พออ่านตำราเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรจบแล้ว เธอจึงค้นพบว่าอันที่จริงแล้ววิธีการมิได้ยุ่งยากเลย ไม่รู้ว่าสิ่งนี้หายสาบสูญไปได้อย่างไรกัน
ประโยคสุดท้ายของตำราเขียนเอาไว้ว่าระดับของการฝึกสัตว์อสูรวิเศษนี้มีความเชื่อมโยงกับพลังจิต ยิ่งเป็นสัตว์อสูรวิเศษระดับสูง ยิ่งต้องการพลังจิตที่แข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย ในจุดนี้ก็เหมือนกับการหลอมยาวิเศษนั่นเอง
“เฮ้อ ดูท่าทางจะต้องยกระดับพลังจิตให้สูงขึ้นเสียก่อน!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจ ก่อนหน้านี้รู้สึกเพียงแค่ว่าการฝึกฝนพลังวิญญาณมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าการฝึกฝนวิญญาณนี้ก็มีความสำคัญต่อการฝึกพลังวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน
เธอวางตำราเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรลงแล้วมาตรงหน้าตำราเคล็ดหลอมวิญญาณก่อนจะหยิบตำราลงมา ประกายสีเงินที่อาบอยู่บนเล่มตำราจึงจางหายไป ทำให้เธอมองเห็นรูปลักษณ์ทั้งหมดของตำรา
เธอพลิกเปิดหน้าแรกเบาๆ ประโยคหนึ่งในนั้นทำให้หัวใจของเธอสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“ระดับสูงสุดของการหลอมวิญญาณ ทำให้วิญญาณดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระจากร่างกายได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ท่องคำพูดนี้แล้วก็นึกถึงวิญญาณว่างเปล่าโปร่งใสของหมัวซาขึ้นมา “เขาคงจะฝึกสิ่งนี้สินะ ดังนั้นวิญญาณของเขาจึงดำรงอยู่บนโลกนี้อย่างอิสระได้ ดูท่าทางเคล็ดหลอมวิญญาณนี่จะสุดยอดมากจริงๆ”
เธออ่านด้านล่างต่อไป ในนั้นพูดถึงระดับต่างๆ ของการหลอมวิญญาณ เริ่มต้นด้วยขั้นเริ่มสัมฤทธิ์ ตามด้วยขั้นจำแลงทิพย์ ถัดมาเป็นขั้นหลอมจินตภาพ และสุดท้ายคือขั้นมหทวี
และระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณนี้ก็แสดงออกผ่านทางพลังจิตนั่นเอง
ขั้นเริ่มสัมฤทธิ์ พลังจิตไปถึงขอบเขตที่แน่ชัดอันหนึ่ง ซึ่งจะสัมผัสรับรู้เรื่องราวโดยรอบในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรได้
ขั้นจำแลงทิพย์ พลังจิตจะรวมตัวกันเป็นรูปร่างจำเพราะนอกร่างกายได้
ขั้นหลอมจินตภาพ พลังจิตรวมตัวกันเป็นรูปร่างที่สอง
ขั้นมหทวี คือขั้นที่วิญญาณดำรงอยู่ได้อย่างอิสระ
แต่ละระดับขั้นล้วนมีช่องว่างระหว่างกันอย่างมหาศาล ทุกการก้าวผ่านระดับขั้นล้วนมีของกำนัลอันใหญ่โตทั้งสิ้น
ต่อจากระดับขั้นคือวิธีการบำเพ็ญวิญญาณ ซือหม่าโยวเย่ว์อ่านดูรอบหนึ่ง ในตอนแรกๆ นั้นค่อนข้างง่าย ใช้เพียงแค่เคล็ดคาถาไม่กี่ประโยคมาใช้ในการหลอมวิญญาณเท่านั้น และหลังจากนั้นก็คือวิธีการยกระดับพลังจิตต่างๆ
“ดูเหมือนว่าการหลอมวิญญาณนี้กับพลังจิตจะสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดจริงๆ แยกขาดจากกันมิได้เลย มิน่าเล่าหมัวซาจึงบอกว่าหลังจากการหลอมวิญญาณแล้วพลังจิตก็สามารถยกระดับขึ้นได้เช่นเดียวกัน”
เธอทอดถอนใจก่อนจะถอนตัวออกมาจากทะเลแห่งความรู้ แล้วฝึกฝนตามเคล็ดคาถาในตำรา
เวลาทะยานผ่านไปอย่างรวดเร็วในระหว่างการบำเพ็ญ ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเจ้าคำรามน้อยเรียกให้ตื่นขึ้นจากสภาวะการบำเพ็ญนั้นฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว
คิดไม่ถึงว่าตนบำเพ็ญไปนานถึงหนึ่งคืนเต็มๆ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว นอกจากนี้ยังมีสติแจ่มใส ไม่มีความอิดโรยจากการอดหลับอดนอนตลอดหนึ่งคืนเลยแม้แต่น้อย
