“คุณสิงคะ ดิฉันคิดว่าพวกคุณน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าภายใต้เฟิงซื่อกรุ๊ปยังมีแบรนด์เครื่องประดับและเครื่องสำอางอีกมากมาย และพวกคุณก็คงทราบดีว่าในแต่ละปีนั้น แบรนด์สินค้าเหล่านี้ก็จะมีพวกคุณหนิงโยว คุณถังชิงเหล่านี้มารับเป็นพรีเซ็นเตอร์ พวกเขาทุกคนต่างก็เป็นศิลปินสังกัดภายใต้ของเฟิงซื่อกรุ๊ปกันทั้งนั้น”
เมื่อกู้ฉางฉิงพูดถึงตรงนี้เธอก็จงใจหยุดชั่วคราวเพื่อสังเกตอาการของสิงหย่าอัน
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของสิงหย่าอันดูผ่อนคลายลง ริมฝีปากแดงของเธอก็กระตุกขึ้นเล็กน้อยและพูดต่อว่า “คุณสิงไม่ได้อยู่ที่เฟิงซื่อกรุ๊ปอาจจะไม่ค่อยรู้ลึกเท่าไหร่ ในแต่ละปีเฟิงซื่อกรุ๊ปมีงานโฆษณามากมาย ล้วนเป็นงานประเภทที่ศิลปินดังต่างอยากที่จะแย่งกันรับ แต่โฆษณาเหล่านี้เฟิงซื่อจะจัดให้กับศิลปินใต้สังกัดของตัวเองก่อน หลังจากที่ศิลปินของเฟิงซื่อเลือกงานจนเหลือแล้วนั้นถึงจะหาศิลปินนอกสังกัดมารับงาน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของสิงหย่าอันมีการแสดงออกอย่างชัดเจน
กู้ฉางฉิงไม่ได้หลุดพูดความลับอะไรออกมา แต่กลับกล่าวต่อไปว่า “ถ้าหากว่าคุณสิงได้เข้ามาอยู่ในสังกัดบริษัทบันเทิงของเฟิงซื่อกรุ๊ปแล้วล่ะก็ ถึงเวลางานดีดีเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็ต้องเป็นของคุณ ไม่ว่าจะสนใจหรือไม่สนใจ ดิฉันคิดว่าคุณสิงคงจะพิจารณาอย่างรอบคอบได้แน่นอน”
เมื่อพูดจบแล้วเธอก็ได้วางนามบัตรไว้บนโต๊ะข้างเตียง
“ถ้าหากคุณสิงคิดดีแล้ว คุณสามารถติดต่อดิฉันที่หมายเลขโทรศัพท์นี้ได้นะคะ ถ้าเช่นนั้นดิฉันคงจะไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณแล้วค่ะ”
เมื่อพูดจบเธอก็ได้หันหลังออกไป
สิงหย่าอันก็ไม่ได้รั้งเธอไว้
เธอมองตามหลังกู้ฉางฉิงที่กำลังออกไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองนามบัตรที่อยู่บนหัวเตียง เธอเพ่งมองอย่างครุ่นคิด
หลังจากที่กู้ฉางฉิงออกมาก็เห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนสี นี่เป็นเวลาเย็นมากแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเฟิงจิ่งเหยา
โทรศัพท์ถูกรับอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงเย็นชาของเฟิงจิ่งเหยาดังขึ้น
“มีเรื่องอะไร?”
กู้ฉางฉิงกัดริมฝีปากล่างถามว่า “คุณ……เลิกงานหรือยังคะ?”
“ยัง”
“แล้วคุณทานข้าวหรือยังคะ?”
เธอถามต่ออีกแต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิม
“ยัง”
กู้ฉางฉิงเบะปากและเปล่งเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่งว่า ‘อ่อ’ จากนั้นก็วางสายไป
เฟิงจิ่งเหยามองดูโทรศัพท์ที่เพิ่งถูกตัดสายไป เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขาบ่งบอกถึงความงงงวยและประหลาดใจ
ไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่กู้ฉางฉิงโทรหาเขาในครั้งนี้จริง ๆ
เพียงเพื่อจะโทรมาถามคำถามที่ไร้สาระเหล่านั้นหรือ?
