หมัวซาสัมผัสได้ว่าภายในลมหมัดนั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งความหงุดหงิด จึงพาซือหม่าโยวเย่ว์ถอยผ่านอากาศไปหลายสิบเมตรเพื่อหลบหลีกหมัดที่ปะทุออกมาของเจ้าวานรหมัดนี้
“เฮ้… ข้าว่า ท่านมิได้บอกว่าท่านร้ายกาจหนักหนาหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้แม้กระทั่งลิงตัวเดียวยังเอาชนะมิได้” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นหมัวซาเพียงแค่พาเธอหลบหลีกเท่านั้นจึงเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้วิญญาณข้าไม่เสถียร มิอาจสำแดงพลังยุทธ์ออกมาได้หรอก” หมัวซาพูด “นอกจากนี้เพิ่งรับหมัดของมันมา ยังมิทันเตรียมตัวให้ดีก็ต้องตั้งรับอีกแล้ว ข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเหมือนกัน”
“เอาเถิด ในเมื่อเอาชนะมิได้ พวกเราก็หนีกันก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆ ย่อมต้องคิดจะเข้ามาแย่งชิงด้วยเช่นกัน พอถึงเวลานั้นพวกเราคงลำบากแน่”
พูดจบแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็เรียกเจ้าวิหคน้อยออกมาจากภายในมณีวิญญาณ พอเห็นมันปรากฏตัวขึ้นมาด้วยร่างจริงจึงดีดตัวเหินขึ้นไปบนหลังของมัน
“เจ้าลิงน้อย วันนี้ข้าคงไม่ได้อยู่เล่นกับเจ้าแล้วล่ะนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าวานรอย่างผู้ที่เหนือกว่า ก็เห็นความหงุดหงิดและเดือดดาลของมัน รวมถึงความไม่ยินยอม ทันใดนั้นก็เกิดความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาในทันใด สิ่งล้ำค่าที่มันเฝ้าอารักขามานับร้อยนับพันปี แต่ตนกลับขุดรากถอนโคนขึ้นมาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะทำเกินไปอยู่บ้าง
หัวสมองคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เธอหยิบผลอสรพิษทองคำออกมาผลหนึ่งแล้วโยนไปทางเจ้าวานรพลางเอ่ยว่า “เจ้าลิงน้อย เจ้าอารักขามาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ข้าก็แบ่งให้เจ้าสักหน่อยด้วยแล้วกัน”
เจ้าวานรรับผลอสรพิษทองคำที่ซือหม่าโยวเย่ว์โยนมาเอาไว้ แน่ใจไร้ข้อกังขา พอเงยหน้าก็เห็นเธออาศัยจังหวะขึ้นนั่งบนร่างเจ้าวิหคน้อยหนีไปเสียแล้ว จึงเกิดความไม่เข้าใจขึ้นมาอยู่บ้าง
เดิมทีมันคิดว่าวันนี้มันคงเอาผลอสรพิษทองคำกลับมามิได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะคืนกลับมาให้มันผลหนึ่งเสียได้ สิ่งนี้ออกจะเหนือความคาดหมายของมันอยู่บ้าง
แต่มันต้องการผลอสรพิษทองคำผลเดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะมันมิได้คิดจะอาศัยสิ่งนี้ในการเพิ่มพูนพลังยุทธ์ หากแต่ต้องการสิ่งนี้ในการกระตุ้นสายโลหิตภายในกายตนให้ตื่นรู้ ยังดีที่มนุษย์ผู้นี้มิได้ชิงเอาผลอสรพิษทองคำไปจนหมดสิ้น เหลือความหวังเอาไว้ให้มัน มิฉะนั้นต่อให้ต้องจบลงด้วยการระเบิดตัวเอง มันก็จะลากเธอลงเรือลำเดียวกันให้จงได้!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เจ้าวานรผู้โดดเดี่ยวจึงกลับกลายเป็นรู้สึกซาบซึ้งใจต่อซือหม่าโยวเย่ว์อยู่บ้าง ถ้าหากเธอรู้เข้า อาจจะด่ามันว่าโง่เง่าสิ้นดี!
