ซือหม่าโยวเย่ว์หาเครื่องยาสำหรับหลอมยาผนึกโลหิตมาหลายส่วนแล้วทำการกลั่นเครื่องยาทุกชนิดออกมาภายใต้การสังเกตการณ์ของหมัวซา
หมัวซามองดูความเคลื่อนไหวในการกลั่นเพื่อสกัดเครื่องยาของเธอแล้วนัยน์ตาก็เผยแววยอมรับออกมา
ระยะเวลาในการหลอมยาตามลำพังของเธอไม่นานเลย แต่การเคลื่อนไหวกลับดูช่ำชองยิ่งนัก ดูท่าทางเธอไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์ในการหลอมยาเท่านั้น แต่ยังมีความมุมานะอุตสาหะอีกด้วย
หลังจากทำการกลั่นเครื่องยาเรียบร้อยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็มองหมัวซาที่อยู่ข้างๆ
“ใส่เครื่องยาเข้าไปในเตาหลอมยาตามลำดับ ข้าจะเตือนเรื่องที่ควรระวังในทุกขั้นตอนกับเจ้าเอง” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์สูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่งก่อนจะใส่เครื่องยาที่ทำการกลั่นสกัดเรียบร้อยแล้วเข้าไปภายในเตาหลอมยาตามลำดับ เมื่อใดที่ควรใส่เครื่องยาชนิดต่อไป เมื่อใดที่ควรควบคุมความร้อนของไฟ หมัวซาก็คอยส่งเสียงบอกในเวลาที่สมควรทั้งสิ้น
ด้วยการชี้แนะของหมัวซา ครึ่งชั่วโมงต่อมา ยาวิเศษที่แผ่กำจายกลิ่นหอมของยาจางๆ เม็ดหนึ่งก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
“เอาล่ะ ดับไฟได้” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ลดไฟที่ด้านล่างเตาหลอมยาลงพลางแอบทอดถอนใจว่าถ้าหากมีเปลวเพลิงเป็นของตนเอง เธอคงไม่ต้องยุ่งยากกับการลดเปลวเพลิงลงถึงขนาดนี้หรอก
เธอเปิดเตาหลอมยาออกแล้วหยิบเอายาวิเศษข้างในออกมา ถึงแม้ว่ารูปทรงออกจะอัปลักษณ์อยู่บ้าง แต่นี่คือยาวิเศษที่เธอหลอมสำเร็จเป็นครั้งแรก พอคิดดูแล้วมันช่างน่าตื่นเต้นนัก
แต่หมัวซากลับมิใคร่จะพึงพอใจกับผลสำเร็จของเธอสักเท่าใดนัก เขาพูดว่า “ข้าจะหลอมยาวิเศษรอบหนึ่ง เจ้าต้องคอยดูอยู่ข้างๆ ให้ละเอียดๆ ล่ะ”
“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าหมัวซากำลังดูแคลนผลสำเร็จของตนอยู่ แต่มันมิได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเธอเลย
เธอหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาแล้วใส่ยาวิเศษเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นก็ถอยออกมาข้างๆ คอยดูว่าหมัวซาทำอย่างไร เมื่อเห็นเขายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงหน้าเครื่องยาจึงกดคางลงพูดพึมพำว่า “ไม่รู้เลยว่าร่างวิญญาณนี้จะหลอมยาวิเศษได้อย่างไร”
“ข้าจะพยายามชะลอการเคลื่อนไหวของข้าให้ช้าที่สุด เจ้าต้องคอยดูให้ละเอียด” หมัวซาพูดจบแล้ว ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง เปลวเพลิงสีดำกองหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอุ้งมือของเขา เขาโบกมือตามใจชอบคราหนึ่งแล้วเปลวเพลิงก็วิ่งเข้าไปที่ด้านล่างของเตาหลอมยา รอจนเตาหลอมยาร้อนแล้วจึงใส่เครื่องยาแต่ละอย่างเข้าไปทำการกลั่น
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกถึงอุณหภูมิอันน่าหวาดหวั่นในขณะที่เปลวเพลิงสีดำปรากฏขึ้น ถ้าหากมิใช่เพราะวิญญาณของเธอค่อนข้างไวต่อสัมผัส ก็คงยากที่จะค้นพบได้
เธอนึกอยากถามหมัวซาว่านี่คือเปลวเพลิงอันใด ทว่าพอเห็นเขาเอาแต่หลอมยาวิเศษเพียงอย่างเดียวจึงกลืนข้อสงสัยนั้นกลับลงไปแล้วศึกษาดูการเคลื่อนไหวของเขาอย่างตั้งใจ
ถึงแม้ว่าหมัวซาจะพยายามบังคับการเคลื่อนไหวของตนให้ช้าลงแล้ว แต่ก็ยังหลอมยาวิเศษเสร็จโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเธออยู่ดี
