เบาะแสนี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเบาะแสที่แน่นอนและชัดเจน!
อยู่ตรงหัวมุมเพื่อจำกัดขอบเขตทั่วโลกให้แคบลงโดยตรงไปยังชายฝั่งเวลส์ ค้นหาสถานที่นั้นเพื่อค้นหากู้จื่อเฟย
ทันทีที่เย้นโม่หลินรู้ข่าวนี้เขาพุ่งไปที่เวลส์อย่างเร็วที่สุด
เขาไม่ได้ใช้วิธีการหาแบบปูพรมในทันทีแต่เป็นการไปค้นหาอย่างลับๆ
ตามที่เย้นซิวหย่าบอก ตั้งแต่พวกเขาออกจากบ้านตระกูลเย้นและได้รับการช่วยเหลือจากหยูฉู่สองให้หนีออกมาอย่างปลอดภัย แต่เพื่อความปลอดภัย พวกเขาทั้งหมดแยกจากกันหากพวกเขาไม่ถูกจับและถูกฆ่า
เจียงเป้ยนีจึงได้แยกกับพวกของเย้นซิวหย่า
เพื่อความปลอดภัย แทบจะติดต่อกันน้อยมาก ๆ จนตอนนี้ข่าวที่เย้นซิวหย่าโดนจับ เจียงเป้ยนีก็คงจะยังไม่รู้
เย้นโม่หลินจึงอาศัยโอกาสนี้ หาตัวกู้จื่อเฟยเงียบ ๆ และไม่ให้เจียงเป้ยนีได้ทันตั้งตัว
เพียงแต่เวลส์เป็นเมืองทางทะเลที่เจริญรุ่งเรืองด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่และชายฝั่งที่กว้าง
แม้ว่าจะตีวงแคบลงไปถึงชายฝั่ง ขอบเขตของการค้นหานั้นกว้างมาก และเป็นการยากที่จะค้นหาในลักษณะที่ไม่สำคัญ
เย้นโม่หลินจัดคนให้แยกกันแทรกซึม และมองหาอย่างไม่รู้จบ
บ้านและผู้คนในชายทะเลและในพื้นที่ได้รับการตรวจสอบทีละคนและแม้แต่ส่งคนไปเฝ้า
เขาทำทุกอย่างและทุกหนทางที่ทำได้
แต่…
ผ่านไปหลายวันก็ยังไม่ได้อะไร
ป่ายฉีเป็นห่วงแทบแย่ “ที่ที่หาได้ก็หาแล้ว มันยังมีที่ไหนที่เราตกหล่นไปและไม่สังเกตอีกหรือเปล่า?”
ลมทะเลพัดโชยมาเกาะร่างราวกับมีด
เย้นโม่หลินยืนตัวตรง จ้องมองไปที่ทะเลในระยะไกล ลมหายใจของเขาถูกยับยั้งไว้ ราวกับน้ำนิ่งที่นิ่งเงียบ
เขาพูดออกมาทีละคำ “เธออยู่ที่นี่”
ป่ายฉีกุมขมับด้วยความว้าวุ่น “แต่พวกเราก็หาทุกที่ที่ควรหาแล้วนะครับ”
“มักจะมีสถานที่ที่มืดภายใต้แสงไฟหรือไม่ใส่ใจ หาอีก รอบแรกหาไม่เจอ ก็หารอบสอง รอบสาม”
ต่อให้ต้องมุดลงดินเขาจะต้องหากู้จื่อเฟยให้เจอ
ป่ายฉีมองเย้นโม่หลินนิ่ง ๆ และรู้สึกแต่เพียงปวดหัวมากขึ้นกว่าเดิม
เย้นโม่หลินในตอนนี้ยืดติดอยู่ในวังวย
และไม่รู้ว่าเขาไปเอาความมั่นใจอย่างนั้นมาจากไหน เขาไม่คิดถึงอีกความเป็นไปได้ว่าเจียงเป้ยนีอาจจะได้ข่าวแล้วและพากู้จื่อเฟยหนีไปแล้ว?
