“ไปหาปู่หมีของเจ้าเสียเถอะ สักวันหนึ่งคุณชายเช่นข้าจะวิ่งไล่เจ้าไปทั่วภูเขา วิ่งไปเด็ดอุ้งตีนหมีของเจ้าเสีย!” เจ้าอ้วนชวีด่าไปพร้อมๆ กับหยิบรองเท้าอีกคู่จากภายในแหวนเก็บวัตถุมาเปลี่ยน
เพราะเพิ่งจะถูกวิ่งไล่มา ทุกคนจึงตื่นตระหนกจนไม่รู้ทิศรู้ทาง ตอนนี้จึงเบี่ยงเบนไปจากทิศทางที่กำหนดเอาไว้เสียแล้ว โอวหยางเฟยหยิบสิ่งของที่ดูคล้ายกับเข็มทิศออกมาแล้วดูที่เข็มด้านบนซึ่งชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จึงเอ่ยว่า “ทางนี้”
ทุกคนเดินไปตามทิศทางที่โอวหยางเฟยบอก พวกเขาออกจากสถานที่เนรเทศกันมาได้หนึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังคงวนเวียนไปมาอยู่ภายในภูเขา
แต่อ้างอิงจากสิ่งที่โอวหยางเฟยพูด ที่นี่ก็อยู่ห่างจากภายนอกอีกไม่ไกลแล้ว บางทีผ่านไปอีกไม่นานอาจจะได้พบกับคนที่มาหาประสบการณ์ตามล่าหาขุมทรัพย์ที่นี่ก็เป็นได้
ผ่านไปสองวัน พวกเธอจึงได้พบกับมนุษย์คนแรก
ตอนนั้นซือหม่าโยวเย่ว์ได้สอนพวกเขาว่าจะซ่อนเร้นกลิ่นอายได้อย่างไรเพื่อไม่ให้สัตว์อสูรวิเศษค้นพบตนเมื่อเข้ามายังเทือกเขาสั่วเฟยย่า สิ่งนี้เคยเป็นเรื่องพื้นฐานที่เธอต้องทำทุกครั้งก่อนออกไปปฏิบัติภารกิจ
ทุกคนล้วนมีพรสวรรค์ไม่เลว ตอนนี้ต่างใช้พื้นฐานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
“มีความเคลื่อนไหว!” ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดชะงักในทันใด ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกับส่งสัญญาณให้กับทุกคน
เว่ยจือฉีมองไปรอบบริเวณที่พวกเขาอยู่แล้วชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างกาย คนอื่นๆ ก็เข้าใจแล้วลดฝีเท้าให้เบาลงในทันที ก่อนจะเหินทะยานเข้าไปในกิ่งไม้หนาทึบแล้วสังเกตการณ์ดูสถานการณ์เบื้องล่างผ่านช่องว่าง
เพียงครู่เดียว บุรุษหนุ่มคนหนึ่งก็ถือหลิงหลงของตนวิ่งเข้ามา ดูเหมือนเหนื่อยอ่อนอย่างยิ่ง เขาเอนพิงลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพลางหอบหายใจ
“เจ้านาย ไม่มีกลิ่นอายของจิ้งจอกม่วงแล้ว” สัตว์อสูรวิเศษของชายหนุ่มดมไปทั่วทุกทิศทางแล้วเอ่ยขึ้น
พอชายหนุ่มได้ยินก็โมโหทันที เขาใช้มือหนึ่งตบหัวสัตว์อสูรวิเศษของตน
“แค่นี้ยังพลาดได้ โง่เง่าถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นหมูสินะ!”
สัตว์อสูรวิเศษมองเจ้านายของตนอย่างโศกเศร้าในทันใดแล้วเอ่ยว่า ”เจ้านาย แต่ไหนแต่ไรข้าก็เป็นหมูอยู่แล้วนะ!”