เขาเก็บเปลวไฟลง หลังจากนั้นจึงหยิบเอายาวิเศษออกมาให้ซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์รีบก้าวเข้าไปแล้วเปิดฝาออกอย่างอดใจรอไม่ไหว ยาวิเศษที่ปรากฏอยู่ข้างในนั้นมีรูปร่างกลมอย่างสมบูรณ์แบบ ส่งกลิ่นยาโชยเตะจมูก แค่มองก็เห็นแล้วว่าดีกว่ายาวิเศษที่เธอหลอมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ลักษณะเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นยาวิเศษขั้นหนึ่งระดับสูง
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าไปตกตะกอนสิ่งที่ข้าบอกเจ้าสักหน่อยก่อน ไปลองขัดเกลาด้วยตัวเองดูก็แล้วกัน” หมัวซาพูดจบแล้วก็กลับเข้าไปในศิลาวิญญาณ โดยที่ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ทันได้ถามถึงเปลวเพลิงสีดำของเขาเลย
“ไปเร็วจริงๆ เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากพลางคิดว่าไว้ค่อยถามคราวหน้าก็ได้ เธอนั่งลงบนม้านั่งแล้วหลับตาลง กระบวนการหลอมยาของหมัวซาเมื่อครู่…ฉายวาบขึ้นตรงหน้าเธอ
หนึ่งวันให้หลัง เจ้าวิญญาณน้อยได้กลิ่นหอมของยาอันเข้มข้นขุมหนึ่ง ทำเอาสองตาเปล่งประกาย เพียงครู่เดียวก็มาปรากฏตัวที่ห้องหลอมยา
“เจ้านาย หลอมสำเร็จแล้วหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บยาวิเศษที่เพิ่งหลอมเสร็จลงไปในขวดหยก ละเลยท่าทางกระหายอยากของเจ้าวิญญาณน้อยไปแล้วพูดว่า “อืม หลอมเสร็จแล้วล่ะ”
“ฮ่าๆ ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าเจ้าจะต้องสำเร็จเป็นนักหลอมยาได้แน่!” เจ้าวิญญาณน้อยหัวเราะเสียงดังพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยท่าทีราวกับมองทารกน้อยอยู่
ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นขวดหยกให้ถึงมือเจ้าวิญญาณน้อยพลางเอ่ยว่า “จัดการเลย”
หลังจากนั้นเธอก็กะพริบร่างออกมาจากมณีวิญญาณ
เจ้าวิญญาณน้อยมองดูความระเกะระกะทั่วทั้งห้องหลอมยาแล้วจึงโบกมือน้อยๆ คราหนึ่ง ภายในห้องก็กลับมาเป็นระเบียบเรียบร้อยตามเดิม จากนั้นเขาก็หยิบขวดหยกก่อนจะหายตัวไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
ภายในห้อง ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ไม่นานก็ลืมตาทั้งสองขึ้นแล้วกระอักเอาสิ่งปฏิกูลออกมาคำหนึ่ง ความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการหลอมยาก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“เย่ว์เย่ว์ หลายวันมานี้ที่เจ้าปลีกวิเวกไป พวกเจ้าอ้วนชวีมาหาเจ้าหลายครั้งเลยนะ” เจ้าคำรามน้อยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ตื่นขึ้นมาแล้วจึงเอนกายลงบนโต๊ะพลางเอ่ยขึ้น
“มีเรื่องอันใดหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ลงมาจากเตียง
“ไม่รู้สิ พวกเขาเพียงแค่เขย่าประตูอยู่หลายครั้ง แล้วคงคิดเอาว่าเจ้ากำลังฝึกยุทธ์อยู่จึงมิได้บุกเข้ามาน่ะ” ขาอันสั้นป้อมทั้งสี่ของเจ้าคำรามน้อยขยับไหวอย่างสุดแรงเกิด หมายจะพลิกกลับมา แต่ลองดูอยู่หลายครั้งก็ล้มเหลวตลอด
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาแล้วก้มศีรษะลงมองแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาพลิกตัวมันแล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้าควรลดความอ้วนได้แล้วนะ”
พูดจบเธอก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป
เจ้าคำรามน้อยปีนป่ายอยู่บนโต๊ะมองเงาหลังของซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยน้ำตานองหน้าพลางคร่ำครวญอยู่ในใจว่า นั่นก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้เจ้าขุนข้าจนอ้วน แล้วตอนนี้กลับมาหาว่าข้าอ้วนอีก!
