กู้จื่อเฟยมองเย้นโม่หลินด้วยความตะลึง ทุกคนต่างก็มองด้วยความอิจฉา เธอเหลือเพียงถูกทิ้งลงไปเผาในกองไฟแล้ว
ตั้งแต่ที่เย้นโม่หลินยอมรับรัก ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย คำพูดหวานๆ สามารถพูดได้ตลอด ความอ่อนโยนก็กระหน่ำมาอย่างถาโถม
กู้จื่อเฟยไม่สามารถต่อต้านฮอร์โมนรุนแรงที่หลั่งออกมาจากบนตัวเขาได้
เธออ้าปากกว้าง
ภายใต้นัยน์ตาที่ลึกซึ้งของเขา กลืนสาคูช้อนนั้นเข้าไป หวานๆ อุ่นเข้าไปถึงกระเพาะ
“สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก”
เย้นโม่หลินเปลี่ยนช้อนอีกครั้ง ตักเค้กขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ยื่นไปยังข้างปากของกู้จื่อเฟย
ความหอมหวานของเค้ก ดุจดั่งความรักที่หอมหวานฟุ้งกระจายไปทั่ว
กู้จื่อเฟยอ้าปากกว้าง แล้วกินลงไป
เย้นโม่หลินมองดูท่าทางที่เธอจ้องตัวเอง ยิ้มโค้งที่มุมปาก ตักมูสขึ้นมาอีกช้อนหนึ่ง
กู้จื่อเฟยรับไปทั้งหมด
เธอกินมูสไปพลางพูดไปด้วยว่า “นายก็กินสิ อย่าป้อนแต่ฉัน”
“ได้”
เย้นโม่หลินตอบด้วยความดีใจ ช้อนที่ตักมูสป้อนให้กู้จื่อเฟยเมื่อกี้ เขาก็ตักมูสอีกช้อนหนึ่งป้อนลงปากของตัวเอง
กู้จื่อเฟยเห็นช้อนคันนั้นถูกเย้นโม่หลินกัดลงไป ทันใดนั้นแก้มแดงกระหน่ำ แล้วมีความคิดผุดขึ้นมาทันที
อัยโย นี่คือการจูบทางอ้อมนิ
ความสัมพันธ์ของพวกเธอพัฒนาก้าวไกลเร็วมากจริงๆ สนิทสนมถึงขั้นใช้ช้อนส้อมด้วยกันแล้ว
เย้นโม่หลินกินมูสไปคำหนึ่ง มองกู้จื่อเฟยพลางยิ้ม ถามขึ้นว่า
“อยากกินมูสอีกไหม?”
กู้จื่อเฟยพยักหน้าโดยไม่ลังเลใดๆ “อยาก!”
มูสที่ถูกเย้นโม่หลินกินไปเมื่อกี้ ดูแล้วน่ารักน่าอร่อยมากๆ
เย้นโม่หลินใช้ช้อนเดิม ตักแล้วป้อนเธอ
จากนั้นเขาก็กินไปอีกหนึ่งคำ แล้วป้อนเธออีกหนึ่งคำ
คนละคำ ในระหว่างที่ไม่รู้ตัว มูสก้อนนี้ถูกกินจนหมดแล้ว
เห็นว่ามูสหมดแล้ว กู้จื่อเฟยที่รู้สึกหวานใจในตอนแรก จู่ๆ ก็เหมือนมีรูรั่ว
เธอมองดูจานที่กินจนหมดด้วยความตะลึง ทันใดนั้นในกระเพาะก็มีความรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
เธอรีบลุกขึ้น “ฉัน ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”
หลังจากพูดจบ กู้จื่อเฟยก็ไปที่ห้องน้ำด้วยความกระวนกระวาย
เย้นโม่หลินนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองภาพข้างหลังของกู้จื่อเฟยด้วยแววตาที่มืดหมอง กำหมัดแน่นโดยไม่ออกเสียง เหมือนกำลังพยายามเอาชนะอะไรบางอย่าง
ยังไม่ได้อีกหรอ?
