กู้ฉางฉิงรู้สึกโกรธอยู่ในห้องรับรองอยู่พักใหญ่กว่าจะฝืนระงับโทสะในใจลงได้
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ มุมปากยกขึ้นเยาะเย้ยตัวเอง
ช่วงนี้เธอใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายเกินไปหน่อย จนทําให้ลืมไปว่าผู้ชายคนนี้มีจิตใจโหดเหี้ยมเพียงไร
เขาไม่สนใจว่าเธอเป็นคนขโมยหรือไม่ สิ่งที่เขาสนใจคือแผนการของเขาเท่านั้น นั่นก็คือลูกสาวอีกคนของเขา
เมื่อคิดได้ดังนั้น กู้ฉางฉิงก็บังคับตัวเองให้ไม่ต้องสนใจ
อย่างไรก็ไม่มีใครสนใจเธออยู่แล้ว ฉะนั้นเธอจึงต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน เพื่ออนาคตจะสามารถดูแลคุณแม่ได้
……
ขณะเดียวกัน ที่ภายในงานเลี้ยง
เมื่อเฟิงจิ้งหยวนกับลู่ซือหยี่เห็นกู้หงเซินเดินออกมาจากห้องพักรับรอง ทั้งสองก็มองหน้าและยิ้มให้กัน
จากนั้นพวกเธอก็ก็ถือแก้วไวน์และเดินไปยังตําแหน่งที่ฉินเป่ยหานยืนอยู่
“ทุกคนคะ จะรังเกียจไหมถ้าจะขอยืมตัวคุณชายฉินสักครู่?”
เฟิงจิ้งหยวนก้าวเข้าไปแทรกระหว่างการสนทนาของบรรดาคุณชายทั้งหลาย
เหล่าคุณชายซึ่งรู้จักเฟิงจิ้งหยวนอยู่แล้ว ต่างก็ถ่อมเนื้อถ่อมตัว
“คุณเฟิง คุณลู่ ไม่ทราบว่าต้องการพบผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
คุณชายฉินเดินตามเธอทั้งสองไปที่มุมหนึ่งและขมวดคิ้วขึ้นถาม
เฟิงจิ้งหยวนและลู่ซือหยี่สบตากัน ก่อนที่เฟิงจิ้งหยวนจะเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ดูเหมือนว่าคุณชายฉินจะยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้”
ฉินเป่ยหานได้ยินดังนั้นก็มองทั้งสองคนอย่างงงงวย
เขาไม่ได้มาถึงที่งานเลี้ยงการกุศลตรงเวลา เนื่องจากมีธุระส่วนตัวบางอย่างระหว่างทางจึงทำให้ล่าช้าเล็กน้อย
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“เมื่อกี้มีเหตุการณ์ขโมยเกิดขึ้น ฉางซินถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย ยังดีที่สุดท้ายก็พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เธอได้ แต่ว่า……”
กู้ฉางฉิงรู้สึกโกรธอยู่ในห้องรับรองอยู่พักใหญ่กว่าจะฝืนระงับโทสะในใจลงได้
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ มุมปากยกขึ้นเยาะเย้ยตัวเอง
ช่วงนี้เธอใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายเกินไปหน่อย จนทําให้ลืมไปว่าผู้ชายคนนี้มีจิตใจโหดเหี้ยมเพียงไร
เขาไม่สนใจว่าเธอเป็นคนขโมยหรือไม่ สิ่งที่เขาสนใจคือแผนการของเขาเท่านั้น นั่นก็คือลูกสาวอีกคนของเขา
เมื่อคิดได้ดังนั้น กู้ฉางฉิงก็บังคับตัวเองให้ไม่ต้องสนใจ
อย่างไรก็ไม่มีใครสนใจเธออยู่แล้ว ฉะนั้นเธอจึงต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน เพื่ออนาคตจะสามารถดูแลคุณแม่ได้
……
ขณะเดียวกัน ที่ภายในงานเลี้ยง
เมื่อเฟิงจิ้งหยวนกับลู่ซือหยี่เห็นกู้หงเซินเดินออกมาจากห้องพักรับรอง ทั้งสองก็มองหน้าและยิ้มให้กัน
จากนั้นพวกเธอก็ก็ถือแก้วไวน์และเดินไปยังตําแหน่งที่ฉินเป่ยหานยืนอยู่
“ทุกคนคะ จะรังเกียจไหมถ้าจะขอยืมตัวคุณชายฉินสักครู่?”
