ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งอย่างแรงเพราะคำพูดของหมัวซา เขามิใช่คนของเผ่ามาร แล้วกลายเป็นรูปลักษณ์เช่นในตอนนี้ได้อย่างไรกัน
“เช่นนั้นท่านกลายเป็นเผ่ามารได้อย่างไรหรือ” เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหมัวซา เธอก็ยังระงับความใคร่รู้ในใจเอาไว้ไม่ได้เลย
หมัวซารู้สึกสะเทือนใจอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้นแล้วเก็บงำสีหน้าอารมณ์ของตนลงไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยตอบว่า “บิดาของข้าเป็นมนุษย์ ส่วนมารดาเป็นเผ่ามาร จะว่าไปแล้วในร่างกายข้าก็มีสายเลือดเผ่ามารไหลเวียนอยู่”
“ดังนั้นท่านจึงได้เป็นร่างมารสว่าง” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง
ถ้าหากบิดามารดาของเขาเป็นมนุษย์ เช่นนั้นในร่างกายเขาก็ไม่มีทางมีไอพลังมืดมิดอยู่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของเธอก็บีบรัดแน่น ถ้าหากพูดเช่นนี้ บิดามารดาของเธอก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เหมือนกันน่ะสิ!
“สถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้คล้ายๆ กันกับของข้าก่อนหน้านี้เลย ตอนนี้ผนึกถูกคลายออก สำหรับเจ้าแล้วก็มิได้มีผลกระทบมากสักเท่าใดนัก แต่ยังกลับกลายเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ” เห็นได้ชัดว่าหมัวซาไม่อยากพูดถึงเรื่องของตัวเองอีก เขามองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ตอนนี้ไอพลังทั้งสองขุมยังอยู่ในระดับที่เจ้ายังควบคุมได้ทั้งหมด ดังนั้นคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ระเบิดร่างจนตัวตายขึ้นอยู่แล้ว แต่คุณสมบัติทางร่างกายของร่างมารสว่างทำให้การฝึกยุทธ์ของเจ้าเร็วกว่าคนธรรมดาหลายเท่า เดิมทีพรสวรรค์ของเจ้าก็สูงส่งกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ตอนนี้ก็จะยิ่งร้ายกาจขึ้นไปอีก”
“จริงหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาด้วยสองตาเป็นประกาย ถ้าหากเขามิใช่ร่างวิญญาณ ไม่แน่ว่าเธออาจจะวิ่งเข้าไปกอดเขาเอาไว้แล้วจูบเขาแรงๆ สักทีหนึ่งก็เป็นได้
“เจ้าอย่าเพิ่งด่วนดีใจไปเลย” หมัวซาเห็นท่าทางเช่นนั้นของเธอแล้วก็อดนึกอยากจะสาดน้ำเย็นใส่เธอมิได้ “เมื่อพลังยุทธ์ของเจ้าเพิ่มพูนขึ้น ไอพลังทั้งสองขุมของร่างมารสว่างก็จะทวีความแข็งแกร่งขึ้นด้วย ถ้าหากถึงตอนนั้นแล้วเจ้าควบคุมมันเอาไว้ไม่ได้ ก็อาจจะเกิดสถานการณ์อันตรายขึ้นมาได้”
พอได้ฟังคำแล้วซือหม่าโยวเย่ว์กลับมิได้เป็นกังวลแต่อย่างใด
“ถึงอย่างไรท่านก็มีทางแก้ใช่หรือไม่ ในเมื่อตอนนั้นท่านยังมีชีวิตรอดมาได้ ข้าก็ต้องทำได้เช่นกันสิ!”