พึ่งมาถึงห้องน้ำ กู้จื่อเฟยก็ทนไม่ไหวอวกลงไปยังอ่างล้างมือ
เค้กที่พึ่งกินลงไป ก็ถูกอวกออกมาในสภาพเดิม
อวกไปสักพักจึงจะหยุดลง เธอพิงอยู่บนอ่างล้างมือ มองดูตัวเองที่สีหน้าซีดขาวในกระจก
รู้สึกท้อใจ ถาโถมลงมาด้วยความมืดฟ้ามัวดิน
ยังคิดว่าทานเค้กกับเย้นโม่หลินอย่างหอมหวานลงไป ตอนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกคลื่นไส้ ก็สามารถทานต่อไปได้จริงๆ แล้ว
ปรากฏว่า ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคทางร่างกายและทางจิตใจ
โรคเบื่ออาหารของเธอ ไม่พึ่งการรักษาด้านการแพทย์ ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรอ?
หากให้เย้นโม่หลินรู้เข้าว่า สิ่งที่ทั้งสองป้อนกินกันด้วยความอ่อนหวานเมื่อกี้ ถูกเธออวกออกมาแบบนี้ เขาจะรู้สึกแย่เพียงไหน?
ในใจของกู้จื่อเฟยเหมือนมีภูเขาก้อนโตกดทับไว้ น้ำตาวกวนอยู่ในลูกตาไม่หยุด
เธอไม่ใช่คนอ่อนแอที่ชอบร้องไห้ ทว่าความเข้มแข็งของเธอ ถูกหักทิ้งจนจะหมดแล้ว
“คุณผู้หญิง นี่คุณเป็นอะไรครับ?”
ตรงนี้เป็นอ่างล้างมือส่วนรวมระหว่างห้องน้ำชายและหญิง
ชายอายุราวๆยี่สิบเดินมายังข้างกายของกู้จื่อเฟย ยื่นกระดาษทิชชู่ให้เขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
กู้จื่อเฟยรับมา นำมาเช็ดปาก
“ขอบคุณค่ะ ฉันแค่รู้สึกคลื่นไส้เองค่ะ”
ผู้ชายมองกู้จื่อเฟยด้วยนัยน์ตาที่หม่นหมอง “สีหน้าของคุณดูแย่มากเลยครับ ต้องการความช่วยเหลือไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ อวกออกมาก็ดีแล้วค่ะ”
กู้จื่อเฟยส่ายหัว ยิ้มอย่างมีมารยาท หันหลังแล้วเดินไปทางข้างนอกของห้องน้ำ
ผู้ชายขมวดคิ้ว มองดูภาพข้างหลังของกู้จื่อเฟย หยุดคิดไปครู่ขณะ แล้วพูดขึ้นมา
“คุณผู้หญิงครับ ขออนุญาตครับ คุณเป็นโรคเบื่ออาหารเหรอครับ?”
ก้าวเท้าของกู้จื่อเฟยหยุดลงทันที เธอรีบหันไปมองข้างหน้าข้างหลังของระเบียงด้วยความกระวนกระวาย ไม่มีคนอื่นอยู่
เธอรีบหันหลังมา มองผู้ชายคนนั้นด้วยนัยน์ตาที่เปล่งประกายด้วยแสงสว่าง
ผู้ชายอ่อนโยนมีมารยาท รีบอธิบายตอบ “ขอโทษครับ ผมเป็นคุณหมอที่รักษาโรคเบื่ออาหารโดยเฉพาะครับ มีงานวิจัยในด้านนี้เยอะมาก ดังนั้นเห็นคุณอาเจียน แล้วผอมขนาดนี้ จึงพูดตามหน้าที่ไปสองสามประโยค คุณไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ?”
