ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นท่าทีของเจ้าอ้วนชวี ฝ่ามือข้างหนึ่งตบศีรษะเขาเบาๆ พลางเอ่ยคำราม
“รูปร่างเจ้าราวกับหมี หากคุณชายเช่นข้าคิดจะทำเรื่องเช่นนั้นก็คงไม่ทำกับเจ้าหรอกน่า!”
ได้ยินวาจาประโยคนี้ของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวีก็วางใจแล้ว มองไม่เห็นสีหน้าตื่นตระหนกบนใบหน้าอีกต่อไป แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างโง่เง่าแทน พลางถามว่า “คุณชายห้า เจ้าเรียกข้าให้หยุดไว้ทำไมหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเจ้าอ้วนชวีเข้ามาในห้องแล้วดึงประตูปิดพลางพูดว่า “เจ้าอ้วนชวี ข้าถามหน่อยสิ เจ้ารู้สถานการณ์ของทั้งสามคนนั้นหรือไม่ สนิทสนมกับพวกเขาหรือไม่”
“ไม่สนิทหรอก” เจ้าอ้วนชวีส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “เป่ยกงถังพูดน้อยยิ่งนัก ทั้งยังชอบการอยู่ตามลำพังมากกว่า นอกจากชื่อของนางแล้ว นางก็ไม่เคยเล่าเรื่องของนางให้ผู้อื่นฟังมาก่อนเลย”
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางของตนแล้วเอ่ยว่า “อืม นางก็ดูท่าทางเย็นชา ไม่ใคร่จะชอบสนทนากับผู้คนสักเท่าไหร่จริงๆ นั่นแหละ แล้วโอวหยางเฟยผู้นั้นเล่า”
“โอวหยางเฟยก็พอๆ กันนั่นแหละ นอกจากชื่อของเขา กับที่เขาเป็นปรมาจารย์วิญญาณธาตุคู่แล้ว เรื่องครอบครัวของเขา เรื่องญาติ เรื่องบ้านเกิด พวกเราก็ไม่รู้เลย” เจ้าอ้วนชวีพูด
“โอ๊ย แต่ละคนช่างลึกลับกันถึงเพียงนี้เชียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์บ่น “แล้วเว่ยจือฉีที่เหลือผู้นั้นเล่า เขาดูเหมือนจะช่างพูดช่างคุยพอตัวทีเดียว”
“คุณชายห้า ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าไปทำให้เขาเบี่ยงเบนเลยดีกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะดูดีอยู่บ้างก็ตามที” เจ้าอ้วนชวีเห็นท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็รีบเอ่ยแนะนำ
“เพราะอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หลุดปากถามไปอย่างไม่เจตนา พอถามออกไปแล้วจึงค่อยมีท่าทีตอบสนอง จึงยกมือขึ้นตบบ่าของเจ้าอ้วนชวีเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง “ข้าบอกว่าข้าจะไปทำให้เขาเบี่ยงเบนตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า!”
“สองตาเป็นประกายวาววับนั่นของเจ้าก็เหมือนๆ กันกับสายตาที่มองมู่หรงอานในตอนนั้นนั่นแหละ!” เจ้าอ้วนชวีมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างแฝงความดูถูกดูแคลนเล็กน้อย
“แค่กๆ อดีตก็คืออดีต ตอนนี้คุณชายเช่นข้าเปลี่ยนรสนิยมทางเพศไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้สึกสนใจในบุรุษเพศอีกแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยกมือขวาขึ้นปิดปากกระแอมสองครั้งก่อนจะพูดว่า “อย่ามาวุ่นวายเรื่องนี้ของข้าเลย บอกมาสิว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ควรไปทำให้เว่ยจือฉีเบี่ยงเบนหรือ”
“เพราะเขาเป็นคนที่มาจากครอบครัวนักฝึกสัตว์อสูรน่ะสิ ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลนักฝึกสัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองเป่ยหลิน มีสถานะอันสูงส่งยิ่งในอาณาจักรตงเฉิน ถึงแม้ว่าท่านปู่ของเจ้าจะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่รักษาเมือง แต่ก็ไม่อาจต้านทานตระกูลนักฝึกสัตว์อสูรได้อย่างง่ายดายหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า เขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูรผู้สืบทอดตระกูลเว่ยที่มีพรสวรรค์ที่สุดและยังเด็กที่สุด สถานะภายในครอบครัวจะสูงส่งเพียงใดนั้น ไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยตอบ
