เย้นหว่านสติไม่อยู่กับตัว และลำบากใจที่จะไปจากห้องนี้
เพิ่งจะเดินออกมาไม่กี่ก้าว เว่ยชีก็รีบตามมาทันที
“คุณนาย”
เว่ยชีวิ่งมาดักหน้าเย้นหว่าน หัวคิ้วย่นหากันแน่น “คุณจะไปจริงๆ เหรอ?”
เย้นหว่านกัดฟันทัน พร้อมทั้งควบคุมความเศร้าโศกและกระวนกระวายที่อัดอั้นเต็มหัวใจได้
เธอตอบกลับอย่างขมขื่น
“ฉันไม่มีวิธีอื่นแล้ว”
การไปจากโห้หลีเฉินในเวลานี้ มันหมดหนทางแล้วจริงๆ
เมื่อครู่เว่ยชีได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว และรู้อย่างชัดเจนว่าแคทเธอรีนรังแกคนมากเกินไป
เขาได้แต่กัดฟันแน่นอย่างโกรธเคือง “รอให้คุณชายฟื้นขึ้นมาก่อน เธอเจอดีแน่!”
เย้นหว่านเม้มริมฝีปากเอาไว้ ทว่ายิ่งถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายหนักกว่าเก่า
โห้หลีเฉินฟื้นแล้ว เกรงว่าก็ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนไปมาก เพราะว่าชีวิตของเขา มันอยู่ในเงื้อมมือของแคทเธอรีนไปแล้ว
แคทเธอรีนใช้ข้ออ้างมาพูดเพื่อให้เธอได้ออกไป ตอนนี้พละกำลังของโห้หลีเฉินมีขีดจำกัด ก็คงไม่ค่อยจะสงสัยอะไรหรอก
ถึงอย่างไรตั้งแต่แรก เขาก็ไม่ค่อยหวังให้เธอต้องมาคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ เพราะกลัวว่าจะพลอยกลัวไปด้วย
“เว่ยชี” เย้นหว่านจ้องมองเว่ยชีอย่างจริงจัง “ระยะนี้ ต้องพลอยลำบากนายแล้ว ช่วยฉันดูแลโห้หลีเฉินให้ดีๆ อย่าได้ไปจากเขาแม้เพียงก้าวเดียว อย่าได้ให้โอกาสแคทเธอรีนได้อยู่กับเขาสองต่อสอง”
เธอเชื่อมั่นโห้หลีเฉินว่าจะไม่สนใจแคทเธอรีน
แต่ว่าโห้หลีเฉินป่วยหนัก ร่างกายอ่อนแอ และไม่สามารถรับประกันได้ว่าแคทเธอรีนจะฉวยจังหวะลงมือทำอะไรตอนโห้หลีเฉินกำลังอยู่ในอันตราย
เธอทนไม่ได้กับการที่ผู้ชายของตนเองจะถูกดูหมิ่นเช่นนี้
เว่ยชีรับปาก “คุณนายวางใจเถอะ ผมจะดูแลคุณชายให้ดี จะไม่มีวันปล่อยให้มีโอกาสนั้นกับแคทเธอรีนเป็นอันขาด”
“อื้อ”
เย้นหว่านพยักหน้า พลางเดินต่อไปทางด้านหน้าด้วยความเศร้าสร้อย
จะคิดถึงขนาดไหน ตอนนี้ก็จำใจไปจากด้วยความเจ็บปวด
เธอเกลียดตนเองที่ทำไมไม่เป็นหมอก็ไม่รู้
ไม่งั้นคงไม่ต้องถูกแคทเธอรีนบีบบังคับให้ตกอยู่ในสภาพนี้หรอก
แววตาของเว่ยชีจ้องมองมาทางเย้นหว่าน พลางลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็อ้าปากเรียก “คุณนาย”
ฝีเท้าของเย้นหว่านหยุดลง แต่ไม่ได้หันมา
“ทำไมเหรอ?” น้ำเสียงของเธอทุ้มต่ำ กระทั่งไม่กล้าหันหน้ากลับมา เพราะกลัวว่าเมื่อหันไปแล้วจะอดใจไม่ไหวจนวิ่งไปหาโห้หลีเฉิน
น้ำเสียงของเว่ยชีเคร่งขรึมมาก “รบกวนอดทนอีกสักสองสามวัน มันต้องดีขึ้นแน่”
คำพูดนี้ ฟังแล้วเหมือนเป็นคำสัญญาว่าต้องการจะทำอะไรสักอย่าง ทว่าก็เหมือนว่าเป็นการปลอบใจด้วยความหวังดี
เย้นหว่านไม่ได้คิดถึงความหมายใดๆ เลย แค่รับความหวังดีของเว่ยชีเอาไว้
เย้นหว่านประคองท้องโต ท่ามกลางการอารักขาของเหล่าบอดี้การ์ด และกลับไปยังบ้านที่เธอกับโห้หลีเฉินพักอาศัยอยู่
ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม แค่ครั้งนี้ ที่เธอกลับมาคนเดียว
จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่การอยู่ที่นี่คนเดียวอีกนาน
เย้นหว่านยืนอยู่ตรงประตูด้วยความอึดอัดใจอยู่นาน หลังจากผ่านไปสักพักแล้ว ถึงได้เดินเข้าไป
“คุณนาย ทำไมคุณเพิ่งจะกลับมาเวลานี้?”
