กู้ฉางฉิงที่กำลังดื่มน้ำ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ก็ถึงกับชะงักไป
จากนั้นเธอก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง วางแก้วน้ำลงอย่างไม่รีบร้อน ยิ้มและพูดว่า “สมัยก่อนทานอาหารไม่ตรงเวลา แถมยังชอบดื่ม ก็เลยทำให้เป็นแบบนี้น่ะค่ะ”
เฟิงจิ่งเหยานั้นไม่ได้เชื่อในคำตอบที่ครุมเครือของเธอ
ตามข้อมูลที่ชวี่ยี่เคยให้ไว้ รายงานด้านสุขภาพของกู้ฉางซินนั้นไม่พบว่ามีปัญหาใด ๆ นอกจากนี้ บ้านสกุลกู้ยังได้จัดให้เธอเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างเป็นประจำ ในส่วนของการทานอาหารไม่เป็นเวลากับการดื่มเหล้าเป็นเวลานาน ก็ไม่น่าจะทำให้เลวร้ายได้ขนาดนี้
แต่ในตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่ดื่มไม่ได้ กระเพาะของเธอยังแย่สุด ๆ ไปอีก
ชั่วขณะหนึ่ง มีความสงสัยมากมายผุดขึ้นในใจของเฟิงจิ่งเหยา
เขามักรู้สึกว่ากู้ฉางซินมีอะไรปิดบังเขาอยู่เสมอ
แต่กู้ฉางฉิงกลับไม่ได้สังเกตเห็นความสงสัยในตัวเขา
เมื่อเธอทานเสร็จแล้ว ก็มองดูเฟิงจิ่งเหยาอย่างลังเลเล็กน้อย
“คือว่า เฟิงจิ่งเหยาคะ เกี่ยวกับเรื่องที่ได้เสนอคุณไป คุณพิจารณาแล้วเป็นยังไงบ้าง?”
ความคิดของเฟิงจิ่งเหยาถูกดึงกลับมาด้วยคำพูดของเธอ
ทั้งที่ไม่สบายถึงขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่ลืมคิดถึงเรื่องของบ้านสกุลกู้ สีหน้าของเขาก็เข้มขึ้นมา
“เรื่องนี้ผมจัดการเองได้ คุณพักฟื้นอย่างวางใจเถอะ”
แน่นอนว่ากู้ฉางฉิงดูออกว่าเขาไม่ค่อยพอใจ แต่เธอก็อดที่จะรู้สึกโล่งอกไม่ได้
อย่าตัดสินที่ท่าทีภายนอกของเขา เธอรู้ดีว่า หากเขาพูดว่าจะจัดการให้ก็เท่ากับว่าเขาให้สัญญาว่าจะช่วยเธอ
“ขอบคุณนะคะ”
เธอกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง เขาส่งเสียงว่ารับรู้ แล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไป
กู้ฉางฉิงมองตามทิศทางที่เขาจากไป อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น
ผู้ชายนี้แม้ดูภายนอกเหมือนจะไม่มีความรัก แต่เขาเป็นคนที่ใจอ่อนสุด ๆ ไปเลย
เธอคิดไปและผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ไม่นาน เฟิงจิ่งเหยาก็อาบน้ำเสร็จและเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ
เขามองดูคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปหา
หลังจากเข้านอน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกู้ฉางฉิงได้กลิ่นที่คุ้นเคยหรือเปล่า จึงประชิดตัวแนบเข้ามาโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งสองมือยังดึงรั้งชุดนอนของเฟิงจิ่งเหยาเอาไว้
เฟิงจิ่งเหยาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเธอ เขารู้สึกประหม่าและร่างกายไม่เป็นธรรมชาติ
เขามองไปที่คนใกล้เพียงแค่คืบ การใกล้ชิดที่แนบแน่นนี้ทำให้ใจเขารู้สึกอ่อนระทวย
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ผลักเธอออกไป
ค่ำคืนนั้นก็ได้ผ่านไปอย่างสงบ
……
วันรุ่งขึ้น เมื่อกู้ฉางฉิงตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเฟิงจิ่งเหยาอยู่ข้างกายแล้ว
เธอก็ไม่ได้สนใจ ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว
