนั้นเปล่าเปลือย จึงอดพากันหัวเราะขึ้นมามิได้