ในขณะที่เขากำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยนั้น เขาไม่รู้เลยว่ากู้ฉางฉิงได้ไปที่ร้านอาหารเพื่อจัดอาหารโปรดของเขา แล้วแสร้งทำเป็นคนส่งอาหารและเข้าไปในบริษัท
โดยแผนกต้อนรับได้พาเธอขึ้นไปยังชั้นบนสุด
“คุณผู้ช่วยชวี่ คนนี้มาส่งอาหารให้ท่านประธานค่ะ”
สาวแผนกต้อนรับแจ้งให้ชวี่ยี่ทราบ
เมื่อชวี่ยี่ได้ยินแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นเพื่อจะตอบว่า “ท่านประธานไม่ได้สั่ง……”
เขายังพูดไม่ทันจบก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป “คุณนาย……”
“อะแฮ่ม สวัสดีค่ะ ฉันมาส่งอาหารค่ะ!”
ก่อนที่เขาจะทันเอ่ยชื่อเธอออกมา กู้ฉางฉิงก็รีบขัดจังหวะไว้เสียก่อนพลางส่งสายตาไปให้เขา
เมื่อชวี่ยี่เข้าใจแล้วก็รีบเก็บอาการตกตะลึงของเขา แล้วรีบสั่งให้สาวแผนกต้อนรับกลับออกไปได้
“ฉันรู้แล้ว ฉันจะพาเธอเข้าไปเอง คุณกลับไปทำงานเถอะ”
เมื่อพูดจบ เขาก็กุลีกุจอมาช่วยกู้ฉางฉิงถือกล่องอาหาร
สาวแผนกต้อนรับมองดูพวกเขาจากไป เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ แต่เธอก็ดูไม่ออกว่าคืออะไร จึงหันหลังกลับและจากไป
ในขณะเดียวกัน ชวี่ยี่ก็นำกู้ฉางฉิงมาจนถึงหน้าประตูห้องทำงาน
“คุณนายรอง ท่านประธานอยู่ด้านใน คุณนายเข้าไปเถอะครับ”
เขาพูด แล้วเคาะประตูและเปิดประตูให้กู้ฉางฉิง
ในห้องทำงาน เมื่อเฟิงจิ่งเหยาได้ยินเสียงเคาะประตูเขาก็นึกว่าเป็นชวี่ยี่ จึงพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นว่า “เอกสารอยู่บนโต๊ะ ด้านขวานั่นจัดการเรียบร้อยแล้ว คุณเอาออกไปได้”
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินดังนั้น ก็ยืนนิ่งอยู่ที่ประตูอย่างนึกสนุก
อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่สำนักงานใหญ่และเป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาในห้องทำงานของเฟิงจิ่งเหยา
เธอมองสำรวจไปรอบ ๆ และพบว่าสไตล์การตกแต่งของห้องทำงานนั้นบ่งบอกถึงตัวตนของเฟิงจิ่งเหยาอย่างแท้จริง
การตกแต่งเรียบ ๆ ด้วยโทนสีดำและสีขาว แม้ดูเรียบง่ายแต่ยังคงความหรูหรา สะท้อนถึงความมีรสนิยมในทุกมุม
ในขณะที่เธอกำลังสำรวจอยู่นั้นเอง เฟิงจิ่งเหยาก็รู้สึกถึงความไม่ปกติ
เขาจึงเงยหน้าขึ้นและเห็นเข้ากับหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางห้องทำงาน ดวงตาของเขาปรากฎประกายความประหลาดใจ
“คุณมาได้อย่างไร?”