ในเวลาเดียวกัน ณ เฟิงซื่อกรุ๊ป
กู้หงเซินเดินตามชวี่ยี่เข้าห้องท่านประธานด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ท่านประธานครับ คุณกู้มาถึงแล้วครับ”
เมื่อชวี่ยี่รายงานจบก็ถอยออกไปด้วยความเคารพ
เฟิงจิ่งเหยามองดูกู้หงเซิน ริมฝีปากบางยกขึ้นกล่าวทักทาย “นั่งสิครับ”
กู้หงเซินพยักหน้าพร้อมนั่งลงบนโซฟาอย่างวางมาด
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาเห็นสิ่งนี้ ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
“ที่เรียกให้คุณมาในครั้งนี้ คาดว่าคุณเองก็คงรู้ดีว่าเป็นเพราะเรื่องอะไร ผมขอพูดสั้น ๆ ก็แล้วกัน หากคุณต้องการความช่วยเหลือจากเฟิงซื่อก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็มีเงื่อนไขบางอย่าง”
เมื่อกู้หงเซินได้ฟังครึ่งแรกแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสมใจ แต่เมื่อคำพูดของเฟิงจิ่งเหยาจบลง ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น
“นี่คุณหมายความว่าอะไร?”
เฟิงจิ่งเหยารู้ดีว่าเขาจะต้องไม่พอใจแน่ ก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ และพูดว่า “ท่านประธานกู้ ผมแค่กำลังคุยเรื่องธุรกิจ หากว่าคุณคิดเห็นไม่ตรงกัน ประตูทางออกก็อยู่ข้างหลังคุณแล้ว”
เขาเตือนอย่างเงียบ ๆ ทำลายความคิดที่กู้หงเซินต้องการจะใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลมาเป็นข้ออ้าง
ในที่สุดกู้หงเซินก็มีท่าทีประนีประนอม และเริ่มการเจรจาตามสิ่งที่เฟิงจิ่งเหยาวางไว้
และกู้ฉางฉิงก็ไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้
เมื่อเธอกลับมาที่ห้องหลังจากทานอาหารเสร็จ ถึงได้เห็นข่าวล่าสุดเกี่ยวกับกู้ซื่อบนอินเทอร์เน็ต
#กู้ซื่อกรุ๊ปให้คำมั่นสัญญา จะไม่ก่อสร้างรีสอร์ทบนสุสาน
#คำขอโทษที่ล่าช้าของกู้ซื่อ เป็นจริงหรือเท็จ?
#คำขอโทษของกู้ซื่อนั้นเป็นเพราะยอมจำนนต่อภาวะการเงินหรือพ่ายแพ้ให้กับกลยุทธ์
กู้ฉางฉิงอ่านหัวข้อข่าวหลายฉบับ จนในที่สุดก็เลื่อนมาพบจดหมายขอโทษที่ออกโดยทางกู้ซื่อ
เนื้อความในจดหมายประการแรกได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่ดินผืนนั้นเคยเป็นสุสาน ประการที่สองคือการชี้แจงเรื่องที่เคยแถลงข่าวว่าจะมีการก่อสร้างนั้นจะไม่มีการสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศเพื่อขายอีกต่อไป แต่จะมีการนำที่ดินผืนนี้ไปพัฒนาร่วมกับทางรัฐบาลให้เป็นสุสานสาธารณะ และเป้าหมายคือเปิดให้เป็นสุสานสำหรับศพไร้ญาติ
และในตอนท้าย ทางกู้ซื่อยังได้ขอร้องให้เพื่อนร่วมอาชีพคว่ำบาตรนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไร้ยางอายและระวังอย่าได้หลงเชื่อติดกับ
ที่ด้านล่างของจดหมายนี้ยังมีเอกสารที่เกี่ยวกับที่ดินที่ทางกู้ซื่อได้เข้ามากว้านซื้อแนบท้ายไว้ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดของพวกเขาเข้าไปอีก
ถือได้ว่าการดำเนินการเช่นนี้ ทำให้ชาวเน็ตที่โกรธแค้นมากในตอนแรกสงบลงเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะข้อมูลที่โพสต์ขึ้นมาเหล่านี้ ยิ่งทำให้พวกเขาเริ่มมีความลังเล
หรือว่าพวกเขาจะตัดสินผิดไป?