“ดูท่าทางหลังจากนี้หากตอนกลางคืนไม่มีเรื่องอะไร ก็สามารถฝึกฝนสิ่งนี้ได้สินะ” เธอลงมาจากเตียงแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเก็บข้าวของภายในกระโจมเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุ หลังจากนั้นก็เก็บกระโจมเข้าไปด้วย
“น้องซือหม่า เจ้าก็ตื่นแล้วหรือ” ชิงอู๋หยาเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เก็บข้าวของจึงเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มมาจากทางฝั่งของตน
“อรุณสวัสดิ์พี่ใหญ่ชิง!” ซือหม่าโยวเย่ว์ผงกศีรษะให้เขาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ หลังจากนั้นจึงไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธาร แล้วกลับมาหยิบเอาถ้วยชามหม้อไหออกมาเตรียมอาหารเช้า
ขณะที่เธอทำอาหารเช้า พวกเป่ยกงถังทยอยกันลุกจากเตียง เก็บข้าวของของตนเองแล้วรอกินอาหารเช้า
“น้องเว่ย พวกเราจะเข้าไปในเทือกเขากันแล้วนะ จะต้องจำสิ่งที่ข้าบอกพวกเจ้าเมื่อคืนเอาไว้ให้จงดี อย่าได้ไปยังสถานที่อันตรายเป็นอันขาด” หลังจากพวกชิงอู๋หยาเก็บข้าวของกันเรียบร้อยแล้วเขาก็พูดกับเว่ยจือฉี
“พี่ใหญ่ชิงจะเข้าไปในเทือกเขาแต่เช้าตรู่ขนาดนี้เลยหรือ” เว่ยจือฉีพูดพลางมองกลุ่มทหารรับจ้างที่เตรียมพร้อมกันอย่างเต็มที่แล้ว
“อืม ภารกิจของพวกเราในครั้งนี้ค่อนข้างหนักเลยทีเดียว ทว่าเวลาค่อนข้างกระชั้นชิด ดังนั้นจึงต้องเข้าไปให้เร็วหน่อยน่ะ” ชิงอู๋หยาเอ่ยตอบ
“เช่นนั้นขอให้พวกพี่ใหญ่ชิงทำภารกิจสำเร็จในเร็ววันนะ” เว่ยจือฉีพูด
“ขอบใจน้องเว่ย ไว้พบกันใหม่นะ!”
“ไว้พบกันใหม่”
ชิงอู๋หยาประสานมือคารวะพวกซือหม่าโยวเย่ว์ หลังจากนั้นจึงกลับไปอยู่ท่ามกลางพรรคพวกของตนพลางพูดว่า “พวกเราไปกันเถิด”
เจ้าอ้วนชวีมองพวกชิงอู๋หยาจากไปแล้วจึงเอ่ยว่า “คนกลุ่มทหารรับจ้างชิงซานนี้ใช้ได้เลยทีเดียวนะ”
“ใช้ได้เลยล่ะ ดีกว่าที่เคยพบเจอมาก่อนหน้านี้มากมายนัก”
“กินข้าวกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์วางอาหารลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยเรียกทุกคน
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้รีบเร่งเหมือนกลุ่มทหารรับจ้างชิงซาน พวกเขากินอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้วจึงค่อยมุ่งหน้าเข้าไปภายในเทือกเขา
คราวนี้พวกเขาจะต้องเก็บสะสมเครื่องยาหลายชนิด ทั้งยังต้องการซากสัตว์อสูรวิเศษคนละหนึ่งตนอีกด้วย เป็นภารกิจอันหนักอึ้งเช่นเดียวกัน
ภารกิจเสาะหาเครื่องยานั้นง่ายดายขึ้นมากเมื่อมีซือหม่าโยวเย่ว์ เพราะเธอรู้จักเครื่องยาต่างๆ เป็นอย่างดี รู้ว่าเครื่องยาเหล่านั้นเจริญเติบโตอยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบไหน ดังนั้นบริเวณที่ต้องไปเสาะหาจึงตีวงแคบลงเป็นอย่างมาก
ผ่านไปหนึ่งวันแล้วพวกเขาก็เสาะหาเครื่องยาส่วนแรกพบ
“โยวเย่ว์ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักเครื่องยาเป็นอย่างดีถึงเพียงนี้” เว่ยจือฉีมองดูเครื่องยาที่วางอยู่ในกล่องแล้วร้องอุทานขึ้น
“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ ก่อนหน้านี้ทำไมพวกเราจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้ารู้จักเครื่องยาดีถึงเพียงนี้” เจ้าอ้วนชวีพูด
“เจ้ามิได้อยู่กับข้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียหน่อยนี่ ข้าทำอะไรได้บ้าง เจ้าจะไปรู้ทั้งหมดได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบตามองเจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่งโดยมิได้ตอบคำถามของพวกเขาตรงๆ
“ตอนนี้หาหญ้าหัวใจธรณี รวมทั้งหญ้าเปลวเพลิง กับเครื่องยาสี่รสพบแล้ว” โอวหยางเฟยพูด