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินก็ถอนสายตากลับมา ยิ้มและยกกล่องอาหารในมือขึ้น
“มีบางคนบอกว่ายังไม่ได้ทานข้าวไม่ใช่เหรอ? ฉันรู้ว่าคุณยุ่ง ก็เลยมาส่งอาหารให้ค่ะ”
เมื่อเธอพูดจบ ก็ตรงไปที่โต๊ะกาแฟของห้องทำงาน วางกล่องอาหารลง และจัดแจงอาหารบนโต๊ะ
“รีบมาทานในขณะที่ยังร้อน ๆ เถอะค่ะ เมื่อคุณทานเสร็จแล้ว ฉันมีเรื่องอะไรจะเล่าให้คุณฟังด้วย”
เฟิงจิ่งเหยามองดูเธอแล้วลุกจากโต๊ะทำงานเดินออกมา และถามว่า “เรื่องอะไรล่ะ? พูดตอนนี้เลยสิ”
เมื่อกู้ฉางฉิงเห็นอย่างนั้นก็ไม่ลังเลและเล่าเรื่องที่ไปพบกับสิงหย่าอันเมื่อตอนบ่าย
“ความหมายของฉันคือให้สิงหย่าอันเซ็นสัญญาเข้าสังกัดบริษัทบันเทิงภายใต้เฟิงซื่อกรุ๊ป เมื่อถึงเวลา ทางเราเพียงแค่ต้องเสนอให้ค่าตัวที่เหมาะสมรวมถึงให้งานดีดี จากนั้นค่อยให้สิงหย่าอันช่วยแถลงข่าว ถึงเวลานั้นสังคมจะเข้าใจว่านี่เป็นเพียงแค่การตลาด”
เฟิงจิ่งเหยาหรี่ตาลงและครุ่นคิด จากนั้นก็มองไปที่กู้ฉางฉิงและพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “แล้วอย่างไรอีก? คุณไม่น่าจะคิดเพียงเท่านี้”
กู้ฉางฉิงพยักหน้าตอบ “ก็ใช่ค่ะ ขอเพียงสิงหย่าอันเข้ามาในบริษัทของเราแล้ว วิกฤตด้านชื่อเสียงของเราในครั้งนี้ก็ถือว่าโล่งใจไปได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนเรื่องการเรียกคืนชุด ฉันได้สอบถามเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่เรียกคืนแล้ว ไม่พบว่ามีกรณีของผู้ที่ผิวหนังแพ้รายอื่นอีก เพราะฉะนั้นผลกระทบคงไม่ขยายวงกว้างนัก ตราบเท่าที่เราสามารถจ่ายค่าชดเชยให้อย่างเหมาะสมได้ เรื่องก็น่าจะจบลงได้”
เฟิงจิ่งเหยาพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ เขาถามขึ้นเบา ๆ ว่า “แล้วทางด้านมู่เฉาเกอล่ะ?”
กู้ฉางฉิงถึงกับสำลัก แต่ก็ยังตอบกลับอย่างรวดเร็ว “อันที่จริงคุณมู่ถูกทางเราลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ขอเพียงเราสามารถให้สิงหย่าอันมาเซ็นสัญญาได้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ หลังจากเธอแถลงข่าวแล้ว เหล่าแฟนคลับของเธอก็จะหยุดก่อกวนไปเอง”
หลังจากที่เธอพูดจบรอยยิ้มที่มุมปากก็เริ่มหุบลง รู้สึกหึงอยู่ในใจลึก ๆ
แต่เฟิงจิ่งเหยานั้นไม่ได้สังเกตเห็น หลังจากที่ครุ่นคิดพิจารณาแล้วก็เห็นว่าความคิดของกู้ฉางฉิงนั้นใช้ได้
“ที่พูดมานี้ผมจะให้คนไปวิเคราะห์เพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตามทางฝั่งกู้ซื่อยังคงต้องจ่ายค่าชดเชยตามเดิม จะให้บริษัทมารับความเสียให้อย่างไม่มีเหตุผลไม่ได้”
“ฉันทราบค่ะ”
กู้ฉางฉิงเข้าใจความหมายของเขา รวมถึงเธอเองก็อยากให้กู้หงเซินได้รับบทเรียนบ้างเพื่อที่จะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในภายภาคหน้าอีก
ดังนั้น เธอจึงไม่ได้ห้ามอะไร
เมื่อคุยธุระจบแล้ว เธอก็หยุดหัวข้อสนทนา และเรียกให้เฟิงจิ่งเหยาทานอาหาร
“คุณรีบทานเถอะ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”
เธอพูดพร้อมกับตักข้าวให้เฟิงจิ่งเหยาถ้วยหนึ่ง
เฟิงจิ่งเหยารับมาพร้อมกับถามเธอว่า “คุณทานหรือยัง?”
