ซือหม่าโยวเย่ว์โมโหอยู่บ้างจึงถลึงตาใส่อูหลิงอวี่อย่างมุ่งร้าย
อูหลิงอวี่เห็นแพขนตาของนางสั่นไหว ทันใดนั้นก็นึกถึงดวงตาอันเปี่ยมชีวิตชีวาและจริงจังคู่นั้นที่ตนเห็นตอนฟื้นขึ้นมา
“เจ้าทับถูกบาดแผลของข้าแล้วนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงบาดแผลบนร่างของเขาขึ้นมาจึงลุกขึ้นมาจากร่างเขาก่อนจะพูดว่า “ข้าเป็นบุรุษ ไม่มีความสนใจอันใดในตัวท่านหรอก ท่านรีบขยับเข้าไปข้างในให้ข้าเร็วเข้า”
คราวนี้อูหลิงอวี่มิได้พูดอะไรเพียงขยับเข้าไปข้างในเล็กน้อย
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอาหมอนอีกใบจากในแหวนเก็บวัตถุออกมาวางไว้ด้านนอกแล้วนอนตะแคงหลับตา ไม่สนใจอูหลิงอวี่อีกต่อไป
สตรีคนหนึ่งอย่างเธอยังนอนร่วมเตียงเดียวกันกับเขาโดยไม่สนใจอะไรได้เลย แต่เขายังคงอิดออดอยู่อย่างนั้น คิดดูแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดเหลือเกิน
อูหลิงอวี่สัมผัสได้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์โมโหเสียแล้ว เขาลูบบาดแผลบนท้องของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าการกระทำของเจ้าเด็กผู้นี้จะคล่องแคล่วถึงเพียงนั้น การโจมตีประชิดตัวเช่นนี้ ถ้าหากมิใช่เพราะประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชนของเขา เกรงว่าคงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของนางแน่
เมื่อนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับนาง ก่อนหน้านี้นางเป็นคนไร้ค่าจริงๆ น่ะหรือ
ถ้าหากข่าวลือทั้งหมดก่อนหน้านี้เป็นเท็จ เช่นนั้นนางก็ซ่อนเร้นเอาไว้ได้ลึกล้ำเกินไปเสียแล้ว
ท่าทีที่นางตะคอกใส่ตนเมื่อครู่นั้นก็ช่างทรงพลังยิ่งนัก
แต่ทุกครั้งที่เห็นเธอปลอมเป็นบุรุษ เขาก็รู้สึกขบขันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อนึกถึงคำพูดที่บอกว่าไม่สนใจในตัวท่านประโยคนั้นแล้ว รวมทั้งประกายสุกใสในดวงตาตอนที่เอ่ย เขาก็ลูบใบหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่ตนอยู่ที่โลกเบื้องบน ไม่ว่าจะไปแห่งหนใดก็ล้วนเป็นจุดสนใจของโลกทั้งสิ้น หญิงสาวจำนวนไม่น้อยแสดงกิริยามารยาทต่างๆ นานากับเขาแต่เก็บซ่อนความรู้สึกในใจเอาไว้
ถึงแม้ว่าเขาจะชมชอบหรือแม้กระทั่งรังเกียจหญิงสาวเหล่านั้นก็ตาม ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็คิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ที่เขามาถึงที่นี่แล้วถูกเด็กสาวคนหนึ่งตะคอกเสียงดังใส่ว่าไม่สนใจเสียอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะหลับไปแล้วแต่ก็ยังใช้ให้พวกเจ้าคำรามน้อยคอยสังเกตสถานการณ์อูหลิงอวี่เผื่อเอาไว้ด้วย
ทุกครั้งที่เข้านอนเธอก็กลัวอยู่ตลอดว่าจะฝันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีกครั้ง แต่เธอก็อยากจะฝันถึงอีก แต่คราวนี้กลับหลับสนิทไร้ซึ่งความฝันจนฟ้าสว่าง
ดึกมากแล้วอูหลิงอวี่จึงค่อยหลับ ข้างกายมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นอิสตรีผู้หนึ่งอีกด้วย นี่ทำให้เขาไม่สบายเนื้อตัวเอาเสียเลย จนกระทั่งถึงครึ่งหลังของคืนแล้วจึงค่อยหลับลงได้
เช้าวันต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วมองอูหลิงอวี่ที่ยังหลับอยู่แวบหนึ่ง เธอเดินไปข้างนอกเบาๆ เพื่อทำของกินเล็กๆ น้อยๆ หลังจากนั้นก็เข้ามาเงียบๆ แล้ววางกับข้าวลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกไป
อูหลิงอวี่รอให้ซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปแล้วค่อยลืมตาขึ้น ก่อนจะตะแคงตัวพลางใช้มือหนุนศีรษะ เมื่อมองเห็นข้าวปลาอาหารที่เตรียมเอาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็ยิ้มออกมาในทันใด
เขาลุกขึ้นจากเตียงมานั่งลงที่โต๊ะก่อนจะพูดว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ยังคิดว่าผู้อื่นต้องกินอาหารวันละสามมื้อไม่ขาดเหมือนนางจริงๆ สินะ!”