เจ้าวานรกินผลอสรพิษทองคำเข้าไปแล้วเหาะหนีไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ปล่อยบรรดาสัตว์อสูรวิเศษและมนุษย์เอาไว้เต็มหุบเขา
ทุกคนยังคงไร้ซึ่งการตอบสนอง สองฝ่ายที่ช่วงชิงผลอสรพิษทองคำกันต่างก็จากไปแล้ว ในหุบเขาไม่มีกลิ่นอายของผลอสรพิษทองคำอีกต่อไป สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นจึงค่อยๆ ได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา พวกที่ระดับขั้นสูงหน่อยจึงเริ่มจากไปก่อน
“ท่านประมุขตระกูล ผลอสรพิษทองคำก็หมดสิ้นไปเช่นนี้น่ะหรือขอรับ” ผู้อารักขาของตระกูลน่าหลานมายังข้างกายน่าหลานเหอ ตอนนี้พวกเขายังคงรู้สึกว่าตนกำลังอยู่ในห้วงความฝัน เมื่อครู่ยังลงมือหนักหน่วงกับผู้อื่นเพื่อผลอสรพิษทองคำอยู่เลย เพียงพริบตาของสิ่งนี้ก็หมดสิ้นไปเสียแล้วหรือ
“ถ้าหากคนผู้นั้นมิใช่จ้าววิญญาณ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับราชันวิญญาณขั้นสูง มิฉะนั้นจะใช้เคล็ดวิชาลับยกระดับพลังยุทธ์ไปถึงระดับจ้าววิญญาณได้อย่างไรกัน คนเช่นนี้ยังมีสัตว์อสูรวิเศษบินได้อยู่เคียงข้างกายอีกด้วย เจ้าจะไปชิงมาหรือไม่เล่า” น่าหลานเหอคิดว่าคราวนี้เสียแรงเปล่าแล้ว ในใจจึงเกิดเพลิงโทสะลุกโชน แล้วบันดาลโทสะใส่ผู้อารักขาแทน
“ข้าน้อยมิกล้าขอรับ” ผู้อารักขารีบประสานมือคำนับพลางเอ่ยขึ้น
“ไปเก็บข้าวของกลับ ไปจากหุบเขานี่กันก่อนดีกว่า” น่าหลานเหอออกคำสั่ง
“ขอรับ ท่านประมุขตระกูล”
คนของตระกูลน่าหลานจากไปอย่างรวดเร็ว คนอื่นๆ ก็ทยอยกันออกไปจากยอดเขาแห่งนี้ ถึงแม้ว่าการเดินทางในยามราตรีจะไม่ปลอดภัย แต่การรั้งอยู่ที่นี่นั้น ไม่แน่ว่าบรรดาสัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างเหล่านั้นอาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วโจมตีพวกเขา ก็คงลำบากไม่น้อยเลย
ผู้ที่มิได้ขยับตัวเลยมีอยู่สองคน หนึ่งคือซือหม่าเลี่ย อีกคนคือชิงอู๋หยา
ซือหม่าเลี่ยยืนอยู่ที่ยอดเขา มองไปยังทิศทางที่ซือหม่าโยวเย่ว์จากไป เขารู้สึกคุ้นเคยกับเงาร่างสายนั้นอยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน นึกอยู่นานสองนานเขาก็ยังนึกไม่ออกว่านั่นคือหลานสาวที่เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่
ทว่าชิงอู๋หยากลับจำได้แล้วว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ ในตอนแรกที่เห็นวิหคสี่ปีก เขายังคิดว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ผู้ชิงผลอสรพิษทองคำไปนั้นครอบครองวิหคสี่ปีกตนหนึ่งอยู่พอดี แต่เมื่อเขาจำได้ว่าเจ้าก้อนสีขาวที่นั่งอยู่บนหัวของวิหคสี่ปีกคือเจ้าคำรามน้อยก็มั่นใจแล้วว่านั่นคือซือหม่าโยวเย่ว์แน่นอน
แต่เขากลับมิได้คิดที่จะพูดเรื่องนี้ออกมา นับว่าตอบแทนบุญคุณที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ช่วยชีวิตเอาไว้ จึงหมุนกายจากไปพร้อมกับพวกเขา
ส่วนซือหม่าเลี่ยนั้นเดิมทีก็เห็นเจ้าคำรามน้อยแล้ว แต่เพราะไม่เคยเห็นวิหคสี่ปีกมาก่อน จึงคิดไปว่ามันคือขนสีขาวบนหน้าผากวิหคสี่ปีก ด้วยเหตุนี้จึงพลาดโอกาสที่จะดูออกว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ไป
“ท่านแม่ทัพ ตอนนี้พวกเรายังเอาชนะคนผู้นั้นไม่ได้…” ผู้อารักขาเดินเข้ามาด้านหลังของซือหม่าเลี่ยจึงเห็นว่าเขามองไปยังทิศทางที่ซือหม่าโยวเย่ว์จากไป จึงคิดว่าเขายังไม่ยอมจำนนใจอยู่
“ข้ารู้” ซือหม่าเลี่ยพูด “ให้ทุกคนเก็บข้าวของไปจากที่นี่เสีย”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
เพียงไม่นานหุบเขาอันอึกทึกก็สงบลง เหลือเอาไว้เพียงแค่ซากศพของสัตว์อสูรวิเศษที่ตายในการต่อสู้นอนอยู่ที่นั่นเท่านั้น
