เย่ซือซือก็อึ้งมากเช่นกัน เธอรีบไปดึงเสิ่นเคอหานไว้
“คุณพูดอะไรน่ะ? ขาของคุณโห้เสื่อมไปโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่มีทางรักษา ฉันรู้ว่าคุณเจตนาดี แต่ก็อย่าท้าทายอะไรที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงสิ”
“ผมทำได้”
เสิ่นเคอหานท่าทีแน่วแน่ จองหน้าโห้หลีเฉินตรงๆ “ผมรักษาขาของคุณได้ ไม่สนว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่หวังว่าคุณจะให้โอกาสผมได้ลองสักครั้ง
ถ้าเกิดสำเร็จ คุณก็จะเดินได้ ถ้าเกิดล้มเหลว ก็ไม่มีทางแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่คิดว่างั้นเหรอ?”
เขาเข้าใจสภาพจิตใจของผู้ป่วยในสถานการณ์ที่สิ้นหวังดี
ในเมื่อไม่มีทางให้เลือกแล้ว ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบนี้ก็พร้อมลองดูสักตั้ง ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ปฏิเสธความหวัง แม้ว่าความหวังนั้นจะรางเลือนแค่ไหน
แต่เมื่อแพทย์พูดว่าทำได้อย่างมั่นใจน่าเชื่อถือ นั่นก็จะเป็นต้นฝิ่นที่ผู้ป่วยที่สิ้นหวังไม่อาจปฏิเสธได้
โห้หลีเฉินมองเสิ่นเคอหานด้วยสายตาราบเรียบ ไม่ได้มีความลังเลมากนัก
และพยักหน้าด้วยท่าทางขอไปทีสุดๆ “ได้”
ในเมื่อเขาให้ทีมรักษาเข้ามาทำการรักษาแล้ว ก็จะไม่ปฏิเสธให้รักษาขาของเขา
แม้ว่าอีกฝ่ายจะ…
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่แยแสล้ำลึกจนไม่อาจมองทะลุเข้าไปได้
เมื่อออกไปจากห้อง เย่ซือซือก็หาสถานที่ที่ไร้ซึ่งผู้คน แล้วรีบรั้งตัวเสิ่นเคอหานไว้
เธอขมวดคิ้วแน่น “เคอหาน ทำไมจู่ๆ คุณถึงรักษาขาให้คุณโห้ล่ะ?”
“ผมอธิบายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เสิ่นเคอหานตอบเสียงราบเรียบ
“เจ้าบ้านหยูบอกไว้ก่อนตั้งนานแล้ว ว่าใครก็ห้ามไปรักษาขาของโห้หลีเฉิน ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะเป็นคนมีน้ำใจจนไม่สนแม้แต่ความเสี่ยงในชีวิตตัวเอง เคอหาน คุณอย่าปิดบังฉัน คุณอยากทำอะไรกันแน่”
“คุณกังวลอะไรอยู่?”
เสิ่นเคอหานจ้องเย่ซือซือไม่ละสายตา สายตาซับซ้อนยังเจือความคลางแคลงที่บอกไม่ถูก “คุณห่วงว่าผมจะถูกหยูฉู่สองทำร้าย หรือเป็นกังวลว่าผมจะใช้โอกาสนี้ทำร้ายโห้หลีเฉินล่ะ?”
ในประโยคสุดท้าย เกือบจะเป็นน้ำเสียงสอบสวนแล้ว
เย่ซือซือมองเขาอย่างตกตะลึง “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? คุณสงสัยว่าฉันมีความรู้แบบอื่นกับโห้หลีเฉินเหรอ?”
แววตาของเสิ่นเคอหานมืดครึ้มราวค่ำคืนอันเงียบสงัด
เขาเอ่ยทีละคำ เสียงเบามาก ราวกับว่าเค้นออกมาจากลำคอ
“ซือซือ คุณมีหรือเปล่า?”
“เสิ่นเคอหาน ฉันอยู่กับคุณมาห้าปีแล้ว ฉันเป็นคนยังไง คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ความรู้สึกที่ฉันมีให้คุณ คุณยังต้องตั้งความสงสัยอีกเหรอ?”
