ซือหม่าโยวเย่ว์เงยหน้าขึ้น สายตาแน่วแน่
“ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็หยุดย่างก้าวของข้ามิได้หรอก ในเมื่อตอนนั้นทำสัญญากันเอาไว้ว่าสามปี เช่นนั้นข้าก็จะไปให้ทันเวลาที่ตกลงกันเอาไว้!”
“ดี!” ซุนลี่ลี่มองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างยอมรับนับถือ “อายุยังน้อยก็มีความคิดเช่นนี้แล้ว ช่างดีเสียจริง”
“แต่ถ้าหากตระกูลซือหม่านั่นมิใช่ตระกูลซือหม่าที่พวกเราต้องการตามหาเล่า” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยอย่างเป็นกังวล
“ดูเหมือนว่าคงต้องไปดูที่นั่นก่อนสักหน่อยแล้วล่ะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่อย่างสบายใจไปสักระยะหนึ่งก่อนก็ได้” ซุนลี่ลี่พูด “พวกเจ้าช่วยชีวิตเสี่ยวฉีฉีเอาไว้ พี่สาวกับพี่เขยจะต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างดีแน่ กลุ่มนกนางนวลยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสามกลุ่มทหารรับจ้างใหญ่ได้ ย่อมมีความสามารถพอตัวอยู่แล้ว การช่วยเจ้าสืบหาข่าวย่อมมิใช่ปัญหาแต่อย่างใดเลย”
“ได้จริงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซุนลี่ลี่
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว!” ไป๋อวิ๋นฉีพูดอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง “ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน ให้ท่านพ่อส่งคนไปตรวจสอบสักหน่อยก็ได้นี่นา ไปดูว่าตระกูลซือหม่านั่นใช่ตระกูลที่เจ้าต้องการตามหาหรือไม่ คนเหล่านั้นชื่ออะไรกันบ้างเล่า ซือหม่าเลี่ยแล้วมีซือหม่าอะไรอีกหรือ”
“ซือหม่าหลิน ซือหม่าข่าย ซือหม่าเค่อ และซือหม่าชิง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เอาละ อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนกลับไปผ่านค่ายกลนำส่ง ให้ท่านพ่อส่งคนไปตรวจสอบดูว่าตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางมีคนเหล่านี้อยู่หรือไม่!” ไป๋อวิ๋นฉีพูด
“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าด้วยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองไป๋อวิ๋นฉีอย่างซาบซึ้ง
“นายน้อย ท่านยกเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถิด” หลี่ขุยพูด
“ลำบากท่านแล้ว ท่านอาหลี่” ไป๋อวิ๋นฉีพูดพลางพยักหน้า
หลี่ขุยลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพซุนลี่ลี่ ก่อนจะพยักหน้าให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์แล้วออกไปจากโถงรับแขก
ซุนลี่ลี่ดึงตัวพวกซือหม่าโยวเย่ว์มาถามคำถามและสนทนากัน นางเป็นคนช่างพูดช่างคุยอย่างยิ่ง อีกทั้งอุปนิสัยยังตรงไปตรงมา การสนทนากับนางจึงทำให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่งวังเหล่ยก็กลับมา เมื่อเห็นภรรยาของตนหัวเราะอย่างเบิกบานใจถึงเพียงนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ประธานก่อนจะยกน้ำชาที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “คุยอะไรกันอยู่น่ะ เบิกบานใจถึงเพียงนั้นเลยหรือ”
“กำลังฟังเรื่องที่พวกโยวเย่ว์เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ในเทือกเขาสั่วเฟยย่าน่ะ” ซุนลี่ลี่หุบยิ้มแล้วถามว่า “เรื่องราวเป็นเช่นไรบ้าง”
“ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว คาดว่าต้องถึงพรุ่งนี้จึงจะรู้ผล” วังเหล่ยเอ่ยตอบ