เฟิงจิ้งหยวนก้าวเข้าไปแทรกระหว่างการสนทนาของบรรดาคุณชายทั้งหลาย
เหล่าคุณชายซึ่งรู้จักเฟิงจิ้งหยวนอยู่แล้ว ต่างก็ถ่อมเนื้อถ่อมตัว
“คุณเฟิง คุณลู่ ไม่ทราบว่าต้องการพบผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
คุณชายฉินเดินตามเธอทั้งสองไปที่มุมหนึ่งและขมวดคิ้วขึ้นถาม
เฟิงจิ้งหยวนและลู่ซือหยี่สบตากัน ก่อนที่เฟิงจิ้งหยวนจะเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ดูเหมือนว่าคุณชายฉินจะยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้”
ฉินเป่ยหานได้ยินดังนั้นก็มองทั้งสองคนอย่างงงงวย
เขาไม่ได้มาถึงที่งานเลี้ยงการกุศลตรงเวลา เนื่องจากมีธุระส่วนตัวบางอย่างระหว่างทางจึงทำให้ล่าช้าเล็กน้อย
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“เมื่อกี้มีเหตุการณ์ขโมยเกิดขึ้น ฉางซินถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย ยังดีที่สุดท้ายก็พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เธอได้ แต่ว่า……”
“ฉางซิน ผมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้แล้ว ผมมั่นใจว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีก็สามารถเล่าให้ผมฟังได้นะ ผมจะร่วมเสียใจเป็นเพื่อนคุณ ผมไม่อยากเห็นคุณซ่อนตัวและรักษาบาดแผลเพียงลำพัง แบบนั้นผมรู้สึกปวดใจนะ”
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินคำพูดนี้ก็พอเดาออกว่าเขามาเพื่ออะไร
น่าจะเพราะเขาได้รู้เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นและคิดว่าเธอคงจะเสียใจอยู่
แม้ว่าเธอจะเสียใจจริง ๆ แต่เธอก็ไม่ต้องการความเห็นใจจากเขา
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เธอก็มองไปยังผู้ชายเบื้องหน้าที่มีความรู้สึกรักใคร่ลึกซึ้งต่อเธอ จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหัวสับสนไปหมด ทั้งยังรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย
อิจฉากู้ฉางซิน ทั้งที่นิสัยไม่ดี แต่กลับมีคนรักใคร่ห่วงใยเธอมากมาย
เธอไม่เข้าใจเลย ทั้งที่พวกเธอเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ แต่ทําไมโชคชะตาจึงแตกต่างราวฟ้ากับเหว
ขณะที่ความคิดของเธอล่องลอยไป ฉินเป่ยหานที่เห็นว่าเธอเงียบไม่พูดอะไร ก็เข้าใจผิดคิดว่าเขาทําให้เธอรู้สึกไม่ดี
เขาทุกข์ใจจนอยากจะลูบไล้ใบหน้าของกู้ฉางฉิง ไม่อยากให้กู้ฉางฉิงตกใจตื่นจากภวังค์
กู้ฉางฉิงมองดูมือเขาที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ คิ้วขมวดมุ่นแล้วถอยหลังไปอีกหน่อยพูดขึ้นว่า “ขอบคุณคุณชายฉินที่เป็นห่วง แต่ฉันไม่ได้รู้สึกแย่อะไร เพียงแค่เหนื่อยเล็กน้อย จึงเข้ามาพักผ่อนที่นี่” ”
เมื่อฉินเป่ยหานเห็นดังนั้น เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่นและดึงมือกลับ
ขณะที่เขายังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง กู้ฉางฉิงกลับรู้สึกว่าการที่พวกเขาสองคนอยู่ในห้องรับรองนี้ตามลำพังนั้นไม่เหมาะสม
โดยเฉพาะข่าวลือก่อนหน้านี้ของทั้งสองคน ถ้าหากมีคนมาเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันอีก ก็ไม่รู้ว่าจะมีข่าวลืออะไรออกไป
เธอคิดได้ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จําเป็น จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้างนอกยังมีแขกเหรื่ออีกมากที่ฉันต้องไปดูแล คุณชายฉินโปรดทำตัวตามสบาย”
เมื่อพูดจบเธอก็หันหลังเดินไปที่ประตู
เดิมทีเธอตั้งใจจะเปิดประตูแล้วออกไป แต่ประตูตรงหน้าไม่สามารถเปิดได้ไม่ว่าเธอจะผลักอย่างไรก็เปิดไม่ออก ราวกับว่ามันถูกล็อคจากด้านนอก
“เกิดอะไรขึ้น?”