คำพูดที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจในตนเองทำให้หมัวซาหัวใจสั่นสะท้าน ตอนนั้นตนก็ยังเยาว์วัยสดใสร่าเริงเช่นนี้ มีความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มเปี่ยม ตอนที่รู้ว่าตนเองเป็นร่างมารสว่าง เขาก็มั่นใจว่าตนเองจะมีชีวิตรอดต่อไปได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่กระบวนการนี้มีความเจ็บปวดอยู่บ้างเท่านั้น
“ใช่แล้ว วิธีการที่ท่านว่าคืออะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เงยหน้าขึ้นถาม
“บอกเจ้าไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก” หมัวซาพูดอย่างเรียบเรื่อย
“ชิ วางมาดอีกแล้วนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก แต่ก็มิได้ถามซักไซ้ต่อไปอีก ถ้าหากเจ้าคนผู้นี้ไม่คิดอยากพูดจริงๆ ก็ไม่มีทางเปิดปากพูดแน่นอน ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็เชื่อว่าเขาไม่มีทางทำร้ายเธออยู่แล้ว
หมัวซาทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามว่า “เอาละ พวกเราคุยเรื่องร่างกายของเจ้ากันจบแล้ว ตอนนี้มาพูดเรื่องต่อไปกัน”
“ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ”
“หลอมยา ระเบิด” หมัวซาพูดอย่างเรียบเรื่อย
“เรื่องนี้เองหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ขมวดคิ้ว “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดตอนหลอมยาจึงเอาแต่ระเบิดอยู่ตลอดเลย ทั้งๆ ที่ข้าทำตามที่หนังสือบอกเอาไว้ชัดๆ”
“ข้าเคยเห็นเจ้าหลอมยามาก่อนแล้ว เห็นวิธีการอะไรต่างๆ ของเจ้าทั้งหมด ปัญหาอยู่ที่การควบคุมอุณหภูมิของเจ้า” หมัวซาพูด “ยาวิเศษแต่ละชนิด แต่ละขั้นตอนล้วนใช้อุณหภูมิที่แตกต่างกันทั้งสิ้น ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยล้วนอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการหลอมยาได้ทั้งสิ้น”
“ท่านหลอมยาเป็นด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้ว เห็นท่าทางในการพูดของเขาแล้วดูไม่เหมือนมือสมัครเล่นเลย
“เป็นสิ” หมัวซายอมรับ
“ขั้นใดหรือ”
“อีกหน่อยเดี๋ยวเจ้าก็รู้เองนั่นแหละ” หมัวซาตอบ “ถึงอย่างไรก็เพียงพอที่จะสอนเจ้าแล้วกัน”
“เชอะ” ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง เจ้าคนผู้นี้ช่างชอบทำไขสือเสียเหลือเกิน “ก็ท่านไม่พูด แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านทำเป็นจริงๆ หรือไม่”
หมัวซาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพูดอย่างไม่พอใจว่า “ไม่อยากเรียนก็ช่างเถิด”
“เฮ้ๆๆ ข้าไม่ได้พูดสักหน่อยนี่ว่าจะไม่เรียน!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซาคล้ายจะถูกตนทำให้เหลืออดเต็มทีแล้วจึงแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่พูดก็ไม่พูดสิ! ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าต้องแข็งแกร่งจึงจะช่วยท่านตามหาอีกครึ่งหนึ่งของท่านได้ และไม่ต้องมาคอยกังวลว่าท่านจะลอบแทงข้างหลังข้าด้วย”
หมัวซาหลุบตาลงให้เปลือกตาบดบังอารมณ์ในแววตาเอาไว้ ที่เขาเจตนาสอนเธอหลอมยานั้นมิใช่ว่าไม่มีจุดประสงค์ของตัวเองเสียหน่อย
“เอาละ ตอนนี้ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของการหลอมยา…”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของหมัวซา ซือหม่าโยวเย่ว์จึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับการหลอมยามากขึ้นระดับหนึ่ง
ที่แท้แล้วการหลอมยานี้มิได้ง่ายดายเช่นที่เธอจินตนาการเอาไว้ สามขั้นตอนที่ดูเหมือนจะง่ายดาย ทว่าหนทางภายในนั้นกลับมีเป็นหมื่นเป็นแสน หากทำไม่ถูกต้องแม้เพียงนิดเดียวก็ไม่อาจเป็นนักหลอมยาได้สำเร็จแล้ว