“เป็นคนในครอบครัวนักฝึกสัตว์อสูรเชียวหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ปล่อยตัวเจ้าอ้วนชวี ก่อนจะเดินไปยังเก้าอี้แล้วนั่งลงพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นพลังวิญญาณของเขาเป็นธาตุใดกันเล่า”
“เป็นธาตุน้ำแข็งกับธาตุไม้อันหาได้ยากยิ่ง” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยตอบ
“ธาตุน้ำแข็งหรือ พลังวิญญาณมิได้มีเพียงแค่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ ห้าธาตุนี้เท่านั้นหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“นั่นคือพลังวิญญาณของคนทั่วไป” เจ้าอ้วนชวีรู้ว่าก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คือคนไร้ค่าคนหนึ่ง ดังนั้นหากไม่รู้เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ให้อภัยได้ จึงได้อธิบายให้เธอฟังอย่างอดทน “นอกจากธาตุพื้นฐานห้าธาตุแล้ว ยังมีธาตุอันพบเห็นได้ยากอีกหลายชนิด เช่นธาตุน้ำแข็ง ธาตุหมอก หรือธาตุสายฟ้า เพียงแต่ว่าสามชนิดนี้มีอยู่น้อยนิดเหลือเกิน ดังนั้นผู้ที่รู้จึงมีอยู่ไม่มากนัก ว่ากันว่าธาตุพิเศษเหล่านี้ ในปรมาจารย์วิญญาณหมื่นคน จะมีอยู่เพียงแค่คนสองคนเท่านั้นเอง”
“หาได้ยากถึงเพียงนี้เชียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจ
“ใช่แล้ว นอกจากนี้ยังได้ยินว่าพลังโจมตีของธาตุพิเศษนี้ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งกันทั้งนั้นอีกด้วย” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างริษยามาก
“อิจฉาเสียเหลือเกินนะ ขอเพียงแค่เจ้าพยายาม เจ้าก็เปลี่ยนเป็นคนแข็งแกร่งอย่างยิ่งได้เช่นเดียวกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แหะๆ ก็ใช่อยู่หรอก” เจ้าอ้วนชวีลูบท้ายทอยของตัวเอง มีความรู้สึกผิดอยู่บ้าง
“ข้ารู้จักคนอื่นๆ อีกสามคนครบหมดแล้ว ตอนนี้มาพูดถึงเจ้ากันบ้าง เจ้าล่ะเป็นธาตุอะไร” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีพลางถามขึ้น
“ข้าเป็นธาตุคู่ไฟดิน” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยตอบ
“ธาตุคู่ไฟดินอย่างนั้นหรือ เยี่ยมจริงๆ ก่อนหน้านี้ดูไม่ออกเลยนะเนี่ย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองเจ้าอ้วนชวี
เจ้าอ้วนชวีอยากจะกลอกตาใส่เขาสักทีหนึ่งยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เจ้าก็เอาแต่ไล่ตามเกาะแกะมู่หรงอานนั่นแหละ จะยังมีสายตาเหลือมามองเจ้าอ้วนในขุมอำนาจชั้นรองเช่นเขาผู้นี้เสียที่ไหนกัน
“แต่มิได้ว่ากันว่าปรมาจารย์วิญญาณเอนกธาตุนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิดหรอกหรือ เหตุใดทุกคนในวิทยาลัยแห่งนี้จึงเป็นเอนกธาตุกันหมดเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างสงสัย
“ก็ใช่น่ะสิ ได้ยินว่าหลายปีก่อนหน้านี้ก็ไม่มีปรมาจารย์วิญญาณเอนกธาตุปรากฏมาก่อนเลย แต่ปีนี้อยู่ดีๆ ก็มีขึ้นมาถึงสี่คน นอกจากนี้ยังมีคนหนึ่งเป็นไตรธาตุอีกด้วย ยิ่งบังเอิญมากขึ้นไปอีก พวกเราสี่คนนั้นทดสอบเข้ามาพร้อมกัน ติดๆ กันเลย โอวหยางเฟยเป็นคนแรก เป่ยกงถังเป็นคนที่สอง ส่วนเว่ยจือฉีเป็นคนที่สาม และข้าเป็นคนที่สี่ เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นทำเอาอาจารย์ผู้คุมการทดสอบตกอกตกใจเพียงใด!”