เย่ซือซือถามกลับอย่างร้อนใจ ในพริบตาหยาดน้ำตาก็กลิ้งอยู่ในกรอบตา
สีหน้าของเสิ่นเคอหานกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยนิด ท่าทางดูท้ออย่างชัดเจน
“ผมไม่รู้เลย…ซือซือ ผู้ชายอย่างโห้หลีเฉิน มีแรงดึงดูดเกินไปแล้ว แต่ผม แค่ชี้แจงเรื่องข่าวคาวนั่นกับครอบครัวยังทำไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่คำสัญญาที่ว่าจะแต่งงานกับคุณยังทำไม่ได้”
เมื่อเปรียบเทียบแล้ว เขาก็ขาดความมั่นใจยิ่งกว่าเดิม
เขาเองก็สายตาที่เย่ซือซือมองโห้หลีเฉินเห็นอย่างชัดเจน ความหวั่นไหวที่ไม่รู้ตัวในชั่วพริบตานั้น เก็บซ่อนไว้ไม่อยู่
แม้ว่าตอนนี้เธอจะยังไม่มีความรู้สึก แต่หากเป็นแบบนี้ต่อไป นั่นก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว
เย่ซือซือมองเสิ่นเคอหานอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่ง หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงเอ่ยคำออกมาอย่างยากลำบาก
“เคอหาน ฉันไม่เคยเห็นคุณท้อใจขนาดนี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”
เธอพยายามลูบใบหน้าของเขา ทว่าเสิ่นเคอหานกลับเบี่ยงหลบทันที
แววตาของเขาไหวระริก ทว่าเสียงกลับแน่วแน่ไร้ความลังเล
“ซือซือ คุณเชื่อเถอะ ที่ผมทำทั้งหมด ก็เพื่อคุณ เพื่ออนาคตของพวกเราทั้งนั้น”
เอ่ยจบ เสิ่นเคอหานก็เดินก้าวใหญ่จากไป
แผ่นหลังยาวเหยียดตรงนั้น กลับแผ่ความหนาวเหน็บโดดเดี่ยวออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
เย่ซือซือมองเขา จิตใจสับสนวุ่นวาย ราวกับมีหินก้อนใหญ่กดทับ
เธอพึมพำ “เคอหาน คุณอยากทำอะไรกันแน่…”
ห้องหน้าสือของหยูฉู่สอง
ประตูห้องถูกใครบางคนผลักออก ฝู้ยวนเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน ไม่มีริ้วรอย ทำให้ริ้วรอยบนใบหน้านั้นเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเส้น
เขาเอ่ยอย่างเร่งรีบ “คุณเจ้าบ้าน ฉันได้ยินมาว่าเสิ่นเคอหานจะรักษาขาให้โห้หลีเฉิน? เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? เสิ่นเคอหานไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
หยูฉู่สองนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน พยักหน้า
สีหน้าของฝู้ยวนย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม “วัยรุ่นที่เป็นคิดว่าตัวเองเก่งเกินไปควบคุมยากที่สุดแล้ว! จะปล่อยให้เขารักษาขาของโห้หลีเฉินจนหายไม่ได้ ต้องห้ามเขาเดี๋ยวนี้
ถ้าเขายังกล้าดื้ออีก ก็กำจัดทิ้งซะ!”
หยูฉู่สองใบหน้าราบเรียบ เอ่ยเสียงใจเย็น
“ฉันตรวจสอบเสิ่นเคอหานโดยละเอียดตั้งแต่แรกแล้ว เขาไอคิวสูงมาก ไม่ใช่คนประเภทที่คิดทิ้งชีวิตตัวเองเพราะความใจดีหรอก”
ฝู้ยวนงุนงง “หรือว่าเขาจะย้ายข้างไปหาโห้หลีเฉินแล้ว?”
