“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นสตรีชัดๆ เหตุใดจึงต้องปลอมตัวเป็นบุรุษด้วยเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปากคราหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านปู่ให้ข้าทำเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้บอกเหตุผลกับข้าเลย”
“เจ้าวางใจเถิด พวกเราปรึกษากันเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่เจ้าเป็นสตรีออกไปเด็ดขาด”
“อืม ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าไม่ทำหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ ถ้าหากพวกเขามีความคิดเช่นนี้แม้แต่น้อย เธอคงไม่มีทางไปช่วยพวกเขาแน่
“อื้อ…”
มีเสียงละเมอเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างกำแพง เตือนซือหม่าโยวเย่ว์ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกเขา
“คนพวกนี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงต้องทำร้ายพวกเราด้วย” เว่ยจือฉีมองคนที่โยนเอาไว้อีกทางหนึ่งเหล่านั้นพลางขมวดคิ้วถามขึ้น
“พวกเจ้ามองคนขวาสุดนั่นให้ดีๆ สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
คนขวาสุดหรือ
คนผู้นั้นหัวทิ่มลงตอนที่ถูกเจ้าอ้วนชวีเหวี่ยงลงไป หน้าหันเข้ากำแพง ดังนั้นทุกคนจึงมิได้สังเกตเห็นเขา
เมื่อได้ฟังซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ เจ้าอ้วนชวีจึงวิ่งเข้าไปเตะคนผู้นั้นคราหนึ่งให้เขาหันหน้ามา
“เป็นเขาเองหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีตะโกนออกมาอย่างตกใจ
“เจ้าอ้วน เจ้ารู้จักด้วยหรือ” เว่ยจือฉีถาม
“ไม่ใช่แค่ข้าหรอกที่รู้จัก พวกเจ้าก็รู้จักเช่นกัน” เจ้าอ้วนชวีเบี่ยงตัวให้พวกเว่ยจือฉีเห็นใบหน้าบนพื้นนั้นได้อย่างชัดเจน
“เป็นเขานี่นา!”
“เป็นเขาได้อย่างไรกัน หรือว่า…”
เมื่อเห็นคนผู้นั้นพวกเขาทั้งสามก็ตกใจเช่นกัน จากนั้นจึงนึกถึงเรื่องฝูงหมาป่าในตอนนั้นขึ้นมา
ขณะนั้นพวกเขายังรู้สึกว่าแปลก แต่ตอนนี้เห็นเช่นนี้แล้ว แสดงว่าตอนนั้นพวกเขาเจตนาล่อฝูงหมาป่าเข้ามา
“พวกเขาคิดจะสังหารพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า!” เว่ยจือฉีกำหมัดแน่น การอบรมสั่งสอนที่ดีทำให้พวกเขามิได้พุ่งตรงเข้าไปสังหารคนเหล่านั้นในทันที
“คนพวกนี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงอยากจะสังหารพวกเราเล่า” โอวหยางเฟยไม่เข้าใจ
“ข้าว่าข้ารู้เหตุผลแล้วล่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“เจ้ารู้หรือ” เป่ยกงถังมองเจ้าอ้วนชวี เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน
เจ้าอ้วนชวีมายังข้างกายของคนผู้นั้นแล้วเตะเขาครั้งหนึ่งก่อนจะมองหน้าเขาพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้จักเจ้านี่ เขาโตกว่าพวกเราหนึ่งชั้นปี ผู้คนเรียกกันว่าเจ้าลิงแห้ง”
“พูดเช่นนี้แสดงว่าคนเหล่านี้เป็นคนของวิทยาลัยน่ะสิ” เว่ยจือฉีถาม
เจ้าอ้วนชวีพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าลิงแห้งผู้นี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของอู่เถียน ส่วนเจ้าอู่เถียนนั่น ได้ยินว่าเขาหลงใหลคลั่งไคล้น่าหลานหลานหัวปักหัวปำเลยทีเดียว”
“ดังนั้นหมายความว่าที่เขาทำร้ายพวกเราก็เพราะคิดจะแก้แค้นแทนน่าหลานหลานที่ข้าทำให้นางถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัยอย่างนั้นสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “จะว่าไปแล้วเป็นเพราะข้าเองที่ทำให้พวกเจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“โยวเย่ว์ เจ้าอย่าพูดเช่นนี้สิ พวกเราเป็นสหายกลุ่มเดียวกัน จะมีคำว่าพลอยเดือดร้อนไปด้วยได้อย่างไรกัน หากไม่ใช่เพราะเจ้า เกรงว่าตอนนี้พวกเราคงได้เป็นมื้อเที่ยงแสนอิ่มท้องของงูเหอฮวานไปแล้ว” เว่ยจือฉีพูด
“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ เจ้าอย่าคิดมากไปเลย” เจ้าอ้วนชวีพูด “ในเมื่อรู้แล้วว่าพวกเขาเป็นคนของวิทยาลัย เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดีเล่า จะจัดการคนเหล่านี้อย่างไรดี”
