หลังจากที่เฟิงจิ่งเหยาฟังเธอพูดจบ แม้ว่าจะรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อได้ยินจากปากเธอก็รู้สึกเหมือนถูกเสียดสีและไม่ค่อยสบายใจ
เขามองไปที่กู้ฉางฉิงอย่างเย็นชาและมุมปากงุ้มลงอย่างเย้ยหยัน
“เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณรอผม?”
กู้ฉางฉิงอ้าปากอยากจะพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ยืนดึงเสื้อผ้าและเม้มริมฝีปาก
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาเห็นสิ่งนี้ ก็รู้สึกไม่ชอบพฤติกรรมนี้ของเธอ
ราวกับว่าเธอมั่นใจว่าเขาจะเห็นด้วย
เขาหรี่ตาลงและพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ “คุณมั่นใจว่าคราวนี้ผมจะช่วยคุณงั้นสิ?”
กู้ฉางฉิงกัดริมฝีปาก ในขณะที่เธอกำลังจะพูดอะไรขึ้นมานั้น เฟิงจิ่งเหยาก็พูดขึ้นอีกว่า
“ตอนนี้กู้ซื่อก็เหมือนกับหลุมลึก ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเมื่อลงทุนไปแล้วจะได้รับผลตอบแทนกลับมา คุณคิดว่าผมในฐานะนักธุรกิจจะยอมทำเรื่องที่ขาดทุนเช่นนี้หรือ?”
แน่นอนว่าไม่
กู้ฉางฉิงตอบเงียบ ๆ อยู่ในใจ แม้ว่าเธอจะรู้ดี เธอก็ยังต้องทำให้เขาตอบตกลงให้ได้
ไม่เช่นนั้นกู้หงเซินก็จะไม่ปล่อยแม่ของเธอ
“แม้ว่าวิกฤตของกู้ซื่อในตอนนี้จะเลวร้ายมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังถือว่าเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจจำนวนมาก ถ้าหากเฟิงซื่อสามารถช่วยระดมทุนและใช้ธุรกิจเหล่านี้มาเป็นเงื่อนไขให้ทางกู้ซื่อแบ่งธุรกิจออกมา ต่อให้ท้ายที่สุดกู้ซื่อจะไปไม่รอด แต่เฟิงซื่อก็จะไม่มีอะไรที่ต้องสูญเสียและอาจทำกำไรได้ด้วยซ้ำ”
เธอพยายามอย่างเต็มที่ในการวิเคราะห์ข้อดี หวังว่าจะสามารถโน้มน้าวเฟิงจิ่งเหยาได้
แต่เมื่อเธอพูดจบลง ทั้งห้องหนังสือก็เงียบกริบ
เธอมองไปที่เฟิงจิ่งเหยาอย่างกระวนกระวายใจด้วยความคาดหวังอย่างแรงกล้า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอเครียดมากเกินไปหรือเปล่า อาการปวดท้องยังทันไม่ทุเลาดี ก็กลับมากำเริบขึ้นอีกครั้ง ทั้งอาการยังยิ่งแย่ลงไปอีก
เธอกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น หน้าผากเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
เฟิงจิ่งเหยาไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ แต่กำลังครุ่นคิดอย่างละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเพิ่งพูด
ต้องบอกเลยว่าไอเดียนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ
แต่มันก็แค่ไม่เลว ถึงขนาด……
“คุณคำนวณได้ไม่เลวเลย ดูเหมือนทุกฝ่ายต่างได้รับในสิ่งที่ต้องการ แต่ถ้าเมื่อเฟิงซื่อยื่นมือเข้ามาเมื่อไหร่ ก็เท่ากับกำลังบอกคนอื่นว่าเฟิงซื่อเป็นที่พึ่งของกู้ซื่อ”
เขาหยุดพูดเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มและพูดต่อว่า “กู้ซื่อได้แก้ไขวิกฤต แถมยังได้ที่พึ่ง นี่มันยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวเลย ใครสอนคุณกันน่ะ? กู้หงเซินเหรอ?”
ประโยคสุดท้ายนั้นไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำยืนยัน
กู้ฉางฉิงขมวดคิ้วรู้ว่าเขาเข้าใจผิดเธอเสียแล้ว
“ไม่ใช่ค่ะ นี่เป็นความคิดของฉันเอง”
เธออธิบายเสียงอ่อน เฟิงจิ่งเหยาเลิกคิ้วขึ้นแววตาฉายความประหลาดใจ
นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ
กู้ฉางฉิงไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในสายตาของเขา หลังจากที่เธอพูดประโยคนั้นแล้ว เธอก็เรียบเรียงความคิดอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นต่อว่า “เหตุผลที่ฉันพูดแบบนี้ก็เพราะฉันคิดว่าการที่กู้ซื่อมีวันนี้ได้ก็เกิดจากการทำตัวเองทั้งนั้น และแทนที่ส่วนดีนั้นจะให้คนอื่นได้ไป ฉันคิดว่าให้คุณเอาไปยังดีเสียกว่า”
เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ คิ้วของเธอก็ขมวดอีกครั้ง
อาการปวดท้องรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับคอยถูกเฉือนด้วยมีดทื่อ ๆ
เพียงครู่เดียวใบหน้าของเธอก็ซีดเผือกลงและหน้าผากของเธอก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ
เธอเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว เซไปข้างหลังเล็กน้อย แล้วเธอก็ปวดจนตัวโก่ง
“คุณเป็นอะไรไป?”