เขานั่งลงกินโจ๊กสองคำแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ทำอาหารแปลกใหม่ไม่ซ้ำมื้อ นางไปสรรหาสิ่งแปลกใหม่มากมายถึงเพียงนั้นมาจากที่ใดกัน แต่รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ”
อูหลิงอวี่คิดว่าคราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คงจะออกไปเดินเล่นแล้วกลับมาเหมือนเคย แต่การรอคอยในครั้งนี้กลับยาวนานกว่าครึ่งค่อนวันเสียแล้ว
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากถ้ำในตอนเช้าแล้วก็เรียกย่ากวงออกมา
“เจ้านาย ภายในมณีวิญญาณช่างล้ำเลิศยิ่งนัก!” พอย่ากวงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“เย่ว์เย่ว์ ตั้งแต่เจ้านี่เข้าไปจนถึงตอนที่ออกมาเมื่อครู่นี้ก็กระโดดโลดเต้นอยู่ภายในมณีวิญญาณมาโดยตลอด ตื่นเต้นเหลือเกินเลยทีเดียว” เจ้าคำรามน้อยหมอบลงบนหัวของย่ากวงพลางรายงานให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฟัง
“ก็ผู้อื่นเพิ่งจะเคยเห็นสถานที่อันยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นเป็นครั้งแรกนี่นา ก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้วสิ” ย่ากวงพูดอย่างละอายใจอยู่บ้าง
“ถึงอย่างไรต่อจากนี้ไปหากไม่มีเรื่องอันใดพวกเจ้าก็ต้องอยู่ภายในนั้นตลอด เคยชินก็ดีแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะออกไปที่บริเวณรอบนอกโดยปลอดภัยได้อย่างไร”
“เจ้านายอยากจะออกไปหาสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำเพื่อยกระดับความสามารถในการต่อสู้ที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ” ย่ากวงถาม
“อืม ตอนนี้พลังยุทธ์ของข้ายังไม่เพียงพอ ทักษะวิญญาณที่ทำได้ก็ยังไม่มากนัก เลยอยากจะเริ่มฝึกฝนจากสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำที่สุดก่อนน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“บริเวณรอบนอกของที่นี่ไม่มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยอยู่ก็จริง แต่มีเจ้าคำรามน้อยอยู่ พอพบสัตว์อสูรเทพเข้าก็ปลดปล่อยพลังคุกคามในตัวออกมา พวกมันก็ต้องหลบซ่อนอยู่ห่างๆ อย่างแน่นอน รอให้ไปถึงรอบนอกแล้วก็ค่อยให้เจ้าคำรามน้อยเก็บพลังคุกคามไปเสียก็ใช้ได้แล้ว” ย่ากวงพูด
“เช่นนี้พวกเราก็ไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้านาย จากที่นี่ไปถึงรอบนอกก็ยังไกลนัก ท่านขี่ข้าไปดีกว่า ข้าจะพาท่านออกไปเอง” ย่ากวงพูดแล้วร่างกายก็สั่นไหว ขยายขนาดใหญ่ขึ้นไม่น้อย
เมื่อสัตว์อสูรวิเศษไปถึงระดับสัตว์อสูรทิพย์ขึ้นไปก็จะแปลงกายเป็นร่างจำแลงได้ ก่อนหน้านี้ย่ากวงก็อยู่ในรูปของร่างจำแลงมาโดยตลอด
ซือหม่าโยวเย่ว์พลิกตัวขึ้นไปอยู่บนร่างของย่ากวงแล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถิด”
ย่ากวงได้รับคำสั่งแล้วก็พาซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งมุ่งหน้าไปยังรอบนอกโดยมีพลังคุกคามของเจ้าคำรามน้อยเปิดทางให้ตลอดทาง พวกเธอจึงไปถึงรอบนอกของเทือกเขาผู่สั่วอย่างรวดเร็ว
พวกเธอหยุดลงที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง เพราะย่ากวงไม่สามารถปลดปล่อยและเก็บงำพลังคุกคามของตนได้ดังใจเหมือนเจ้าคำรามน้อย ซือหม่าโยวเย่ว์จึงกลัวว่าหากมีมันอยู่สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำเหล่านั้นก็อาจจะไปหลบซ่อนตัวกันหมด จึงได้เก็บตัวมันเข้าไปไว้ภายในมณีวิญญาณ เหลือเอาไว้เพียงแค่เจ้าคำรามน้อยอยู่เป็นเพื่อนตนข้างนอก
เทือกเขาผู่สั่วมีสัตว์อสูรวิเศษอยู่มากมายจริงๆ พวกเธอเพิ่งจะลงมาจากยอดเขาลูกนั้นก็พบกับกิ้งก่าอัคคีตัวหนึ่งเข้าเสียแล้ว