เสี่ยวย่าเดินมาต้อนรับ เพราะว่าแปลกใจมาก
หลายวันมานี้ทุกอย่างก็เป็นความคุ้นเคยแล้ว ทุกวันในเวลากลางคืน คุณชายจะพาคุณนายกลับมาพร้อมกัน
แต่ตอนนี้มันเพิ่งบ่ายเอง
เย้นหว่านสีหน้าหวั่นไหว พลางพูดอย่างไม่เต็มใจ “ร่างกายของฉันไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ ต่อไปเลยจะมาพักรักษาตัวที่บ้าน”
เสี่ยวย่าแปลกใจเล็กน้อย “งั้นคุณชายล่ะ?”
“เขา…” เย้นหว่านก้มหน้าก้มตา เพื่อซ่อนความรู้สึกในแววตาของเธอ “เขายังต้องทำงานและรักษาตัวอยู่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
เสี่ยวย่าย่นคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็อ้าปากพูด ทว่าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เธอมีหน้าที่ในการดูแลเย้นหว่านและย่อมรู้ว่าก่อนหน้านี้ โห้หลีเฉินจะออกไปแต่เช้าตรู่และกลับมืดค่ำ เย้นหว่านวันทั้งวันก็เอาแค่คิดถึงเขาจนมองชะเง้อมากสามีจนกลายเป็นหินไป
ไม่ง่ายเลยในที่สุดเย้นหว่านก็เดินไปหาโห้หลีเฉินจนได้ และเข้าออกไปพร้อมกันเป็นแบบนี้ทุกวัน เธอเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเย้นหว่านที่ยากยิ่ง
ทว่าเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน เย้นหว่านก็กลับมาคนเดียว
เริ่มกลับไปสู้สภาวะเดิม ต้องการให้เธอกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวใช่ไหม?
หญิงตั้งครรภ์ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการถูกกดดัน
จนเสี่ยวย่าเกิดความกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว และยังมีความรู้สึกปวดใจกับเย้นหว่าน
เธอประคองเย้นหว่านอย่างสนิทสนม “คุณนาย หิวไหม? จะกินโจ๊กหรือว่าน้ำผลไม้สักหน่อยไหม?”
“ไม่ต้องหรอก”
เย้นหว่านไม่มีความรู้สึกอยากอาหาร
เธอเดินมุ่งหน้าไปยังห้องของตนเอง
จากนั้นก็ปิดประตูลง เสี่ยวย่าก็อยู่ด้านหน้าห้อง ห้องขนาดใหญ่โต เหลือแค่เธอแค่คนเดียว
เงียบงันราวกับน้ำท่วมที่ไหลมากลืนกินเธอเช่นนั้น
เธอพยายามควบคุมอารมณ์ วินาทีนั้นพลันมีคลื่นถาโถมขึ้นมา เพื่อต้องการจะทำให้เธอจมน้ำตาย เพื่อต้องการเอาชนะเธอ
เย้นหว่านกอดหมอนเอาไว้ พลางมุดศีรษะลงไป ในที่สุดก็อดใจไม่ได้จนร้องไห้ออกมา
ความรู้สึกน้อยใจ ลำบากใจ กังวล เจ็บปวด กระสับกระส่าย ความรู้สึกต่างๆ มันประดังประเดมารวมตัวกัน ราวกับเป็นร่างแหขนาดใหญ่ที่ตาถี่มาก จนให้เธอเจ็บปวดทรมานอย่างขื่นขมจนไม่สามารถสะบัดให้หลุดพ้นได้
เธอเกลียดตัวเอง ที่ไร้ความสามารถเหลือเกิน
นอกจากถวิลหาแล้ว อะไรก็ทำไม่ได้ อะไรก็ช่วยไม่ได้สักอย่าง
เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้โห้หลีเฉินทำให้เธอทั้งหมด เอาใจเธอจนเป็นเจ้าหญิงที่ไม่ต้องคิดกังวลสิ่งใด สูงส่งไร้กังวล
ทว่าพอเขาเกิดเรื่องขึ้น ขนาดเธอจะเป็นคนปกป้องเขายังไม่มีความสามารถเลย