“เอกสารเหล่านี้มีตราประทับมีเวลาชัดเจน กู้ซื่อไม่น่าจะพูดโกหก”
“ฉันก็คิดว่าเช่นนั้น ถ้าเกิดตรวจสอบได้ว่าเป็นของปลอมขึ้นมากู้ซื่อจบเห่แน่”
“ก็ไม่แน่นะ ปัจจุบันเทคโนโลยีการปลอมแปลงมีการพัฒนาให้ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่มีการรับรองจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ก็ยังไม่ควรเชื่อ”
“ถูกต้อง พูดแบบนี้ใคร ๆ ก็พูดได้ อีกอย่างจนถึงตอนนี้ก็มีแต่กู้ซื่อออกมาพูดเองอยู่ฝ่ายเดียว ทางฝั่งรัฐบาลยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ออกมา ดูก็รู้ว่ากู้ซื่อกำลังพยายามหลอกลวงพวกเรา”
“ยืนหยัดต่อต้านธุรกิจสีดำอย่างกู้ซื่อ!”
จากคอมเมนต์แบบนี้ ทำให้ชาวเน็ตที่เดิมทีเริ่มใจเย็นลงเกี่ยวกับกู้ซื่อแล้วกลับรู้สึกว่าถูกหลอก การโจมตีทางออนไลน์จึงยิ่งดุเดือดมากขึ้น
“บ้าเอ้ย ฉันเกือบโดนบริษัทเลวนี้หลอกเข้าให้แล้ว”
“นั่นน่ะสิ ธุรกิจหน้าเลือดก็หน้าเลือดวันยังค่ำ หลอกลวงจากความมีน้ำใจของกู”
“ไม่ได้ โกรธมาก ฉันจะต้องร้องเรียนประธานบริษัทกู้ซื่อ”
……
คอมเมนต์ของคนเหล่านี้ยิ่งดุเดือดมากยิ่งขึ้น แม้แต่กู้หงเซินกับเฟิงจิ่งเหยาที่กำลังเจรจากันอยู่ก็ได้รับรู้ข่าวนี้
สีหน้าของกู้หงเซินก็มืดมนลงทันที
เฟิงจิ่งเหยามองไปที่กู้หงเซินอย่างยิ้ม ๆ
“ประธานกู้ คุณยังจะยืนยันความคิดเดิมไหมครับ?”
เมื่อกู้หงเซินเห็นดังนั้น และเมื่อนึกถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ไม่เป็นธรรม สุดท้ายก็ต้องกัดฟันตอบ
“ได้ ผมตกลง!”