พูดมาถึงตรงนี้ ทุกคนต่างพากันเงียบลงไป ในความคิดของพวกเขา ย่อมต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน คิดอยากฆ่าพวกเขาให้ตาย พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องไว้ชีวิตเลย
แต่ตอนนี้เมื่อรู้ว่าพวกเขาเป็นคนของวิทยาลัย กฎของวิทยาลัยไม่อนุญาตให้ทำร้ายนักเรียนด้วยกัน มิฉะนั้นจะถูกขับไล่ออกจากวิทยาลัย เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อการกระทำของพวกเขา
ทุกคนล้วนเบนสายตามายังร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ ในเมื่อมาเพราะเธอ เธอจึงมีสิทธิ์พูดมากที่สุด
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้จักคนเหล่านี้เลยสักคน ในเมื่อพบว่ามีคนจะฆ่าพวกเราที่เทือกเขาผู่สั่ว พวกเราย่อมต้องตอบโต้สิ พวกเราก็ไม่เห็นจะรู้เลยว่าคนเหล่านี้เป็นใคร ใช่หรือไม่เล่า”
เมื่อได้ฟังซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไป
“ถูกต้อง พวกเราไม่เห็นจะรู้จักคนเหล่านี้เลย ย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาเป็นคนจากขุมอำนาจใด ทั้งยังไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องทำร้ายพวกเราด้วย” เป่ยกงถังตอบสนองกลับมาเป็นคนแรกแล้วเอ่ยตอบสิ่งที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้มีคนผ่านไปมาตั้งมากมาย เมื่อพบคนที่คิดจะสังหารพวกเขา พวกเขาย่อมต้องตอบโต้เป็นธรรมดา สังหารพวกเขาโดยไม่ระวัง ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิทยาลัย
ถึงอย่างไรในตอนแรกพวกตนก็ไม่รู้ตัวตนของพวกเขาอยู่แล้ว
“ใช่แล้ว พวกเราไม่เห็นจะรู้จักพวกเขาเลย” เว่ยจือฉีก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราควรทำอย่างไรกับคนที่คิดจะสังหารพวกเราแม้ไม่รู้จักกันเหล่านี้ดีล่ะ” โอวหยางเฟยถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินทุกคนพูดเช่นนี้จึงแอบหัวเราะในใจ เจ้าเด็กพวกนี้แต่ละคนล้วนหน้าเนื้อใจเสือกันทั้งสิ้น
“ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็มิอาจให้พวกเขามีชีวิตรอดออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ได้เป็นอันขาด” เป่ยกงถังพูด “ถ้าหากไม่มีวิธีอื่น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะปลิดชีวิตพวกเขาด้วยมือข้าเองหรอกนะ”
“เหตุใดจึงต้องให้มือพวกเราสกปรกด้วยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ในเมื่อพวกเขารู้จักใช้สัตว์อสูรวิเศษจัดการพวกเรา พวกเราก็ต้องใช้วิธีเดียวกันตอบแทนพวกเขาสิ”
“โยวเย่ว์ เจ้าคิดอะไรดีๆ ออกหรือ” เมื่อเห็นแววตาชั่วร้ายของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวีก็รู้ว่าเธอต้องมิได้คิดเรื่องดีอยู่แน่นอน
“เรื่องนี้ พอถึงเวลาเจ้าก็รู้เองแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มอย่างมีเลศนัยเท่านั้น
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าเธอมีแผนเรียบร้อย จึงมิได้ถามอะไรอีก
“เรื่องนั้น โยวเย่ว์…” เมื่อคุยเรื่องเหล่านี้เสร็จ เป่ยกงถังก็มองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยติดๆ ขัดๆ
ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าใจความหมายของนางในทันใด ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ผลอสรพิษทองคำผลหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ
เธอยื่นผลอสรพิษทองคำส่งให้พลางเอ่ยว่า “เจ้ารับสิ่งนี้ไปก่อน ผลอสรพิษทองคำมิอาจอยู่ข้างนอกนานเกินไปได้ ระวังจะล่อสัตว์อสูรวิเศษเข้ามาล่ะ”
“เป็นผลอสรพิษทองคำจริงๆ ด้วย!” เจ้าอ้วนชวีมองผลไม้สีทองอร่ามนั้นอย่างตื่นเต้นดีใจ “โยวเย่ว์ เจ้าเอามันมาได้อย่างไรกัน”
“พวกเจ้าอย่าถามเรื่องนี้อีกเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ยัดผลอสรพิษทองคำใส่ในมือเป่ยกงถัง เป่ยกงถังจึงรีบเก็บเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุทันที
“โยวเย่ว์ ขอบใจเจ้ามาก!”
