“เย่ว์เย่ว์” เจ้าคำรามน้อยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างลำพองใจ ร่างกายเล็กจ้อยนั้นเมื่อเทียบกับร่างใหญ่มหึมาของวิหคสี่ปีกแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับหนูน้อยและช้างตัวเขื่องเลย
ซือหม่าโยวเย่ว์มองแววตาหยิ่งยโสนั้นของเจ้าคำรามน้อยแล้วเอ่ยว่า “ให้พวกมันไปกันได้แล้ว”
“อื้ม” เจ้าคำรามน้อยขานรับเสียงหนึ่ง หลังจากนั้นก็คำรามใส่บรรดาสัตว์อสูรวิเศษ สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็ทยอยกันจากไป เหลือเพียงแค่วิหคสี่ปีกที่อยู่ภายใต้ร่างมันเท่านั้น
“มันไม่กลับไปหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองวิหคสี่ปีกปราดหนึ่งแล้วถามขึ้น
เจ้าคำรามน้อยลงมาจากร่างวิหคสี่ปีกแล้วมาหมอบอยู่บนศีรษะของเธอพลางเอ่ยว่า “เจ้าวิหคยักษ์เป็นสหายของข้า มันมาพร้อมกันกับข้า ก็ย่อมจากไปไหนไม่ได้อยู่แล้วล่ะ!”
พอซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่มันหลอกให้ย่ากวงมาทำพันธสัญญากับตนในตอนนั้นขึ้นมา หรือว่าเจ้าวิหคสี่ปีกนี่ก็ถูกมันล่อลวงมาเช่นกัน
เมื่อสัมผัสได้ถึงความสงสัยที่เธอมีต่อตน เจ้าคำรามน้อยจึงประท้วงอยู่ในใจ “ข้าเคยล่อลวงผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใดกัน ย่ากวงกับเจ้าวิหคยักษ์ล้วนติดตามข้ามาด้วยความเต็มอกเต็มใจมิได้หรือ อย่าเห็นข้าเป็นคนที่จิตใจเต็มไปด้วยแผนร้ายเหมือนเจ้าสิ!”
เมื่อได้ยินเจ้าคำรามน้อยพูดอยู่ในใจว่าตนเป็นคนที่จิตใจเต็มไปด้วยแผนร้าย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ดึงตัวเจ้าคำรามน้อยลงมาจากบนศีรษะ ยังไม่ทันจะได้สั่งสอนมันก็เห็นวิหคสี่ปีกแปลงกายเป็นร่างจำแลงบินเข้ามาหาตน สองตาปิดลงแล้วผล็อยหลับไปในทันที
เมื่อรู้สึกได้ว่านกน้อยบนไหล่ร่วงหล่นลงไป ซือหม่าโยวเย่ว์ก็โยนตัวเจ้าคำรามน้อยทิ้งแล้วเอื้อมมือไปรับตัวเจ้านกน้อยเอาไว้
“เย่ว์เย่ว์ เจ้าลำเอียงนี่!” เจ้าคำรามน้อยคำราม
ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่มันทีหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองนกน้อยในมือพลางเอ่ยว่า “เหตุใดมันจึงหมดสติไปเสียแล้วเล่า”
เว่ยจือฉีเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “คงจะเป็นเพราะยาล่อหลอกเมื่อครู่เป็นเหตุกระมัง”
ชิงอู๋หยาประสานมือคำนับพวกเขาพลางเอ่ยว่า “อู๋หยาขอขอบคุณบุญคุณช่วยชีวิตของทุกท่านในวันนี้ ในภายหน้าหากมีความประสงค์อันใดได้โปรดบอกอู๋หยา อู๋หยาไม่มีทางลังเลใจอย่างแน่นอน!”