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวออกนอกประตูห้อง ก็เห็นโอวหยางเฟยที่เดินเข้ามาจากข้างนอกพอดี กลิ่นเลือดจางๆ สายหนึ่งโชยมาจากบนร่างเขา
“เจ้าได้รับบาดเจ็บมาอย่างนั้นหรือ”
โอวหยางเฟยมองเธอโดยไม่พูดอะไรเลยแล้วตรงกลับไปยังห้องของตนเอง
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกตัวเอง วันนี้แรงกดดันของเจ้าคนผู้นี้ต่ำกว่าที่เคยเป็นมา หรือเป็นเพราะว่าถูกคนโจมตีมากันนะ
“โยวเย่ว์ เจ้าออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือ” เว่ยจือฉีออกมาจากห้องของตัวเองแล้วอมยิ้มมองซือหม่าโยวเย่ว์
“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “เจ้าคำรามน้อยบอกว่าช่วงก่อนหน้านี้พวกเจ้ามาหาข้าอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับภารกิจน่ะ เดิมทีอยากจะมาหาเจ้าเพื่อหารือกันสักหน่อย แต่เห็นในห้องเจ้าไม่มีความเคลื่อนไหวก็เลยไม่อยากรบกวนเจ้า” เว่ยจือฉีพูด
“ทำไมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เพราะภารกิจของพวกเราในครั้งนี้ค่อนข้างยาก ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจจะออกเดินทางกันเร็วหน่อย และตอนนี้ชั้นเรียนก็หยุดลงพอดีด้วย คิดกันว่ารอให้เจ้าออกมาแล้วจะเริ่มเดินทางกันเลย” เว่ยจือฉีพูดอย่างขอโทษขอโพยอยู่บ้างความจริงแล้วเป็นกิจกรรมกลุ่ม แต่พวกเขากลับตัดสินใจไปเรียบร้อยโดยไม่รอให้ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา
“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางของเว่ยจือฉีจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะถ่วงเวลาการผจญภัยของทุกคนสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าขอไปจัดการอะไรให้เรียบร้อยก่อน จะกลับไปบอกพวกท่านปู่สักหน่อยว่าจะออกตัวแล้ว”
“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนหรอก” เว่ยจือฉีพูด “ดูท่าทางของโอวหยางแล้วพวกเราคงมิได้ไปกันในวันสองวันนี้หรอก เจ้าค่อยๆ เตรียมตัวไปก็ได้นะ”
“ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนละนะ พรุ่งนี้จึงจะมา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ได้เลย” เว่ยจือฉีพยักหน้า เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ปิดประตูจากไปแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ในทันใด จึงเรียกเพื่อรั้งตัวเธอเอาไว้ “ใช่แล้ว ในช่วงเวลาที่เจ้าปลีกวิเวกนี้ เหอชิวจือถูกคนพบเห็นเป็นศพอยู่ในเมือง ซึ่งศัตรูลงมือได้อย่างสะอาดเรียบร้อย คงจะเป็นฝีมือของตระกูลน่าหลานนั่นแหละ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ตกใจแต่อย่างใดเมื่อได้ยินข่าวการตายของเหอชิวจือ เธอรู้อยู่แล้วว่าตระกูลน่าหลานย่อมไม่มีทางปล่อยนางไปอยู่แล้ว
เธอโบกไม้โบกมือไปทางเว่ยจือฉีก่อนจะหมุนกายจากไป
คนที่คิดจะทำร้ายเธอก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจตายมาก่อนแล้วสิ
พอกลับถึงจวนแม่ทัพ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไปหาซือหม่าเลี่ยแล้วบอกเขาว่าจะไปจากที่นี่เพื่อออกปฏิบัติภารกิจสักระยะหนึ่ง ในตอนแรกซือหม่าเลี่ยไม่เห็นด้วย แต่ก็มิอาจทานทนต่อการรบเร้าทุกวิถีทางของเธอได้ จึงได้รับปากไปอย่างกระอักกระอ่วน
พอเขาเห็นเธอจากไปแล้วก็เรียกตัวพ่อบ้านมาก่อนจะพูดว่า “คุณชายห้าจะออกไปแล้ว เจ้าส่งคนไปคอยอารักขาเขาด้วยล่ะ”
“ขอรับนายท่าน” พ่อบ้านรับคำสั่งแล้วจึงออกไปจัดการเรื่องกำลังคน
ซือหม่าโยวเย่ว์ค้างที่บ้านคืนหนึ่ง เช้าวันต่อมาก็กลับมาที่วิทยาลัย หลังจากผ่านถนนใหญ่มาหลายสายแล้วเธอก็เข้ามาในตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่ง
“ไหนๆ ก็มาแล้ว ยังมัวหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ทำไมกันเล่า”
…………………