“มิน่าเล่า มีปรมาจารย์วิญญาณมากมายถึงเพียงนี้ แต่กลับมีนักหลอมยาเพียงน้อยนิดเท่านั้น” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคาง
“สิ่งเหล่านี้จะมีได้ภายใต้เงื่อนไขข้อหนึ่งเท่านั้น” หมัวซาพูด
“เงื่อนไขอันใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“พลังจิตอันแข็งแกร่ง” หมัวซาพูดจบแล้วก็เหลือบตามองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง เรียกได้ว่าพลังจิตของเธอแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่เขาเคยเห็นมา ถ้าหากมิใช่ว่าเธอมีพลังจิตอันแข็งแกร่งเช่นนี้ เขาก็คงไม่ผุดความคิดที่จะสอนเธอออกมาอยู่แล้ว
“พลังจิตอันแข็งแกร่งหรือ”
“ตอนหลอมยาจำเป็นต้องใช้พลังจิตมาควบคุม โดยเฉพาะยาวิเศษที่มีระดับค่อนข้างสูง การควบคุมก็จะยิ่งซับซ้อน ความต้องการพลังจิตก็จะยิ่งสูง ถ้าพลังจิตยิ่งแข็งแกร่งก็จะสามารถไปได้ไกลยิ่งขึ้นบนเส้นทางการหลอมยาวิเศษ” หมัวซาพูดอธิบาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ประสานสองมือเอาไว้ที่ท้ายทอยก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองหมัวซาแล้วถามว่า “ท่านมิใช่คนของเผ่ามารหรอกหรือ เหตุใดจึงรู้วิธีการหลอมตำรับยาพื้นบ้านของมนุษย์ด้วยเล่า”
“วิธีการหลอมตำรับยาพื้นบ้านของเผ่ามารและเผ่ามนุษย์นั้นเหมือนกัน เพียงแต่ตอนผนึกยาจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง” หมัวซาพูด “ตอนท้ายสุดในการหลอมยาของเผ่ามนุษย์จำเป็นต้องเติมพลังวิญญาณแห่งแสงสว่างเข้าไป ส่วนยาวิเศษของเผ่ามารนั้นต้องเติมพลังวิญญาณแห่งความมืดมิด ยาวิเศษที่เหมือนกันบางอย่าง ถ้าหากคนของเผ่ามารกินยาวิเศษที่มีพลังวิญญาณแห่งแสงสว่างเข้าไป ยาวิเศษก็จะกลับกลายเป็นยาพิษ ในทางเดียวกันเผ่ามนุษย์ก็ไม่อาจกินยาวิเศษที่มีไอพลังมืดมิดได้เช่นเดียวกัน”
“เข้าใจแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
“เจ้าวางศิลาวิญญาณเอาไว้บนหน้าผากสิ” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ก็ยังหยิบเอาศิลาวิญญาณออกมาตามที่เขาพูดแล้ววางลงบนหน้าผาก ในขณะที่หน้าผากและศิลาวิญญาณสัมผัสกันนั้นเอง ลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากศิลาวิญญาณแล้วพุ่งทะลุหว่างคิ้วเธอเข้าไปภายในห้วงสมองของเธอ
“นี่คือเคล็ดวิชาเสริมสร้างพลังจิต เจ้าฝึกตามเคล็ดวิชาในนั้น จะทำให้พลังจิตของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์หลับตาลงรับสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ในห้วงสมองของตน นอกจากเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรในตอนแรกแล้ว ตอนนี้ยังมีตำราที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
“เคล็ดหลอมวิญญาณ” ซือหม่าโยวเย่ว์อ่านตัวอักษรที่เขียนอยู่บนปกหนังสือ ในใจเกิดความสั่นสะท้านที่มิอาจอธิบายได้อย่างหนึ่งขึ้นมา เธอลืมตาขึ้นมองหมัวซาแล้วถามว่า “มิใช่หลอมพลังจิตหรอกหรือ เหตุใดจึงเป็นเคล็ดหลอมวิญญาณเล่า”
วิญญาณยิ่งแข็งแกร่ง พลังจิตก็จะยิ่งแข็งแกร่ง” หมัวซาอธิบายอย่างง่ายๆ “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราไปที่ห้องหลอมยากัน เจ้าลองหลอมยาเมื่อคราวก่อนดูอีกรอบหนึ่ง ข้าจะคอยชี้แนะเจ้าอยู่ข้างๆ เอง”
“ได้สิ” ได้ยินหมัวซาพูดเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเก็บข้อสงสัยและความใคร่รู้เกี่ยวกับเคล็ดหลอมวิญญาณภายในใจเอาไว้ แล้วนำทางเขาไปยังห้องหลอมยา
หลังจากนี้ค่อยนำคำถามเหล่านั้นมาทยอยถามเขาแล้วกัน ตอนนี้เรื่องหลักคือการเรียนรู้การหลอมยาให้สำเร็จต่างหาก
………………………