“พี่ใหญ่ชิงพูดเกินไปแล้ว” เว่ยจือฉียกสองมือขึ้นรับแล้วเอ่ยว่า “แต่เหตุใดพี่ใหญ่ชิงจึงยังอยู่ที่เทือกเขาผู่สั่วอีกเล่า”
“อีกประเดี๋ยวข้าค่อยเล่าให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน ตอนนี้พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่านะ” ชิงอู๋หยาพูด
ทหารรับจ้างอย่างพวกเขาคลุกคลีอยู่ที่เทือกเขาผู่สั่วมานานปี ย่อมรู้ดีว่ากลิ่นคาวเลือดนี้อาจเป็นเหตุดึงดูดสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นๆ เข้ามาอีกก็เป็นได้
คนทั้งห้าเร่งฝีเท้าไปจากที่ตั้งค่ายพักแรมแห่งนี้ ชิงอู๋หยาเดินไปพร้อมกับเล่าเรื่องว่าเหตุใดตนจึงมาอยู่ที่นี่ได้
อันที่จริงแล้วภารกิจในครั้งก่อนของพวกเขาสำเร็จเสร็จสิ้นไปตั้งแต่สิบวันก่อนแล้ว ต่อมาพวกเขากลุ่มทหารรับจ้างรับภารกิจที่สองเพื่อพาคนของตระกูลใหญ่กลุ่มหนึ่งเข้ามายังพื้นที่ชั้นใน
ความจริงพวกเขามิได้เต็มใจเลย ถึงอย่างไรพื้นที่ชั้นในนี้ก็อันตรายเกินไป แต่คนตระกูลนั้นบอกว่าระยะนี้เทือกเขาผู่สั่วค่อนข้างปลอดภัย เพราะสัตว์อสูรวิเศษถูกสิ่งล้ำค่าดึงดูดไปจนหมดแล้ว บวกกับพวกเขาจ่ายให้อย่างงาม บิดาของชิงอู๋หยาจึงตอบตกลง แต่ส่งเพียงคนสองคนในกลุ่มที่พลังยุทธ์สูงหน่อยมาด้วยเท่านั้น ส่วนชิงอู๋หยาติดตามมาด้วยเพื่อดูสภาพของพื้นที่ชั้นใน
เล่าเรื่องของตนเองจบแล้วชิงอู๋หยาจึงพูดว่า “แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงยังอยู่ในเทือกเขานี้อีกเล่า นอกจากนี้ยังมาถึงพื้นที่ชั้นในนี่อีกด้วย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะค่อนข้างปลอดภัย แต่นี่ก็ไม่แน่เสมอไปหรอกนะ”
“พวกเราก็แค่มาชมดูความครึกครื้นเท่านั้นเอง” เว่ยจือฉีพูด “เมื่อครู่เห็นท่าทีของพี่ใหญ่ชิงดูคล้ายจะรู้จักกับคนของกลุ่มทหารรับจ้างนั่นด้วยหรือ”
“อื้ม นั่นคือกลุ่มทหารรับจ้างหมีดำที่เป็นอริกับกลุ่มทหารรับจ้างชิงซานของพวกเรามาเนิ่นนาน ถึงแม้ว่าหัวหน้าห่าวโหย่วไฉของพวกเขาจะมีพลังยุทธ์ไม่เลว แต่นิสัยต่ำทรามนัก มักจะนำลูกน้องมาช่วงชิงสมบัติของผู้อื่นอยู่บ่อยๆ ทำเรื่องเลวร้ายมาไม่น้อยเลย! คิดไม่ถึงว่าคราวนี้พวกเขาจะร่วมมือกับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรทำเรื่องชั่วเช่นนี้ออกมาได้” ชิงอู๋หยาพูด
“ท่านรู้จักกับปรมาจารย์มู่ผู้นั้นด้วยหรือไม่” เว่ยจือฉีถาม
“รู้จักสิ เขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูรของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรแห่งเมืองเหยียน ได้ยินว่าอุปนิสัยเขาก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่นัก ทั้งยังทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อีก”
“ข้าคิดว่าลำพังแค่เขาคนเดียวมิอาจทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้หรอก เขากล้าทำเช่นนี้ได้ จะต้องมีสมาคมทหารรับจ้างคอยหนุนหลังเขาอยู่อย่างแน่นอน หรือบางทีอาจเป็นสมาคมเองนั่นแหละที่ชี้แนะให้เขาทำเช่นนี้!” เว่ยจือฉีพูด “รอข้ากลับไปแล้วจะต้องบอกเรื่องนี้ให้ท่านอารู้อย่างแน่นอน”
ชิงอู๋หยาได้ฟังคำพูดของเว่ยจือฉีแล้วก็รู้ถึงตัวตนของเขาในทันที ก่อนหน้านี้เพียงแค่คาดเดาเอาไว้ว่าตัวตนของเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นถึงคนของตระกูลนักฝึกสัตว์อสูรเลยทีเดียว!
พวกเขาเดินมุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของต้นผลอสรพิษทองคำ หนึ่งวันให้หลังก็ไปถึงที่ตั้งค่ายพักแรมแล้ว ชิงอู๋หยาเชื้อเชิญให้พวกเขาไปยังสถานที่ตั้งค่ายพักแรมด้วยกัน แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับปฏิเสธอย่างสุภาพ อยู่ร่วมกันกับผู้อื่น เวลาคิดจะเคลื่อนไหวก็คงไม่ค่อยสะดวกนัก
เดิมทีชิงอู๋หยาเป็นกังวลเรื่องพวกเขายิ่งนัก แต่เห็นพวกเขาไม่ต้องการจริงๆ จึงมิได้ฝืนใจ เพียงแค่บอกให้พวกเขาไปหาหากเผชิญกับเรื่องราวอันใดเข้า
พวกซือหม่าโยวเย่ว์รับปากเรียบร้อยแล้วชิงอู๋หยาจึงจากไป
เมื่อเห็นว่าในหุบเขามีมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นจำนวนไม่น้อย เจ้าอ้วนชวีจึงแตะไหล่ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “โยวเย่ว์ สองวันมานี้มีคนมาเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเลยนะ!”