“เย่ว์เย่ว์ นั่นคือสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นสามตนหนึ่ง ตอนนี้พลังยุทธ์ของเจ้าต่อสู้กับมันได้” เจ้าคำรามน้อยมองระดับขั้นของกิ้งก่าอัคคีออกแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เป็นธาตุไฟเหมือนกันเลย ทดสอบว่าพลังวิญญาณธาตุไฟของข้าเป็นอย่างไรได้พอดีเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
กิ้งก่าอัคคีมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วสองตาก็เปล่งประกายในทันใด นึกอยากจะจับเธอกินราวกับสุนัขมองเห็นแท่งกระดูกอย่างไรอย่างนั้น
เพราะว่าบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มีระลอกคลื่นพลังวิญญาณอยู่ ดังนั้นกิ้งก่าอัคคีก็ย่อมเห็นเธอเป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว ในตอนแรกก็มิได้คิดจะใช้พลังวิญญาณโจมตีเธอเลย หากแต่ตวัดหางยาวเหยียดของตนเข้ามา
ไม่พูดไม่ได้ว่าสัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้ล้วนมีรูปลักษณ์อันแข็งแกร่ง กิ้งก่าอัคคีตนนั้นก็เพียงแค่ตวัดหางอย่างสุ่มๆ เท่านั้น ก้อนหินก้อนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่เมื่อครู่ก้อนนั้นก็ถูกฟาดเสียจนเป็นรอยหลายรอย
“ช่างมีพละกำลังยิ่งใหญ่เหลือเกิน!” หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนที่อีกฝั่งหนึ่งอย่างมั่นคงแล้วก็มองดูรอยแผลบนก้อนหินด้วยความตื่นตะลึงเล็กน้อย “ดูท่าทางสัตว์อสูรวิเศษจะมีร่างกายอันแข็งแกร่งไม่เลวเลยทีเดียว”
เมื่อพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งเธอก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ ในเมื่อพละกำลังของมันมากมายเช่นนั้น และร่างกายมนุษย์ก็ค่อนข้างเปราะบาง เธอก็ย่อมต้องใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและหลีกเลี่ยงจุดอ่อน
“ข้ายังไม่เคยใช้พลังวิญญาณสู้กับผู้อื่นมาก่อนพอดีเลย เจ้าก็มาเป็นสัตว์ทดลองตัวแรกให้ข้าก็แล้วกัน” พูดแล้วเธอก็เริ่มรวบรวมพลังวิญญาณภายในร่างกายให้พวกมันมารวมตัวกันอยู่ในฝ่ามืออย่างช้าๆ
กิ้งก่าอัคคีมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังเริ่มต้นรวบรวมพลังวิญญาณจึงส่งเสียงดังลั่นแล้วใช้หางฟาดลงมาทางเธออีกครั้ง คล้ายกับจะตัดตอนการกระทำของเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นการเคลื่อนไหวของกิ้งก่าอัคคีจึงรีบเบี่ยงตัวหลบไปที่อีกฟากหนึ่ง หลบเลี่ยงการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด
ถ้าหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปแล้วถูกโจมตีเช่นนี้ก็จะต้องถูกขัดขวางอย่างแน่นอน ก็เหมือนกับเมิ่งถิงบนเวทีประลองเมื่อคราวก่อนที่โยนลูกพลังวิญญาณออกมาก่อนเวลาเพราะเห็นตนพุ่งเข้าไปนั่นเอง
ทว่าถึงแม้เธอจะชะงักไปชั่วขณะ แต่กลับรวบรวมพลังวิญญาณในมือต่อไปโดยมิได้หยุดลงกลางคัน
เมื่อพลังวิญญาณเพิ่มพูนขึ้น ลูกพลังวิญญาณก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามไปด้วย เธอสัมผัสได้ถึงพลังที่แบกรับอยู่บนมือของตนแล้ว ซึ่งให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากการหันปากกระบอกปืนใส่ผู้อื่นเมื่อชาติก่อน พลังเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกว่าตนเองเปิดแผ่นฟ้าแยกผืนดินได้ตลอดเวลาก็มิปาน
ในปากของกิ้งก่าอัคคีก็มีลูกไฟสีแดงลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นมาเช่นกัน ในขณะที่มันโยนลูกไฟเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์นั้นเธอก็ซัดลูกพลังวิญญาณในมือออกไปเช่นกัน ทั้งสองปะทะกันกลางอากาศแล้วส่งเสียงคล้ายกับระเบิดขึ้นมา
……………
Related