“เอ่อ……คุณทานเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันค่อยกลับไปทาน”
เฟิงจิ้งเหยามองดูเธอแล้วยื่นชามข้าวในมือกลับไป “ในเมื่อยังไม่ได้ทานก็ทานด้วยด้วยกัน”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็ตักข้าวเองและเริ่มรับประทาน
กู้ฉางฉิงมองดูเขาอย่างล่องลอย ในใจฉันเต้นแรงอย่างไม่อาจมีคำบรรยายได้ แต่ก็กลับถูกเธอรีบสะกดไว้อย่างรวดเร็ว
เธอไม่ลืมที่เมื่อสักครู่เฟิงจิ่งเหยาแสดงความเป็นห่วงมู่เฉาเกอ
บางทีอาจเป็นเพียงความห่วงใยระหว่างเพื่อนเท่านั้น แต่เธอก็กลับใส่ใจมันอย่างไม่มีเหตุผล
ในขณะที่เธอกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น จู่ ๆ ในชามข้าวก็มีกับข้าวเพิ่มขึ้นมา
“คุณนิ่งอยู่ทำไมกัน? หรือแค่มองดูผมก็อิ่มแล้ว?”
เฟิงจิ่งเหยาพูดพร้อมมองเธอด้วยสายตาเย้าแหย่ จนกู้ฉางฉิงรู้สึกอายม้วนต้วน
“ใครมองคุณกัน!”
สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา – ตอนที่ 143 แค่มองผมก็อิ่มแล้ว
Posted by ? Views, Released on October 3, 2021
, สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา
ก่อนแต่งงานแทนน้องสาวเข้าไปในตระกูลเฟิง กู้ฉางชิงได้ยินว่าเฟิงจิ่งเหยาเป็นคนที่เฉยเมย ต่อมาถึงได้รู้ว่าข่าวลือล้วนเป็นเรื่องโกหก คุณเฟิงไม่เพียงแต่ไม่เย็นชา กลับเป็นคนที่อบอุ่น แต่กระตือรือร้นเป็นพิเศษในการมีทายาท มีคนพูดเป่าหูต่อหน้าเขา “คุณเฟิง ก่อนคุณจะกลับประเทศ ในทุกๆคืนภรรยาของคุณจะไม่กลับบ้าน เพราะออกไปเมาข้างนอก” เฟิงจิ่งเหยา “หลังจากฉันกลับประเทศ ตอนค่ำภรรยาของฉันจะมาอยู่ที่ห้องฉัน ปรนนิบัติฉันไม่นอนทั้งคืน” มีคนพูดอีกว่า “ก่อนคุณจะกลับมา ภรรยาของคุณช้อปปิ้งทั้งวัน เปลี่ยนรถยี่ห้อหรูไม่หยุด แถมยังมีหนุ่มคอยอยู่เธอตลอดเวลา” เฟิงจิ่งเหยา พูดต่อว่า “หลังจากฉันกลับประเทศ บัตรเครดิตทุกใบของฉัน ฉันก็อยากให้ภรรยาฉันใช้ แต่เธอไม่ต้องการ ไปกลับจากที่ทำงานก็ให้ฉันไปรับแค่คนเดียว” สำหรับคนที่เย็นชา เมื่อมีภรรยาจะคลั่งรักเป็นพิเศษ