กู้ฉางฉิงรู้สึกโกรธอยู่ในห้องรับรองอยู่พักใหญ่กว่าจะฝืนระงับโทสะในใจลงได้
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ มุมปากยกขึ้นเยาะเย้ยตัวเอง
ช่วงนี้เธอใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายเกินไปหน่อย จนทําให้ลืมไปว่าผู้ชายคนนี้มีจิตใจโหดเหี้ยมเพียงไร
เขาไม่สนใจว่าเธอเป็นคนขโมยหรือไม่ สิ่งที่เขาสนใจคือแผนการของเขาเท่านั้น นั่นก็คือลูกสาวอีกคนของเขา
เมื่อคิดได้ดังนั้น กู้ฉางฉิงก็บังคับตัวเองให้ไม่ต้องสนใจ
อย่างไรก็ไม่มีใครสนใจเธออยู่แล้ว ฉะนั้นเธอจึงต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน เพื่ออนาคตจะสามารถดูแลคุณแม่ได้
……
ขณะเดียวกัน ที่ภายในงานเลี้ยง
เมื่อเฟิงจิ้งหยวนกับลู่ซือหยี่เห็นกู้หงเซินเดินออกมาจากห้องพักรับรอง ทั้งสองก็มองหน้าและยิ้มให้กัน
จากนั้นพวกเธอก็ก็ถือแก้วไวน์และเดินไปยังตําแหน่งที่ฉินเป่ยหานยืนอยู่
“ทุกคนคะ จะรังเกียจไหมถ้าจะขอยืมตัวคุณชายฉินสักครู่?”
เฟิงจิ้งหยวนก้าวเข้าไปแทรกระหว่างการสนทนาของบรรดาคุณชายทั้งหลาย
เหล่าคุณชายซึ่งรู้จักเฟิงจิ้งหยวนอยู่แล้ว ต่างก็ถ่อมเนื้อถ่อมตัว
“คุณเฟิง คุณลู่ ไม่ทราบว่าต้องการพบผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
คุณชายฉินเดินตามเธอทั้งสองไปที่มุมหนึ่งและขมวดคิ้วขึ้นถาม
เฟิงจิ้งหยวนและลู่ซือหยี่สบตากัน ก่อนที่เฟิงจิ้งหยวนจะเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“ดูเหมือนว่าคุณชายฉินจะยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้”
ฉินเป่ยหานได้ยินดังนั้นก็มองทั้งสองคนอย่างงงงวย
เขาไม่ได้มาถึงที่งานเลี้ยงการกุศลตรงเวลา เนื่องจากมีธุระส่วนตัวบางอย่างระหว่างทางจึงทำให้ล่าช้าเล็กน้อย
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“เมื่อกี้มีเหตุการณ์ขโมยเกิดขึ้น ฉางซินถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย ยังดีที่สุดท้ายก็พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เธอได้ แต่ว่า……”