“เช่นนั้นก็คงได้แต่รอดูผลลัพธ์แล้วล่ะนะ” ซุนลี่ลี่พูด “ใช่แล้ว ท่านรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางมากเพียงใดหรือ”
“ตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางหรือ” วังเหล่ยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขามองซุนลี่ลี่พลางถามว่า “เหตุใดจู่ๆ เจ้าจึงถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า”
ซุนลี่ลี่เล่าเรื่องของซือหม่าโยวเย่ว์ให้ฟังโดยละเอียด พอจบแล้วสายตาที่วังเหล่ยมองไปยังซือหม่าโยวเย่ว์ก็มีความกังวลอยู่บ้าง
“หลี่ขุยส่งคนไปหาพี่สาวพี่เขยเรียบร้อยแล้ว พวกเราคิดว่าเจ้าอาจจะพอรู้เรื่องราวของตระกูลซือหม่าอยู่บ้างก็เลยลองถามดูน่ะ” ซุนลี่ลี่พูด
วังเหล่ยถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องไปตรวจสอบแล้วล่ะ ตระกูลที่พวกเจ้ากำลังตามหาก็คือตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางนั่นแหละ”
“พี่เหล่ย ท่านแน่ใจหรือ” ซุนลี่ลี่ถาม
“แน่ใจอยู่แล้วสิ” วังเหล่ยพูด “คนของตระกูลซือหม่าที่ข้าบอกว่าเคยเห็น ในบรรดาพวกเขาเมื่อตอนนั้นมีคนหนึ่งชื่อซือหม่าหลิน อีกคนชื่อซือหม่าเค่อ”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์กับเว่ยจือฉีประสานสายตากันปราดหนึ่ง นัยน์ตามีความดีใจและมีความวิตกกังวลเจืออยู่ด้วย
ที่ดีใจก็คือในที่สุดก็พบร่องรอยของพวกซือหม่าเลี่ยจริงๆ เสียที ส่วนที่วิตกกังวลก็คือพลังยุทธ์ของอีกฝ่าย เกรงว่าคราวนี้คงจะจัดการได้ไม่ง่ายเลย
“มิทราบว่าจะไปที่อาณาจักรอู๋กลางได้อย่างไรหรือ” เว่ยจือฉีเอ่ยถาม
“การควบคุมระหว่างอาณาจักรของที่นี่มิได้เข้มงวดมากนัก ที่เมืองหลวงก็มีค่ายกลนำส่งไปยังอาณาจักรอู๋กลางอยู่ พอถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็โดยสารผ่านค่ายกลนำส่งไปได้” วังเหล่ยพูด “แต่ค่ายกลนำส่งนี้มิได้มีทุกวัน ทุกสามวันห้าวันจึงจะมีสักครั้งหนึ่ง พวกเจ้าต้องลองไปถามเวลาที่แน่นอนเอาที่เมืองหลวงนะ”
“ขอแค่ไปได้ก็พอแล้ว” หัวใจที่ลอยคว้างของซือหม่าโยวเย่ว์สงบลงมาครึ่งหนึ่ง หวังว่าคราวนี้คงจะไม่ผิดพลาดอีก
ไป๋อวิ๋นฉีเห็นว่าสนทนากันมาได้พอสมควรแล้ว รู้ว่าซุนลี่ลี่และวังเหล่ยยังมีเรื่องที่ต้องการพูดคุยกันอีก จึงเอ่ยว่า “ท่านน้าเล็ก ข้าขอพาพวกโยวเย่ว์ไปก่อนนะ ก่อนหน้านี้ได้พูดกันเอาไว้ว่าหากมาถึงที่นี่แล้วจะต้องดื่มกับพวกเขาสักสองสามจอก”
“ไปเถิดๆ สหายของเจ้าเอง เจ้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าควรต้อนรับขับสู้เช่นไร” ซุนลี่ลี่โบกไม้โบกมือ “ช่วงนี้พวกเจ้าก็อยู่กันที่จวนเจ้าเมืองไปก่อนนะ รอให้เอกสารยืนยันตัวตนของพวกเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยมาวางแผนกันว่าจะทำเช่นไรต่อไปดี”
“ได้เลยขอรับ เช่นนั้นก็รบกวนด้วย” พวกเว่ยจือฉีลุกขึ้นยืนแล้วโบกมือให้กับวังเหล่ยและซุนลี่ลี่ จากนั้นไป๋อวิ๋นฉีจึงออกไปจากตำหนักใหญ่
“ไปกันเถิด วันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปดื่มสุราสักสองสามจอก” ไป๋อวิ๋นฉีโอบบ่าเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีแล้วพาพวกเขาจากไปพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น
ภายในโถงรับแขก ซุนลี่ลี่เห็นพวกเขาจากไปแล้วจึงพูดกับวังเหล่ยว่า “พี่เหล่ย เมื่อครู่ท่านมีสิ่งใดปิดบังเอาไว้ไม่ยอมพูดใช่หรือไม่”