กู้จื่อเฟยกลับรู้สึกแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคุณหมอด้านโรคเบื่ออาหาร
งั้นเธอก็สามารถถามข้อมูลจากเขาได้สิ……
ความคิดนี้เริ่มผุดขึ้นมา แล้วถูกกู้จื่อเฟยยั้งลงไปอีกครั้ง
เธอพูดด้วยเสียงนุ่มต่ำ “ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ ฉันโอเคค่ะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็จากไป
ครั้งนี้ผู้ชายกลับเดินตามมาด้วยความเร็ว ขวางกู้จื่อเฟยไว้ตรงหน้า
เขาพูดอย่างจริงจังว่า “คุณผู้หญิงครับ หากโรคเบื่ออาหารแย่ลงอย่างรุนแรง สามารถถึงขั้นเอาชีวิตได้เลยนะครับ คุณห้ามปิดบังว่าตัวเองเป็นโรคเด็ดขาด โรคนี้ต้องรักษานะครับ”
กู้จื่อเฟยขมวดคิ้ว
กำลังคิดอยู่ว่าจะปฏิเสธยังไง ผู้ชายกลับดึงมือของเธอ แล้วมอบนามบัตรใบหนึ่งไว้ในมือของเธอ
“นี่คือนามบัตรของผมครับ หากคุณต้องการ สามารถหาผมได้ หากสถานการณ์ของคุณไม่สะดวก ผมก็สามารถให้ความร่วมมือกับคุณโดยรักษาคุณเป็นการส่วนตัว ผมเข้าใจความเจ็บปวดของคนที่เป็นโรคเบื่ออาหารครับ ผมหวังแค่ว่า จะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยทุกคนได้ครับ”
ผู้ชายพูดจบ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก บอกลากับกู้จื่อเฟยอย่างสุภาพแล้วจากไป
อย่างน้อยดูแล้ว ก็ไม่เหมือนคนที่หาลูกค้าเพื่อผลประโยชน์
กู้จื่อเฟยยืนอยู่ตรงทางเดิน มองดูนามบัตรที่อยู่ตรงฝ่ามือด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
เจิ้งเหลียง แพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคเบื่ออาหาร
เขา สามารถช่วยเธอได้เหรอ? แต่ว่าอุปสรรคในใจของเธอ……
นัยน์ตาของกู้จื่อเฟยหม่นหมอง เก็บนามบัตรขึ้นมา เดินกลับไปยังล็อบบี้
เย้นโม่หลินยังนั่งรอเธออยู่ที่เดิม
เห็นเธอกลับมา เขาลุกขึ้น แล้วเดินมากอดเธอไว้
“ทำไมถึงไปนานขนาดนี้?”
แววตาของกู้จื่อเฟยเปล่งประกาย นั่งลงพร้อมกับเขา “คนเรามีสามอย่างที่จำเป็นไม่ใช่หรอ ปวดท้องก็เป็นหนึ่งในนั้นไง”
มองดูกู้จื่อเฟยที่ไหวพริบว่องไวแปลกประหลาด เย้นโม่หลินก็ยิ้มด้วยความจนปัญญา
เขามองดูของหวานที่ไม่ได้กินเลยบนโต๊ะ พูดอ่อนๆ ว่า “ยังกินอยู่ไหม?”
นัยน์ตาของกู้จื่อเฟยเปล่งประกาย
“ฉันไม่อยากกินแล้ว นายล่ะ?”
“ฉันก็ไม่กินแล้ว เริ่มดึกแล้ว กลับกันเถอะ”
กู้จื่อเฟยพยักหน้า ในใจก็โล่งอกไปที
เธอสั่งของมาเต็มโต๊ะ พึ่งกินไปนิดเดียวก็ไม่กินแล้ว โชคดีที่เย้นโม่หลินไม่ได้ตามถามมากมาย
ไม่เช่นนั้น เธอยังไม่รู้เลยว่าต้องเสาะหาเหตุผลอะไรมาพูด
มื้อเย็น กู้จื่อเฟยไม่ได้กินอะไร ใช้เหตุผลว่าอาหารไม่ถูกปากอ้างไป
เย้นโม่หลินมองเธอด้วยแววตาที่ซับซ้อน กลับไม่ได้พูดอะไร
เข้าสู่คืนราตรี
กู้จื่อเฟยนอนอยู่บนเตียง เย้นโม่หลินขยับไปยังข้างกายของเธอ
กอดเธอเข้ามาในอ้อมกอดจากข้างหลังของเธอ
รู้สึกได้ถึงร่างกายที่บางเหมือนกระดาษ เสียงที่นุ่มต่ำของเย้นโม่หลิน เหมือนดั่งเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นในความมืด
“กลัวจริงๆ ว่าหากฉันออกแรงเล็กน้อย ก็จะทำให้เธอแตกหัก”
ท่าทางที่เขากอดเธอ เบามากมาก มือที่พาดอยู่บนเอว ก็ดันแรงตัวเองไว้ ไม่ถึงขั้นทับโดนเธอ
กู้จื่อเฟยลืมตาขึ้น น้ำตาวกวนอยู่ในดวงตาของเธอ
เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความระมัดระวังของเขา ความเจ็บปวดของเขา ความกังวลของเขา
เธออยากให้เขาทำกับเธออย่างผ่อนคลาย ไม่ใช่ระมัดระวังตลอดเวลาแบบนี้ เหมือนดั่งกำลังถือตุ๊กตาแก้วที่แตกได้ง่าย
ทว่าเธอในตอนนี้ อ่อนแอมากๆ
เปราะบางจนรับอะไรไม่ไหวเลย