ถึงแม้ซือหม่าโยวเย่ว์จะไม่พูด แต่พวกเขาต่างก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรในตอนนั้นสัตว์อสูรวิเศษและขุมอำนาจมากมายต่างพากันกระหายอยากได้ของสิ่งนี้
ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนอื่นๆ ทั้งสามคนปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าต่างก็มีส่วนร่วมด้วย แต่ถ้าหากมนุษย์กินผลอสรพิษทองคำนี่ลงไปโดยตรง พลังก็จะปะทุออกมามากเกินไปจนร่างกายมนุษย์ทนรับไม่ไหว ข้ารู้จักนักหลอมยาอยู่คนหนึ่ง ให้เขาหลอมมันเป็นยาวิเศษได้ พวกเจ้าอยากได้ผลไม้ตอนนี้เลย หรืออยากได้ยาวิเศษ?”
พวกเจ้าอ้วนชวีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อเจ้าผลไม้นี่ไม่เหมาะต่อการให้มนุษย์กินลงไปโดยตรง ข้าก็ต้องการยาวิเศษมากกว่า”
“ข้าก็ต้องการยาวิเศษเช่นกัน” เว่ยจือฉีพูด
โอวหยางเฟยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าอยากได้ผลไม้”
ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่ได้ถามว่าเพราะอะไร เธอหยิบผลไม้ส่งให้โอวหยางเฟยผลหนึ่ง เขาจึงรับมันมาเก็บเอาไว้
ก่อนหน้านี้บอกเอาไว้ว่าเพียงแค่พวกเขาช่วยเป่ยกงถังโปรยของสิ่งนั้นลงบนร่างของคนตระกูลน่าหลาน เธอก็จะแบ่งส่วนให้กับพวกเขาด้วย ดังนั้นพวกเขาอยากได้อะไรก็ย่อมได้ทั้งสิ้น
ถึงอย่างไรก็เก็บต้นผลอสรพิษทองคำเอาไว้แล้ว สิ่งนั้นจึงจะเป็นสิ่งล้ำค่าอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเธอผู้ซึ่งวิญญาณถูกทำลาย นอกจากนี้เมื่อครู่เจ้าวิญญาณน้อยยังบอกเธอว่ามันแยกพื้นที่ส่วนหนึ่งออกมาต่างหาก แล้วเร่งกาลเวลาของพื้นที่แห่งนั้นเพื่อร่นระยะเวลาในการสุกงอมของผลอสรพิษทองคำ ไม่แน่ว่าผ่านไปไม่นานเธอก็คงจะมีผลอสรพิษทองคำอีกแล้ว
สำหรับยาวิเศษนั้น หมัวซาย่อมช่วยในส่วนนี้ได้ เธอทำเพียงแค่ใส่พลังวิญญาณเข้าไปตอนผนึกยาก็พอแล้ว
เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ใจกว้างเช่นนี้ พวกเขาทั้งสี่คนจึงซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง สหายกลุ่มเดียวกันนี้จึงทวีความกลมเกลียวกันมากยิ่งขึ้น
………………