“ต่อให้เจ้าเป็นหมู เจ้าก็ไม่ควรโง่เง่าถึงเพียงนี้อยู่ดี!” ชายหนุ่มกุมหน้าผากด้วยสีหน้าเหลืออด
“พรืด…”
เจ้าอ้วนชวีได้ฟังคำพูดของพวกเขาแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ใครน่ะ!” ชายหนุ่มหันหน้ามามอง ก็เห็นว่าบนต้นไม้มีคนยืนอยู่หลายคนเลยทีเดียว
เจ้าคนพวกนี้ขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไรกัน เพราะเหตุใดก่อนหน้านี้เขาจึงไม่รู้สึกเลยเล่า ถ้าหากมิใช่เพราะตนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนี้แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองพอดีก็ไม่แน่ว่าจะมองเห็นพวกเขาได้
เมื่อเห็นว่าถูกพบตัวเสียแล้ว พวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงกระโดดลงมากันหมด แล้วมองประเมินมนุษย์และสัตว์อสูรคู่นี้
ชายหนุ่มใบหน้าละมุนละไม แววตากระจ่างใส ดูแล้วไม่เหมือนคนโฉดชั่ว ดูจากที่เขาพูดกับสัตว์อสูรวิเศษของตนแล้วเหมือนคนประเภทสมองกลวงมากกว่า
ชายหนุ่มก็กำลังมองประเมินพวกซือหม่าโยวเย่ว์เช่นเดียวกัน บนใบหน้าไม่มีความตื่นเต้นยามที่ได้พบเจอคนแปลกหน้าเลย
“พวกเจ้าเป็นใครกัน เหตุใดจึงต้องแอบฟังสิ่งที่พวกเราคุยกันอยู่บนต้นไม้ด้วยเล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“พวกเราก็แค่ผ่านทางมาเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากน่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูด “พี่ชาย สัตว์อสูรวิเศษของท่านเป็นสายพันธุ์ใดกันหรือ”
ดูคล้ายว่าชายหนุ่มจะไม่มีจิตใจระแวดระวังต่อผู้อื่นเลย เมื่อได้ฟังคำพูดของเจ้าอ้วนชวี จึงพูดอย่างลำพองใจว่า “ของข้าเป็นสุกรแดงสามตาอันหาได้ยากยิ่ง ร้ายกาจยิ่งนัก”
“แต่เจ้าทำเหมือนข้าเป็นสุนัขรับใช้อยู่บ่อยๆ” สุกรแดงสามตาพึมพำอยู่ข้างๆ พอชายหนุ่มได้ยินเข้า จึงฟาดฝ่ามือใส่มันอีกทีหนึ่ง
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าหมูที่ดูไม่สะดุดตาเช่นนี้จะเป็นถึงสุกรแดงสามตาอันหาได้ยากยิ่งของโลกใบนี้ เธอมองดูต่อไปจึงเห็นว่าบนหน้าผากของมันมีรอยแยกอยู่เส้นหนึ่ง น่าจะเป็นดวงตาที่สามที่ปิดสนิทอยู่
“ข้าชื่อเว่ยจือฉี ไม่ทราบว่าพี่ชายท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไรหรือ” เว่ยจือฉีประสานมือคารวะชายหนุ่มแล้วถามขึ้น
“ไอ้หยา… ชื่อของพวกเรามีคำว่าฉีเหมือนกันเลย!” ชายหนุ่มพูด “ข้าเชื่อไป๋อวิ๋นฉี เป็นคนของกลุ่มทหารรับจ้างนกนางนวล”
“กลุ่มทหารรับจ้างนกนางนวลหรือ” เว่ยจือฉีแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นคนของกลุ่มทหารรับจ้างนี่เอง เช่นนั้นพวกท่านก็มาปฏิบัติภารกิจที่นี่สินะ”
“ใช่แล้ว!” ไป๋อวิ๋นฉีพยักหน้า “โอ้… พวกเจ้าไม่รู้จักกลุ่มทหารรับจ้างนกนางนวล พวกเจ้ามิใช่คนของอาณาจักรจันทร์ประจิมหรอกหรือ”
พวกเขารู้ว่าออกไปจากที่นี่ก็คืออาณาเขตของอาณาจักรจันทร์ประจิม โอวหยางเฟยก็ออกจากอาณาจักรทักษิณายาตรมายังอาณาจักรจันทร์ประจิม หลังจากนั้นจึงไปยังอาณาจักรตงเฉินผ่านเทือกเขาสั่วเฟยย่า
“พวกเรามิใช่คนของอาณาจักรจันทร์ประจิมจริงๆ นั่นแหละ ว่าแต่ท่านทายถูกได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีถาม
“กลุ่มทหารรับจ้างนกนางนวลของพวกเราเป็นหนึ่งในสามกลุ่มทหารรับจ้างใหญ่แห่งอาณาจักรจันทร์ประจิม แต่พวกเจ้าได้ยินแล้วไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยแม้แต่น้อย ย่อมมิใช่คนของอาณาจักรจันทร์ประจิมอยู่แล้ว” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “มิใช่คนของอาณาจักรจันทร์ประจิม แล้วพวกเจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน พวกเจ้าเป็นคนอาณาจักรใดหรือ”
“พวกเรามาจากอาณาจักรตงเฉิน” เว่ยจือฉีเอ่ยตอบ
“อ้อ… ที่แท้ก็มาจากอาณาจักรตงเฉินนั่นเอง” ไป๋อวิ๋นเฟยพยักหน้าแล้วมีปฏิกิริยาขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนจะมองพวกเขาอย่างตกใจ “พวกเจ้าเป็นคนอาณาจักรตงเฉินอย่างนั้นหรือ มาจากสถานที่เนรเทศทางด้านตะวันตกนั่นน่ะหรือ!”