เมื่อเห็นมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษเต็มภูเขา นัยน์ตาของซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังต่างก็ฉายแววเคร่งขรึมอย่างที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
“เหลืออีกหนึ่งวันหนึ่งคืนผลอสรพิษทองคำก็จะสุกงอมแล้ว พวกเราไปพักผ่อนที่บริเวณใกล้ๆ นี้ก่อนเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์เสนอ
พวกเขาเสาะหาพื้นที่ที่ซ่อนเร้นและสามารถมองเห็นเหตุการณ์เบื้องล่างได้แห่งหนึ่งสำหรับพักผ่อน
เพราะว่าพื้นที่แห่งนี้เล็กมาก ถึงแม้ว่าจะซ่อนเร้นเป็นอย่างดีแล้วแต่ก็ไม่มีใครมาครอบครอง
ขณะที่กำลังรอเวลาให้ผลอสรพิษทองคำสุกงอม ซือหม่าโยวเย่ว์อาศัยเหตุผลว่าจะไปทำธุระส่วนตัวปลีกตัวออกมาจากพวกเว่ยจือฉี
เธอมองไปรอบทิศ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร จึงเรียกตัวเจ้าคำรามน้อยออกมา ก่อนจะจ้องมองมันแล้วถามว่า “เจ้าวิหคสี่ปีกนี่มีที่มาที่ไปอย่างไรกัน”
“เจ้าวิหคน้อยน่ะหรือ” เจ้าคำรามน้อยเอียงคอพลางเอ่ยว่า “ข้าเห็นเจ้าอยากจะชิงผลอสรพิษทองคำมา เจ้าวิหคน้อยนี่สามารถบินได้ ถึงเวลานั้นพอเจ้าชิงผลอสรพิษทองคำมาได้แล้ว มันก็สามารถพาพวกเราบินหนีไปได้อย่างไรล่ะ!”
“ดังนั้นเจ้าก็เลยล่อลวงมันมาอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ไอ้หยา เย่ว์เย่ว์ อุตส่าห์มีสัตว์อสูรวิเศษเต็มใจติดตามเจ้า นี่ก็เป็นเรื่องดีแล้วนะ!” เจ้าคำรามน้อยพูด
“ข้าย่อมชอบให้มีสัตว์อสูรวิเศษยิ่งมากยิ่งดีอยู่แล้วล่ะ แต่นี่เจ้าล่อลวงผู้อื่นมา ถึงเวลานั้นพอผู้อื่นเขาได้สติรู้ตัวขึ้นมาแล้วมาคิดบัญชีกับข้าจะทำอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือไปเขกศีรษะเจ้าคำรามน้อยทีหนึ่ง “ระดับขั้นของเจ้าวิหคสี่ปีกนี่มิได้ต่ำต้อยเลยกระมัง พอถึงเวลานั้นหากอาละวาดขึ้นมาแล้วเจ้าจะเอาชนะมันไหวหรือไม่เล่า”
“มีพี่ใหญ่เพลิงชาดอยู่ทั้งคน สัตว์อสูรวิเศษตนไหนจะกล้าบุ่มบ่ามต่อหน้าเจ้าบ้างเล่า!” เจ้าคำรามน้อยพึมพำเสียงเบา
“เจ้าว่าอะไรนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเจ้าคำรามน้อยมาถาม
“ไม่มีอะไรหรอกน่า!” เจ้าคำรามน้อยนึกเรื่องที่เพลิงชาดบอกว่าห้ามพูดถึงเรื่องของมันขึ้นมาได้ จึงรีบปฏิเสธแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ถึงอย่างไรเจ้าวิหคน้อยก็ไม่มีทางทำร้ายเจ้าอยู่แล้วล่ะ เจ้าวางใจได้เลย!”
“แต่ตอนนี้ข้าทำพันธสัญญาเต็มพิกัดแล้ว มิอาจทำพันธสัญญากับมันได้อีก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ เจ้าให้มันอยู่ในเจ้าวิญญาณน้อยก็ใช้ได้แล้ว รอให้ถึงเวลาที่เจ้าทำพันธสัญญาได้ก็ค่อยทำแล้วกัน!” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงแม้ว่าตอนนี้มันเพิ่งจะเป็นเพียงแค่สัตว์อสูรทิพย์ขั้นเก้าเท่านั้น แต่ในร่างของมันมีสายโลหิตวิหคยักษ์โบราณอยู่ เมื่อใดที่สายโลหิตตื่นรู้ก็นับได้ว่าเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ไม่เลวเลยทีเดียว”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคำพูดของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็เบ้ปากน้อยๆ อะไรกันที่เรียกว่าสัตว์อสูรทิพย์ขั้นเก้านี่มิใช่สิ่งมีชีวิตที่อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเลื่อนระดับเป็นสัตว์อสูรเทพแล้วหรอกหรือ ซึ่งเทียบเคียงได้กับสิ่งมีชีวิตระดับราชันวิญญาณเลยทีเดียว ถ้าหากต่อสู้กับซือหม่าเลี่ยขึ้นมา ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ! เหตุใดพอมันพูดออกมาแล้วจึงฟังดูมีค่าพอๆ กับผักกาดขาวไปได้เล่า!
……………………