ไม่ อาจจะเป็นเขาเองที่ไม่กล้าจะคิดถึง
หลังจากค้นหาเป็นเวลาสองเดือนโดยไม่มีเงื่อนงำ พระเจ้ารู้ดีว่าสำหรับเย้นโม่หลินข่าวนี้เป็นเพียงแสงแห่งทางรอดในความมืด
หากมันขาดไป…
ใครกันจะรับผลของมันได้
ป่ายฉีมองเย้นโม่หลินอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งแล้วได้แต่ถอนหายใจและหันหลังเดินออกมา
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องตั้งใจอย่างที่สุดเพื่อค้นหา
หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ
ขอเพียงมีความหวัง จะต้องหากู้จื่อเฟยเจอแน่
ถึงแม้ว่ายายเด็กนั่นจะชอบเล่นโต้วาทีกับเขาเสมอและทำให้เขาไม่สบอารมณ์และรู้สึกขวางหูขวางตา แต่เขาก็ยังหวังว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่ดี
ที่สุดแล้วหลังจากที่เธอปรากฏตัว เย้นโม่หลินถึงได้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นและมีอารมณ์รักโลภโกรธหลงอย่างแท้จริง
ลมทะเลพัดมา มีกลิ่นอายของทะเล
บาดแผลของเย้นโม่หลินยังไม่หายดีทั้งหมด เขาไม่ให้ความร่วมมือจึงรักษาได้ช้ามากและเหลืออาการข้างเคียงเยอะมากมาย
ขาซ้ายของเขามักจะปวดเมื่อยืนเป็นเวลานานและทรมานด้วยความเจ็บปวด
เขากลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ชายหาดและมองไปที่แนวชายฝั่งไม่ขยับเขยื้อน
ความเจ็บปวดบนร่างกาย เหมือนเขาจะชินชาไปแล้ว
ราวกับมีเพียงความเจ็บปวดนี้ เขาจึงได้รู้สึกว่าตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่
กู้จื่อเฟยนอนไม่หลับ
พูดให้ถูกคือเธอไม่ได้นอนหลับจริงๆ มานานมากแล้ว
ทุกวันที่อยู่ที่นี่เหมือนกับใช้ชีวิตอยู่ในนรก
เธอลุกขึ้นจากพื้นเย็นและแข็ง เปิดหน้าต่างที่ทรุดโทรม และลมทะเลก็พัดมาที่ใบหน้าของเธอในทันใด
ฟ้ามืดแล้วและมันก็เย็นนิดๆ
เธอไม่มีแม้แต่ผ้าห่มที่จะมาห่อหุ้มตัวเธอไว้
เจียงเป้ยนีไม่มีเตียงให้เธอและไม่มีหมอน ช่วงเวลานี้ เธอนอนอยู่บนพื้นที่ทั้งหนาวทั้งแข็งและเจ็บปวด
ค่ำคืนที่ชายหาดชื้นและหนาวมาก เธอเป็นหวัดและเป็นไข้หลายครั้ง
ทุกครั้งเธอป่วยหนัก เจียงเป้ยนีจะให้หมอมาดูเธอและรักษาให้หาย
เธอวนไปอยู่อย่างนี้ ป่วยก็ดีขึ้น ป่วยแล้วก็ป่วยอีก ทรมานเธออย่างต่อเนื่อง
สุขภาพของเธอแย่ลงทุกขณะและเธอก็มีแรงจะขัดขืนน้อยลงทุกที
แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ เธอก็ยังต้องมีชีวิตต่อไป
เธอต้องการจะมีชีวิตอยู่เพื่อได้เจอเย้นโม่หลิน เธอยังต้องการกลับไปอยู่เคียงข้างเขา
แต่ใบหน้าของเธอ…
นิ้วของเธอจับใบหน้าของตัวเองแล้วลูบเบา ๆ และเด้งออกทันทีราวกับว่าเธอตกใจ
พื้นผิวกากบาททำให้เธอรู้สึกแย่และน่าขยะแขยง
เธอไม่กล้าคิด หากเย้นโม่หลินเห็นมันแล้ว จะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
จะรักเธอไหม?