วังเหล่ยเลิกคิ้วมองซุนลี่ลี่โดยไม่พูดไม่จา
“เอาละ ท่านไม่พูดแล้วคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร” ซุนลี่ลี่เอื้อมมือไปบีบจมูกวังเหล่ยแล้วเอ่ยว่า “ข้าเห็นสีหน้าของท่านเมื่อครู่ก็รู้แล้วว่าท่านมีสิ่งที่ไม่ยอมพูดอยู่ เป็นเรื่องใดกันหรือที่มิอาจพูดกับพวกเขาได้”
“ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแต่ได้ยินมาว่าสองปีหลังมานี้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลาง พวกเขาไปช่วยท่านปู่ในเวลานี้ก็ไม่รู้เลยว่าจะเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย” พอพูดจบวังเหล่ยก็ถอนหายใจ
ถ้าหากเป็นตระกูลซือหม่าแห่งเมืองผิงคัง อยากจะช่วยคนนั้นย่อมมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่การจะไปช่วยคนที่ตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลาง นั่นย่อมมิใช่เรื่องง่ายเลย
“ข้าเชื่อว่าเจ้าพวกเด็กโยวเย่ว์ทำได้อย่างแน่นอน” ซุนลี่ลี่พูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าเชื่อมั่นในตัวพวกเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ” วังเหล่ยประหลาดใจอยู่บ้าง ภรรยาของตนมีสายตาเช่นไรเขาย่อมรู้ดีอย่างยิ่ง นางมีสายตาอันเฉียบคมต่อคนหนุ่มสาวเหล่านี้
“ท่านมิได้มาตอนที่พวกเราสนทนากันก่อนหน้านี้ ข้าพบว่าเด็กห้าคนนั้นไม่เหมือนกับคนหนุ่มสาวธรรมดาทั่วไปเลย” ซุนลี่ลี่พูด “ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพวกเขาทั้งห้าอยู่ที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าถึงสองปีกว่าเพื่อให้ได้ออกมาจากสถานที่เนรเทศ”
“หืม”
“คนจำนวนไม่น้อยอาจไปฝึกประสบการณ์ที่สั่วเฟยย่า แต่ก็เป็นเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนหรือปีเดียวเท่านั้น ใช้ชีวิตอยู่ภายในภูเขาได้ถึงสองปี พวกเขาย่อมมีความแน่วแน่ที่หาได้ยากในคนรุ่นเยาว์ ทนต่อความโดดเดี่ยวได้ นอกจากนี้ยังต้องมีความละเอียดรอบคอบและความสามารถด้วย มิฉะนั้นคงไม่มีทางรอดชีวิตมาได้หรอก” ซุนลี่ลี่พูดวิเคราะห์
วังเหล่ยแย้มยิ้ม “พวกเขาห้าคนดูไม่เหมือนเด็กรุ่นเยาว์ทั่วไปจริงๆ นั่นแหละ”
“นั่นสิ สายตาข้าจะธรรมดาทั่วไปได้อย่างไรกัน…”
ไป๋อวิ๋นฉีนำทางพวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังลานเล็กที่จัดเตรียมไว้แล้วให้คนยกสุราอาหารมา จากนั้นทั้งหกคนจึงดื่มกินกันอยู่ภายในศาลา
สุราสามจอกไหลลงท้องไป ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพูดว่า “โอวหยาง ข้ามีคำถามหนึ่งอยากถามเจ้าหน่อย”
“อะไรหรือ”
“อาณาจักรตงเฉิน อาณาจักรจันทร์ประจิม อาณาจักรทักษิณายาตร อาณาจักรอู๋กลาง อาณาจักรนางแอ่นอุดร ข้าคิดมาตลอดว่าตั้งชื่อจากที่ตั้งของอาณาจักรแต่ละแห่ง แต่พอออกมาแล้วข้าถึงได้ค้นพบว่าความจริงแล้วอาณาจักรตงเฉินอยู่ทางตะวันตกของสี่อาณาจักรใหญ่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ใช่แล้ว อยู่ทางตะวันตกสุดเลย” โอวหยางเฟยพยักหน้า
“เช่นนี้ก็มิใช่ว่าหายไปอาณาจักรหนึ่งหรอกหรือ อาณาจักรจันทร์ประจิม อาณาจักรทักษิณายาตร อาณาจักรอู๋กลาง อาณาจักรนางแอ่นอุดร เช่นนั้นทางตะวันตกเล่า ไม่มีอาณาจักรอยู่หรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
เมื่อได้ยินคำถามของเธอ สีหน้าของโอวหยางเฟยและไป๋อวิ๋นฉีก็แปรเปลี่ยนไป