มิใช่ว่าผู้คนที่จากไปเหล่านั้นจะไม่มีใครให้ความสนใจกับซากศพเหล่านี้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นล้วนรังเกียจที่มนุษย์ช่วงชิงซากศพ ต่อให้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันกับตน พวกมันก็ยังไม่ยินยอมภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
ตอนนี้สัตว์อสูรวิเศษมีมากกว่า ต่อให้คนเหล่านั้นมีความคิด แต่ก็ยังเลือกจากไปอยู่ดี
ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าวิหคน้อยบินมุ่งหน้าไปยังทิศทางของพื้นที่รอบนอก นั่งบนหลังมันแล้วมองลงมาเบื้องล่าง ทัศนียภาพของเทือกเขาผู่สั่วภายใต้แสงจันทร์นั้นไม่เลวเลย
หลังออกห่างจากหุบเขามาไกลแล้ว หมัวซาจึงเก็บพลังของตนเองกลับมาแล้วเอ่ยว่า “ข้ากลับก่อนนะ วิญญาณของข้าไม่เสถียรมาโดยตลอด ตอนนี้ยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ช่วงนี้มิอาจมอบพลังให้เจ้าได้อีกแล้ว”
เมื่อได้ฟังเสียงที่อ่อนแออยู่บ้างของหมัวซา ซือหม่าโยวเย่ว์จึงถามอย่างกังวลใจว่า “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บสาหัสใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า พอได้ซึมซับไอพลังที่ต้นผลอสรพิษทองคำแผ่ออกมาสักระยะหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว” หมัวซาพูด “รอคราวหน้าที่ข้าออกมา ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นท่านอยากจะกินผลอสรพิษทองคำสักผลหนึ่งหรือไม่เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ไม่ต้อง ข้าไม่กินหรอก ตอนนี้วิญญาณของข้าทนรับพลังที่ปะทุออกมาจากผลอสรพิษทองคำไม่ไหวอยู่แล้ว” หมัวซาพูด “แต่ถ้าหากเจ้าอยากให้ข้าฟื้นฟูได้เร็วๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีหรอกนะ”
“วิธีอะไรหรือ”
“หลอมยาวิเศษ” หมัวซาพูด “ขอเพียงแค่เจ้าสามารถหลอมยาวิเศษที่มีประโยชน์ต่อวิญญาณออกมาได้ ข้าก็จะฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้นแล้วล่ะนะ”
“ข้าจะหลอมยาวิเศษศาสตร์มืดออกมาได้อย่างไรกันเล่า” เดิมทีตอนซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังว่ามีวิธีก็ยังตื่นเต้นยินดีอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเขาพูดถึงยาวิเศษศาสตร์มืดจึงพูดอย่างท้อใจ
“เจ้าลืมองค์ประกอบร่างกายของเจ้าไปเสียแล้วหรือ” หมัวซาพูด
“ร่างมารสว่างหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ นี่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับการหลอมยาวิเศษศาสตร์มืดด้วยหรือ
“คนที่ครอบครองร่างมารนั้นซึมซับปราณวิญญาณธาตุมืดได้ ขอเพียงแค่มีปราณวิญญาณธาตุมืด แล้วใส่มันเข้าไปตอนที่เจ้าผนึกยา ก็จะกลายเป็นยาวิเศษศาสตร์มืดได้แล้ว” หมัวซาพูด
“หืม ข้าดูดซับปราณวิญญาณธาตุมืดได้ด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตกใจ “เช่นนั้นยาวิเศษระดับใดจึงมีประโยชน์กับท่านเล่า”
“อย่างน้อยขั้นหก” หมัวซาพูด “ตอนนี้เจ้าหลอมได้เพียงแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น คิดอยากจะหลอมยาวิเศษที่มีส่วนช่วยเหลือข้าได้นั้นยังเร็วเกินไปมากนัก”
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกแล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่านเจตนาออกมาชี้แนะข้าเรื่องการหลอมยา เพราะมีจุดประสงค์เช่นนี้อยู่แล้วใช่หรือไม่”
เธอว่าแล้วเชียว ตอนนั้นที่เขาสัมผัสได้ว่าตนเป็นร่างมารสว่าง เหตุใดจึงเต็มใจเปิดเผยสายสัมพันธ์การทำพันธสัญญาระหว่างทั้งสองคน ทั้งยังสอนเธอหลอมยาอย่างกระตือรือร้นเช่นนั้นอีกด้วย ที่แท้ก็คิดว่าในภายภาคหน้าตนจะสามารถหลอมยาวิเศษศาสตร์มืดที่มีประโยชน์ต่อเขาได้นี่เอง!
………………………