เฟิงจิ่งเหยาได้ยินเสียงแปลก ๆ จึงเงยหน้าขึ้นดู และพบว่ากู้ฉางฉิงกำลังยืนตัวโงนเงนอยู่
เขารีบลุกขึ้นและเดินไปยืนข้างกู้ฉางฉิง พยุงตัวเธอไว้
กู้ฉางฉิงนิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นคนข้างกาย
จากนั้นเธอก็ยืดตัวขึ้นแสร้งว่าไม่เป็นอะไร
“ไม่เป็นอะไรค่ะ”
เธอสะบัดตัวให้หลุดจากการพยุงของเฟิงจิ่งเหยา กัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “คุณคิดยังไงกับสิ่งที่ฉันพูดไปคะ?”
เธอหวังว่าจะได้รับคำตอบจากเฟิงจิ่งเหยา เพื่อเธอจะสามารถตอบคำถามของกู้หงเซินได้ กลัวว่าคุณแม่จะถูกคนคนนั้นทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาเห็นว่าความคิดของเธอนั้นจดจ่ออยู่แต่เพียงเรื่องของกู้ซื่อ ก็รู้สึกไม่พอใจ
“แม้ว่าผมจะเป็นใหญ่ที่สุดในเฟิงซื่อ แต่การจะโยกย้ายเงินจำนวนมากนั้นจำเป็นต้องประชุมร่วมกับเหล่าคณะกรรมการ เรื่องนี้ผมไม่สามารถให้คำตอบคุณในตอนนี้ได้ แต่ผมจะลองพิจารณาดูก็แล้วกัน”
เมื่อกู้ฉางฉิงมองดูท่าทางที่เขาพูดเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แววความผิดหวังก็สะท้อนขึ้นในดวงตาของเธอ
แต่เธอก็ปรับทัศนคติได้อย่างรวดเร็ว และสูดหายใจเข้าลึก ขบริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ฉันหวังว่าคุณจะพิจารณาได้อย่างดี”
เฟิงจิ่งเหยาพยักหน้ารับ กู้ฉางฉิงเห็นดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องอยู่ต่อ จึงขอตัวไปก่อน
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่รบกวนคุณแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนนะคะ”
เมื่อเธอพูดจบก็หมุนตัวกำลังจะเดินออกไป
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่เริ่มก้าวเท้าไปข้างหน้า ความปั่นป่วนมวลท้องก็ลามไปถึงเส้นประสาท ปวดจนทำให้เธอหายใจไม่ออก
ทันใดนั้นเอง เธอก็ไม่มีแรงแม้แต่จะยืน ราวกับท้องฟ้ากำลังหมุน เธอล้มพับไปข้างหลัง
เฟิงจิ่งเหยาเห็นท่าทางของเธอแต่ก็ไม่ได้รีบเข้าไปช่วย กลับยืนนิ่งมองดู
เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้กำลังแสดงละคร เพื่อบีบบังคับเขาให้คำตอบตอนนี้ให้ได้
“คุณผู้หญิง อย่ามาทำเจ้าเล่ห์ต่อหน้าผม ไม่เช่นนั้นผมจะไม่แม้แต่พิจารณาเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ”
เขาพูดด้วยเสียงเข้ม
แต่กู้ฉางฉิงที่อยู่บนพื้นกลับไม่มีการตอบสนองอะไร
เขามองดูอยู่นานพร้อมกับคิ้วที่ขมวดขึ้น
ในที่สุดเขาก็เดินเข้าไป
“ลุกขึ้น”
เขานั่งลงและลองผลักกู้ฉางฉิงดู
ร่างของกู้ฉางฉิงขยับพลิกกลับมาตามแรงของเขาอย่างไม่รู้สึกตัว ใบหน้าซีดเผือกของเธอตราตรึงเข้าในดวงตาของเขาทันที
สีหน้าของเฟิงจิ่งเหยาเปลี่ยนไป เขารีบตบเบา ๆ เข้าที่แก้มของเธอ
“กู้ฉางซิน ตื่นสิ”
ไม่มีการตอบสนองใด ๆ จากกู้ฉางฉิง ความวิตกกังวลฉายขึ้นในแววตาของเขา เขารีบอุ้มเธอขึ้นมาและเดินไปที่ห้อง ขณะเดียวกันก็ให้พ่อบ้านรีบตามหมอประจำบ้านมา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนกว่ากู้ฉางฉิงจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เธอมองไปรอบ ๆ อย่างมึนงง ยังไม่ค่อยได้สตินัก เสียงเย็นชาที่คุ้นหูของเฟิงจิ่งเหยาก็ดังขึ้นข้างหูของเธอ
“ฟื้นแล้วเหรอ?”