“ข้ารู้จักหญ้าเปลวเพลิง มันเจริญอยู่ในบริเวณที่เผชิญกับแสงอาทิตย์ แต่บริเวณใกล้ๆ หญ้าเปลวเพลิงนี้ล้วนมีสัตว์อสูรวิเศษที่ค่อนข้างแข็งแกร่งคอยเฝ้ารักษาอยู่ทั้งสิ้น” เป่ยกงถังขมวดคิ้วพูด
“อืม ข้าเสนอให้มาหาเจ้าหญ้าเปลวเพลิงนี่เป็นอย่างสุดท้าย พวกเราไปหาเครื่องยาอื่นๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” เว่ยจือฉีพูด
“เห็นด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “สัตว์อสูรวิเศษที่บริเวณรอบนอกเทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้ระดับขั้นไม่สูงนัก ถ้าหากพบเข้า พวกเราก็ใช้ฝึกฝีมือได้”
“ดี เช่นนั้นพวกเราหากันต่อเถิด” เว่ยจือฉีพูด
“อืม”
พวกเขาออกจากหุบเขา เพียงครู่เดียวคนอีกกลุ่มหนึ่งก็มาถึงยังบริเวณที่พวกเขาเพิ่งมาเมื่อครู่
“พี่ใหญ่ คนกลุ่มนั้นเดินทางกันอย่างไม่มีแบบแผนเลยแม้แต่น้อย พวกเราไม่มีทางวางกับดักได้เลย!” คนผู้หนึ่งในนั้นพูดขึ้น
“ไม่มีทาง ก็ต้องคิดหาทางให้ได้สิ!” ชายเสื้อดำพูด “เขาทำให้น่าหลานหลานถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัย ข้าจะต้องชำระแค้นนี้แทนนางให้จงได้”
“พี่ใหญ่ พวกเราไม่อาจลงมือจัดการพวกเขาตรงๆ ได้ เช่นนี้จะทำอย่างไรกันดีเล่า” อีกคนหนึ่งถามขึ้น
ชายเสื้อดำนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “พวกเขามิได้บอกว่าจะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อฝึกฝีมือกันหรอกหรือ พวกเราก็หาคู่ต่อสู้ให้พวกเขาฝึกฝีมือเสียสิ ถ้าหากถูกสัตว์อสูรวิเศษในเทือกเขาสังหาร วิทยาลัยก็ไม่มีทางกล่าวโทษมาถึงพวกเราได้หรอก”
“แต่ว่าพี่ใหญ่ ได้ยินมาว่าระดับขั้นของคนพวกนั้นสูงส่งไม่เบาเลยทีเดียว นอกจากเจ้าคนไร้ค่าซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นั้นแล้ว คนอื่นๆ ก็มิได้ด้อยไปกว่าพวกเราเลย พวกเราจะต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้พวกเขาถูกสัตว์อสูรวิเศษ…”
“เรื่องนี้ข้ามีวิธี พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ใดพอจะมีสัตว์อสูรวิเศษที่อาศัยกันเป็นฝูงอยู่บ้าง” ชายเสื้อดำพูด
“พี่ใหญ่ ข้ารู้! ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินทหารรับจ้างคนหนึ่งพูดถึง”
“เช่นนั้นก็ดี ไป พวกเราไปหาสัตว์อสูรวิเศษให้เจ้าพวกนั้นฝึกฝีมือกันดีกว่า…”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งห้าคนเสาะหากันอยู่ภายในเทือกเขามาตลอดหนึ่งวัน โดยที่วันนี้ไม่ได้อะไรมาเลย แต่ระหว่างกระบวนการเสาะหานั้นได้พบกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นหกตนหนึ่ง พวกเขาร่วมมือร่วมแรงกันจัดการมันได้อย่างรวดเร็ว แล้วให้ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บมันเอาไว้ สำหรับเหตุผลที่ทำไมจึงให้เธอเก็บไว้นั้นก็เป็นเพราะว่าแหวนเก็บวัตถุของเธอมีขนาดใหญ่ที่สุดนั่นเอง
ในขณะที่พวกเขากำลังพักผ่อนอยู่นั้นเอง ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าอันตรายขุมหนึ่งกำลังโจมตีเข้ามา จึงผุดลุกขึ้นยืนโดยสัญชาตญาณ
“โยวเย่ว์ เป็นอะไรไปหรือ” เจ้าอ้วนชวีเห็นท่าทางกระวนกระวายของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยถามขึ้น
“มีความเคลื่อนไหวน่ะสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
คนอื่นๆ ยังมิทันได้เอ่ยคำพูด พลันได้ยินเสียงฝีเท้าอันชุลมุนวุ่นวาย จากนั้นหมาป่าเปลวอัคคีฝูงหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน ก่อนจะวิ่งตรงมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“สัตว์…สัตว์อสูรวิเศษมากมายเหลือเกิน…” เจ้าอ้วนชวีเห็นหมาป่าเปลวอัคคีมากมายถึงเพียงนี้แล้วอดที่จะกลืนน้ำลายมิได้
…………………………