เจ้าอ้วนชวีพูดกลั้วหัวเราะ
เขาค้นพบว่าขอเพียงแค่ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่วิปริต การสนทนากับเธอก็ไม่เลวเลยทีเดียว
ตอนที่โอวหยางเฟยและเป่ยกงถังทดสอบนั้น เธอบังเอิญได้เห็นที่ประตูทางเข้าพอดี แต่หลังจากที่เห็นเป่ยกงถังก็จากไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นก็คือเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวี
ตอนนั้นที่ได้เห็นโอวหยางเฟยกับเป่ยกงถัง อาจารย์ผู้คุมการทดสอบผู้นั้นก็ตื่นเต้นยินดีจนแทบคลั่งอยู่แล้ว บวกกับผู้มีพรสวรรค์เอนกธาตุอีกสองคน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็จินตนาการสีหน้าของเขาในตอนนั้นได้แล้ว
ถ้าหากรู้ถึงการมีอยู่ของตนซึ่งเป็นพหุธาตุผู้นี้ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะวิปลาสไปในทันทีเลยหรือไม่
“แต่คุณชายห้า เจ้าเข้ามาในห้องเรียนที่หนึ่งนี้ได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีถามอย่างสงสัย
“ห้องเรียนที่หนึ่งอันใดกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ
“ห้องเรียนของพวกเราอย่างไรเล่า!” เจ้าอ้วนชวีพูด “ห้องเรียนของพวกเราเป็นห้องเรียนที่ดีที่สุดในบรรดานักเรียนใหม่ นักเรียนในห้องนี้ล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดในการทดสอบเข้าเรียนครั้งนี้ในวันนั้น เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”
“อือ… ข้าไม่รู้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “เฟิงจือสิงพาข้าเข้ามา เขามอบกุญแจที่นี่ให้กับข้า จากนั้นข้าก็เลยเข้ามาน่ะ”
เจ้าอ้วนชวีอดคิดไม่ได้ว่าหรือเป็นเพราะท่านปู่ของเธอเป็นแม่ทัพพิทักษ์อาณาจักร จึงได้ดูแลเธอเป็นพิเศษ
“ในเมื่อท่านอาจารย์เป็นผู้มอบกุญแจให้แก่เจ้า เช่นนั้นเจ้าก็คือสมาชิกคนหนึ่งของชั้นเรียนเราแล้ว” เจ้าอ้วนชวีพูด “แต่เจ้าก็ต้องเตรียมใจไว้ให้ดี ด้วยความที่คนในห้องเรียนพวกนั้นแต่ละคนล้วนมีพรสวรรค์เป็นเลิศ ต่างก็เป็นไข่มุกงามบนฝ่ามือของครอบครัว จึงมีบางคนยากจะทานทน บางคนหยิ่งยโส ชื่อเสียงที่เจ้าไม่อาจบำเพ็ญได้ก็ช่างฉาวโฉ่เหลือเกิน ดังนั้นก็อาจจะไม่เข้าตาใครบางคนแล้วก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากแก่เจ้าก็ได้”
“หึๆ ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเตือน” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าอ้วนผู้นี้มีจิตใจดีใช้ได้เลยทีเดียว
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เจ้าอ้วนชวีได้ฟังคำขอบคุณที่ออกมาจากปากซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็รู้สึกว่าไม่จริงใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เธอไม่รังแกพวกเขาก็นับว่าดีถมไปแล้ว จะมาเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน “แต่ท่านปู่ของเจ้าเป็นแม่ทัพพิทักษ์อาณาจักร คนทั่วไปก็คงไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่เจ้าต้องระวังพวกที่มาจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายเอาไว้สักหน่อยล่ะ”
“อืม ข้ารู้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
“เช่นนั้นข้าจะกลับไปบำเพ็ญแล้วนะ” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางลุกขึ้นยืน
“ไปเถิดๆ ขอบใจเจ้าที่ให้ข้อมูลข้ามากมายถึงเพียงนี้ กลับไปแล้วข้าจะทำของกินอร่อยๆ มาตอบแทนเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางตบบ่าเจ้าอ้วนชวีเบาๆ
“แค่กๆ เรื่องนี้ไม่ต้องหรอก ข้าไปก่อนนะ” เจ้าอ้วนชวีได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะทำอาหารให้เขากิน ก็ตกใจจนรีบวิ่งหนีไปในทันที
ข่าวลือบอกว่าสิ่งที่คุณชายห้าแห่งจวนแม่ทัพทำนั้นวางยาสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งให้ตายได้เลยทีเดียว! เขายังใช้ชีวิตได้ไม่เท่าไร ยังไม่อยากจะตายตั้งแต่ยังเยาว์วัย
เจ้าคำรามน้อยลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อครู่ข้าทำได้ไม่เลวเลยใช่ไหมเล่า ข้ามิได้พูดอะไรสักประโยคเดียวเลย!”
“ใช้ได้เลย ต่อไปก็ทำเช่นนี้นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยชม
ถึงแม้เจ้าอ้วนชวีจะบอกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ต้องทำของกินมาตอบแทนเขา แต่ในตอนเช้าของวันที่สอง เขาก็ถูกกลิ่นหอมสายหนึ่งดึงดูดให้เข้าไปยังห้องครัว เมื่อมองเห็นเงาร่างที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ก็จ้องมองเสียจนตาแทบถลน
………………………
Related