กู้ฉางฉิงกลับมามีสติอีกครั้ง เริ่มเข้าใจว่าตัวเองเพิ่งจะเป็นลมมา ริมฝีปากบางก็เม้มไว้แน่น
“ขอบคุณที่ส่งฉันกลับมาค่ะ”
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาเห็นดังนั้นก็ส่งเสียงออกมาเบา ๆ
“ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองกระเพาะไม่ดีก็ควรจะทานข้าวให้ตรงเวลา”
เขาหรี่ตาและพูดขึ้นว่า “หรือคุณตั้งใจจะใช้ความเจ็บป่วยนี้มาทำให้ผมสงสาร เพื่อจะได้ยอมจัดสรรเงินทุนให้กับกู้ซื่อของพวกคุณ”
เมื่อกู้ฉางฉิงได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเธอก็เข้มขึ้น
อย่างไรก็ตาม เธอก็สามารถเข้าใจเขาได้
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นลม และที่สำคัญฉันก็ไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้น สำหรับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย การตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับคุณ ต่อให้คุณไม่ช่วย ฉันก็จะไม่ว่าอะไร เพราะมันก็ไม่ใช่หน้าที่อะไรของคุณแต่แรกอยู่แล้ว”
เธอพยุงตัวขึ้น มองไปที่เฟิงจิ่งเหยาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฟิงจิ่งเหยาก็จ้องเธอกลับและรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับท่าทีของเธอนัก
แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเผือกราวกระดาษของเธอก็รู้สึกโมโหไม่ลง
เขาขยับตัวขึ้นไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ ยื่นแก้วน้ำและยาในมือให้กับเธอ
“ทานยาก่อนเถอะ”
กู้ฉางฉิงนิ่งไปสักครู่ จากนั้นจึงรับมาอย่างเลลัง
“ทำไม? ไม่ทานข้าว และตอนนี้ก็จะไม่ทานยาด้วย?”
เฟิงจิ่งเหยาเลิกคิ้วพูดขึ้นอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่าเธอไม่ทานยาเสียที “เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าไม่เคยคิดจะใช้ความเจ็บป่วยมาคุกคามผมไม่ใช่หรือไง? แล้วตอนนี้คุณกำลังทำอะไร?”
กู้ฉางฉิงกลับมามีสติ ขมวดคิ้วและเหลือบมองเขา จากนั้นก็ทานยาอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาเห็นเธอยอมทานยาแต่โดยดีแล้ว เขาก็หรี่ตาลง ทันใดนั้นก็ครุ่นคิดถึงบางอย่างและพูดว่า “คุณหมอบอกว่าโรคกระเพาะที่คุณเป็นนั้นค่อนข้างรุนแรง ทำไมถึงเลวร้ายได้ขนาดนี้ เป็นเพราะอะไรกัน?”
สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา – ตอนที่ 161 อย่ามาทำเจ้าเล่ห์ต่อหน้าผม
Posted by ? Views, Released on November 5, 2021
, สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา
ก่อนแต่งงานแทนน้องสาวเข้าไปในตระกูลเฟิง กู้ฉางชิงได้ยินว่าเฟิงจิ่งเหยาเป็นคนที่เฉยเมย ต่อมาถึงได้รู้ว่าข่าวลือล้วนเป็นเรื่องโกหก คุณเฟิงไม่เพียงแต่ไม่เย็นชา กลับเป็นคนที่อบอุ่น แต่กระตือรือร้นเป็นพิเศษในการมีทายาท มีคนพูดเป่าหูต่อหน้าเขา “คุณเฟิง ก่อนคุณจะกลับประเทศ ในทุกๆคืนภรรยาของคุณจะไม่กลับบ้าน เพราะออกไปเมาข้างนอก” เฟิงจิ่งเหยา “หลังจากฉันกลับประเทศ ตอนค่ำภรรยาของฉันจะมาอยู่ที่ห้องฉัน ปรนนิบัติฉันไม่นอนทั้งคืน” มีคนพูดอีกว่า “ก่อนคุณจะกลับมา ภรรยาของคุณช้อปปิ้งทั้งวัน เปลี่ยนรถยี่ห้อหรูไม่หยุด แถมยังมีหนุ่มคอยอยู่เธอตลอดเวลา” เฟิงจิ่งเหยา พูดต่อว่า “หลังจากฉันกลับประเทศ บัตรเครดิตทุกใบของฉัน ฉันก็อยากให้ภรรยาฉันใช้ แต่เธอไม่ต้องการ ไปกลับจากที่ทำงานก็ให้ฉันไปรับแค่คนเดียว” สำหรับคนที่เย็นชา เมื่อมีภรรยาจะคลั่งรักเป็นพิเศษ