หรือว่าจะตกใจกลัว?
“แค่ก ๆ ๆ”
เธอคันคอและกู้จื่อเฟยก็ปิดปากของเธออย่างไม่สบายใจและไอ
ช่วงนี้เธอไอบ่อย ๆ เป็นหวัดซ้ำ ๆ แต่อาการไอก็ยังอยู่ หรือจะบอกว่าเจียงเป้ยนีจงใจไม่ให้เธอหายดี
เธอตากลมต่อไปไม่ได้แล้ว
กู้จื่อเฟยเหลือบมองที่สวนมะพร้าวเขียวชอุ่มริมชายหาดแล้วปิดหน้าต่างเบา ๆ
ไม่นานหลังจากที่หน้าต่างของเธอปิดลง ร่างสูงก็ค่อยๆ เดินออกมาจากดงมะพร้าว
เขาที่อยู่ใต้แสงจันทร์อย่างสมบูรณ์และดูโดดเดี่ยวมาก
เขาคือเย้นโม่หลิน
เขาไม่ได้กลับ แต่เดินไปตามชายฝั่งอย่างไร้จุดหมาย และมาที่นี่โดยไม่รู้ตัว
ชายทะเลที่ห่างไกลและไม่สามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีแม้แต่รอยเท้าบนชายหาด
ทะเลที่นี่ใสมากและสภาพแวดล้อมดีมาก
มีแม้กระทั่งประภาคารเก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนโขดหิน
เพียงแต่มันถูกทิ้งร้างไปเมื่อนานมาแล้ว และไม่มีแม้แต่แสงไฟ
บางทีสิ่งที่แตกต่างจากทะเลก็ปรากฏขึ้นบนชายหาด และสายตาของเย้นโม่หลินก็อยู่บนประภาคารโดยไม่ตั้งใจเป็นเวลานาน ขยับขายาวของเขา และค่อยๆ เดินตรงไปยังประภาคาร
เขาเดินช้ามาก และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ทิ้งรอยเท้าไว้บนชายหาดก่อนจะเดินไปหน้าประภาคาร
มีกองขี้เถ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งและอิฐจำนวนมากหักมุมที่ขาดหายไป
มันค่อนข้างมีอายุเก่าแก่
เขาเดินไปที่ประตูเล็กซึ่งเป็นประตูไม้เก่า และโซ่ก็ขึ้นสนิม
เขายื่นมือไปแตะเบาๆ กุญแจก็ดัง “แก๊ก” แล้วเปิดออก
ของมีอายุเก่าแก่แบบนี้ กุญแจไม่ได้ถูกใช้งานแล้ว
เย้นโม่หลินมองไปที่ประตูไม้ด้วยสายตาหนักหน่วง ปกติเขาไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็น แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างในตัวเขาที่ดึงเขาเข้ามา ดึงให้เขาเดินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
เขาก็ทำอย่างนั้น
“แอ๊ด——”
ประตูถูกผลักออกเบา ๆ ทำให้เกิดเสียงที่แปลกประหลาดกับประตูเก่า
ขณะเดียวกัน ฝุ่นละอองก็กระทบใบหน้าของเขา ให้ความรู้สึกเก่าแก่
เย้นโม่หลินปิดจมูกและขมวดคิ้วเล็กน้อย
สถานที่นี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนอาศัยอยู่หลายสิบปีแล้ว ฝุ่นจับหนาเตอะเป็นภูเขา บนพื้นไม่มีร่องรอยของผู้มาเยือน
ที่นี่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนตัวใครได้
เขาคงบ้าไปแล้ว มาที่นี่ได้ยังไงกันนะ คิดจะหาอะไรกันแน่?
เย้นโม่หลินยิ้มอย่างขมขื่นแล้วหันหลังกลับและคิดจะจากไป แต่ทันทีที่ขยับเท้ากลับหันไปจ้องที่บันไดเขม็ง
ไม่รู้ทำไม เขาอยากจะขึ้นไปดู…