กลับถูกแคทเธอรีนบีบให้ตกอยู่ในสภาพนี้แทน
เย้นหว่านดึงหมอนแน่น ทั้งโมโหทั้งโกรธ
ไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานขนาดไหนแล้ว เย้นหว่านร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น ร้องไห้จนเหนื่อย ร้องจนท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ
เธอเหมือนปลาขาดน้ำไร้ชีวิต นอนอยู่บนโซฟา และถูกความมิดปกคลุมอยู่รอบตัว
เสี่ยวย่าเคาะประตูมาสามครั้งแล้ว
“คุณนาย ถึงเวลากินข้าวเย็นแล้ว อย่างน้อยคุณก็ต้องออกมากินอะไรบ้าง คุณไม่ยอมกิน แต่ลูกต้องกินนะ”
“เมื่อครู่หมอพูดแล้วว่า อาการท้องของคุณยังไม่ทรงตัวดี เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการอุ้มท้อง คุณไม่กินข้าวไม่ได้นะ ไม่งั้น โภชนาการจะไปไม่ถึง จนเด็กๆ ไม่สามารถอยู่ต่อได้”
“คุณนาย ทำเพื่อลูก คุณออกมาทานข้าวสักหน่อยได้ไหม”
น้ำเสียงของเสี่ยวย่าดูระวังมาก จนเกือบจะเป็นการขอร้องอ้อนวอนอยู่แล้ว
หลังจากที่คุณหมอกลับมาแล้ว เธอถึงได้รู้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
แม้ว่าไม่เข้าใจว่าทำไมเย้นหว่านถึงกลับมาคนเดียวในเวลานั้น ทว่าพอรู้ว่าเย้นหว่านได้รับการดูถูก จนร่างกายเปราะบางเต็มทน
ในสมองของเย้นหว่านพร่าเบลอไปหมด จนหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่อยากจะขยับไปไหน
นิ้วของเธอสัมผัสบริเวณหน้าท้องของตนเองอย่างเชื่องช้า พลางกระซิบพูดอย่างแผ่วเบา
“ลูกรัก พวกหนูก็หิวกันแล้วใช่ไหม?”
เธอเจ็บปวดมาก เจ็บปวดจนถึงขึ้นน้ำสักอึกก็ยังไม่ได้แตะเลย
ทว่าเด็กๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย
ในที่สุดเย้นหว่านก็ผุดลุกนั่งอย่างยากลำบาก พลางพูดกับด้านนอกประตู
“เอากับข้าวส่งเข้ามาเถอะ”
เสี่ยวย่าถอนหายใจโล่งอก
และเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว พลันเปิดประตู และดันรถเข็นอาหารเข้ามา
ในห้องไม่ได้เปิดประตู ความมืดมิดทำให้เธอปรับไม่ทัน
ยามเมื่อเธอเปิดไฟนั้น ถึงได้เห็นเย้นหว่านนั่งอยู่บนโซฟา ดวงตาแดงก่ำและบวมฉึ่ง เห็นได้ชัดว่าร้องไห้มา
เสี่ยวย่าปวดใจจนไม่ไหวในชั่วขณะนั้น “คุณนาย คุณร้องไห้เหรอ?”
เย้นหว่านส่ายหน้าไปมา “ไม่เป็นไรหรอก”
เธอไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก เมื่อมองกับข้าวที่วางอยู่ด้านหน้าแล้ว แม้ว่าจะคลื่นไส้มากก็ตาม แต่ก็จำใจยัดใส่ปากตนเองไป
อาหารดีๆ วางเต็มโต๊ะอย่างครบครัน แต่ก็เหมือนไร้รสชาติสิ้นดี
เสี่ยวย่าคอยยืนคีบอาหารให้อยู่ด้านข้าง พลางถอนหายใจและพูดออกมา
“คุณหมอพูดว่าสภาพจิตใจของคุณสำคัญมาก คุณต้องรักษาสภาพจิตใจของคุณเอาไว้ให้ดีถึงจะดีกับเด็กๆ ทางที่ดีที่สุดคือการไม่ร้องไห้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ปากของเย้นหว่านกัดช้อนทันที เบ้าตาเริ่มแดงจนร้อนผ่าวจนควบคุมไม่อยู่อีกครั้ง