เมื่อเฟิงจิ่งเหยาได้รับคำตอบที่พอใจแล้ว ก็กดสายเรียกให้ชวี่ยี่เข้ามา
เขาสั่งชวี่ยี่ด้วยเสียงเบา มีประกายความประหลาดใจเกิดขึ้นในแววตาของชวี่ยี่
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร น้อมรับคำสั่งและหันกลับออกไปทำตามทันที
ต่อมาไม่นาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทางการก็ได้ออกมายืนยันบนอินเทอร์เน็ตถึงความร่วมมือกับบริษัทกู้ซื่อ
เกิดความนิ่งบนโลกอินเทอร์เน็ตขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
นักเลงคีย์บอร์ดที่คอยดันกระแสก็เริ่มซ่อนตัวลงทีละคน ๆ
เนื่องจากทางการก็ได้ออกมาแถลงแล้ว ถ้าพวกเขายังคงคอมเมนต์เสียหายต่อไป เกรงว่าอาจจะถูกตรวจสอบได้
และเมื่อไม่มีการดันกระแสจากคนเหล่านั้น ความวุ่นวายของกู้ซื่อก็ค่อย ๆ บรรเทาลงไป
แต่ถึงกระนั้น ความเสียหายสำหรับกู้ซื่อก็ยังถือว่าใหญ่มากอยู่ดี
กิจการหลายอย่างของบริษัทต้องตกอยู่ในมือของคนอื่น ราวกับถูกปล้นจากกองไฟ
และสิ่งเหล่านี้กู้ฉางฉิงไม่รู้เรื่องเลย
แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของกู้ซื่อ เธอก็รู้ว่าเรื่องนี้ยังไงก็ต้องเกี่ยวข้องกับเฟิงจิ่งเหยา
เพราะเธอเพิ่งจะคุยกับเฟิงจิ่งเหยาเรื่องบ้านสกุลกู้เมื่อวานนี้เอง และวันนี้มันก็ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว
ยิ่งไปกว่านััน ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งวันก็สามารถช่วยกู้ซื่อพลิกสถานการณ์ และทำให้การดำเนินการก้าวต่อไปเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ คนที่จะทำเรื่องนี้ได้มีเพียงเฟิงจิ่งเหยาเท่านั้น
แน่นอนเธอรู้ดีว่าเฟิงจิ่งเหยาไม่มีวันช่วยเหลือกู้ซื่ออย่างเปล่าประโยชน์ ทั้งสองคงจะบรรลุข้อตกลงอะไรร่วมกันแล้ว
สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา – ตอนที่ 162 ดูเหมือนไม่รัก แต่ว่าอ่อนโยน
Posted by ? Views, Released on November 5, 2021
, สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา
ก่อนแต่งงานแทนน้องสาวเข้าไปในตระกูลเฟิง กู้ฉางชิงได้ยินว่าเฟิงจิ่งเหยาเป็นคนที่เฉยเมย ต่อมาถึงได้รู้ว่าข่าวลือล้วนเป็นเรื่องโกหก คุณเฟิงไม่เพียงแต่ไม่เย็นชา กลับเป็นคนที่อบอุ่น แต่กระตือรือร้นเป็นพิเศษในการมีทายาท มีคนพูดเป่าหูต่อหน้าเขา “คุณเฟิง ก่อนคุณจะกลับประเทศ ในทุกๆคืนภรรยาของคุณจะไม่กลับบ้าน เพราะออกไปเมาข้างนอก” เฟิงจิ่งเหยา “หลังจากฉันกลับประเทศ ตอนค่ำภรรยาของฉันจะมาอยู่ที่ห้องฉัน ปรนนิบัติฉันไม่นอนทั้งคืน” มีคนพูดอีกว่า “ก่อนคุณจะกลับมา ภรรยาของคุณช้อปปิ้งทั้งวัน เปลี่ยนรถยี่ห้อหรูไม่หยุด แถมยังมีหนุ่มคอยอยู่เธอตลอดเวลา” เฟิงจิ่งเหยา พูดต่อว่า “หลังจากฉันกลับประเทศ บัตรเครดิตทุกใบของฉัน ฉันก็อยากให้ภรรยาฉันใช้ แต่เธอไม่ต้องการ ไปกลับจากที่ทำงานก็ให้ฉันไปรับแค่คนเดียว” สำหรับคนที่เย็นชา เมื่อมีภรรยาจะคลั่งรักเป็นพิเศษ