เว่ยจือฉีพยักหน้า
“มิได้ว่ากันว่าหากยังไปไม่ถึงระดับราชันวิญญาณก็ออกมามิได้หรอกหรือ หรือพวกเจ้าเป็นระดับราชันวิญญาณกันหมดแล้ว” ไป๋อวิ๋นเฟยมองพวกเขาที่ดูเหมือนจะเยาว์วัยกว่าตนเสียอีกด้วยความรู้สึกเหมือนโดนตีแสกหน้า
“หามิได้ๆ พวกเรามิได้เป็นราชันวิญญาณกันหรอก” เว่ยจือฉีพูด “เพียงแค่โชคดีเท่านั้น จึงมาถึงที่นี่ได้”
ไป๋อวิ๋นเฟยแสดงสีหน้าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองออกมา พลางพยักหน้าอย่างคลายใจ “ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่า พรสวรรค์ของข้านับได้ว่าน่าอัศจรรย์แล้ว แล้วจะมีใครน่าอัศจรรย์ได้ยิ่งกว่าข้าอีกเล่า”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาอย่างอับจนคำพูด นิสัยของเจ้าคนผู้นี้นี่มันอย่างไรกัน! มีคนหลงตัวเองถึงเพียงนี้อยู่ด้วยหรือ
ไป๋อวิ๋นฉีดูคล้ายจะสัมผัสความคิดของพวกเขาไม่ได้เลย เขาพูดต่อไปว่า “แต่พวกเจ้าเดินออกมาจากที่นั่นได้ก็มิใช่เรื่องง่ายเลย ไม่ถูกสัตว์อสูรเทพบดขยี้ โชคดีใช้ได้เลยทีเดียว”
“พี่ไป๋ พวกเราอยากถามสักหน่อยว่าที่อาณาจักรจันทร์ประจิมมีตระกูลซือหม่าอยู่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ตระกูลซือหม่าหรือ มีสิ ที่เมืองผิงคังที่สำนักใหญ่ของพวกเราตั้งอยู่ก็มีตระกูลซือหม่าอยู่ตระกูลหนึ่ง” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “ทำไมหรือ พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาตระกูลซือหม่าอย่างนั้นหรือ”
“อื้ม มีธุระที่ต้องไปหาพวกเขาหน่อยน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“คนตระกูลซือหม่านั่นมิใช่คนดีอะไรเลย เจ้าจะไปหาพวกเขาทำไมกัน” ไป๋อวิ๋นฉีถามพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์
“พวกเขาจับตัวคนในครอบครัวข้าไป ข้าจะไปช่วยพวกเขา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
คิดไม่ถึงว่าพอออกมาก็จะได้ยินเบาะแสของตระกูลซือหม่าเลย นี่ทำให้ทุกคนเบาใจลงได้บ้างเล็กน้อย
“จับตัวคนหรือ นี่ดูเป็นเรื่องที่ตระกูลซือหม่าจะทำออกมาได้จริงๆ นั่นแหละ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “แต่พวกเจ้าไปกันแค่ไม่กี่คน เกรงว่าคงจะช่วยคนในครอบครัวพวกเจ้าออกมาไม่ได้น่ะสิ ถึงแม้ว่าตระกูลซือหม่านั่นจะเป็นฝูงอสูรร้าย แต่พลังยุทธ์ก็ไม่เลวเลยทีเดียว มีราชันวิญญาณอยู่หลายคน ทั้งยังมีจ้าววิญญาณอยู่อีกคนหนึ่งด้วย มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่กล้าโอหังถึงเพียงนี้หรอก”
“เรื่องนี้ข้าเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่เรื่องแค่นั้นมิอาจขัดขวางการก้าวย่างของข้าได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างแน่วแน่
“โอ้… ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากพวกเจ้าไม่เร่งร้อน เช่นนั้นจงรอให้พวกเราปฏิบัติภารกิจกันเสร็จก่อน หลังจากนั้นข้าจะพาพวกเจ้าไปที่เมืองผิงคังเอง” ไป๋อวิ๋นฉีซาบซึ้งใจในท่าทีไม่สะทกสะท้านต่อภยันตรายเพื่อช่วยเหลือคนในครอบครัวของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องรบกวนท่านหรอก ท่านแค่บอกพวกเราว่าจะไปที่เมืองผิงคังได้อย่างไรก็พอแล้ว พวกเราไปผ่านค่ายกลนำส่งกันเองก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ปฏิเสธ
ไป๋อวิ๋นฉีส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หากพวกเจ้าไปกันเอง ไม่มีทางใช้ค่ายกลนำส่งได้หรอก”