“ตรงกันข้าม”
หยูฉู่สองหัวเราะอย่างเริงร่า “เขากับโห้หลีเฉิน กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันโดยสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้เขาอย่างฆ่าโห้หลีเฉินมากกว่าพวกเราเสียอีก”
ฝู้ยวนงุนงงยิ่งกว่าเดิม
หยูฉู่สองบอกให้เขาไม่ต้องรีบร้อน แล้วมองออกไปนอกประตูห้องเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
ไม่กี่วินาที พ่อบ้านก็เข้ามา
เขาผงกศีรษะให้ฝู้ยวน เดินตรงเข้ามาตรงหน้าหยูฉู่สอง เอ่ยรายงาน
“ท่านเจ้าบ้าน ข้อมูลที่ตรวจสอบออกมาแล้วครับ”
หยูฉู่สองมีภาพอยู่ในใจอยู่แล้ว เขาไม่เศร้าไม่กังวล “ว่ามา”
พ่อบ้านเป็นผู้ติดตามที่ใกล้ชิดหยูฉู่สองที่สุด และรู้ว่าตอนนี้ฝู้ยวนกำลังมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับหยูฉู่สอง เรื่องเหล่านี้ก็ไม่เคยปิดบังเขาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
พ่อบ้านก็ไม่ได้กังวลที่ต้องพูด และเริ่มเอ่ย
“เสิ่นเคอหานไม่ได้ตั้งใจจะรักษาโห้หลีเฉินจริงๆ ครับ เขามีพรสวรรค์เรื่องยาสูงมาก เขาจะใช้ประโยชน์จากปฏิกิริยาเคมีที่คลุมเครือมาผสมยา และดูเพียงภายนอกจะมองไม่เห็นปัญหาอะไรเลย แต่เมื่อทานลงไปแล้ว สะสมไปเป็นวันเป็นเดือน ขาทั้งสองของโห้หลีเฉินจะเสื่อมไปโดยสมบูรณ์ และยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้กระดูกสันหลังอัมพาต”
แพทย์เป็นคนวางยา ยากที่จะป้องกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะหยูฉู่สองเดาได้ตั้งแต่แรก ไปตรวจสอบอย่างสุดความสามารถ ก็ไม่มีทางรู้ว่าเสิ่นเคอหานจะลอบทำสิ่งเหล่านี้
แม้เขาจะไม่เข้าใจเรื่องยา ทว่าเขานั้นรู้ใจของคนดี
เมื่อผู้ชายหึงหวงขึ้นมา บางครั้ง ก็มักจะน่ากลัวกว่าผู้หญิงเสียอีก
ฝู้ยวนเข้าใจในทันที หัวเราะลั่นเสียงดังอย่างสบายอารมณ์
“ทำได้ดี ทำได้ดี ถ้าโห้หลีเฉินเป็นอัมพาต พวกเราก็จะควบคุมง่ายขึ้นกว่าเดิม”
ไม่ต้องกลัวว่าโห้หลีเฉินจะทำเรื่องวุ่นวายอะไรอีกแล้ว
…
ด้วยเพราะจะรักษาขาให้โห้หลีเฉิน ภารกิจประจำวันในการรักษาจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกจากเวลาหมอคนอื่นรักษาแล้ว เย่ซือซือสามารถนอนได้ครู่หนึ่ง ในเวลาอื่น เธอนั้นยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้นเลย
จริงๆ แล้ว เดิมทีเธอไม่จำเป็นต้องยุ่งขนาดนี้
แต่โห้หลีเฉินเป็นคนบ้า แล้วยังชอบทรมานให้เธอเป็นบ้าไปด้วย
การรักษาทั้งหมด รวมทั้งนวดขา ทายา เจาะเลือด ล้วนไม่ให้เสิ่นเคอหานเป็นคนทำเลย จะต้องให้เธอทำเองกับมือทุกขั้นตอน
เธอเป็นคนทำทั้งหมด
เย่ซือซือแทบจะนับขนบนขาของโห้หลีเฉินได้ครบแล้ว
“เย่ซือซือ ออกแรงหน่อย”
โห้หลีเฉินนอนอย่างผ่อนคลาย ปากก็เอ่ยจับผิด
เย่ซือซือนวดจนมือไม้อ่อนไปหมดแล้ว ได้ยินเขาพูดแบบนี้ เธอก็ล้าไปทั้งร่าง
ขาที่ไร้ความรู้สึกทั้งสองข้าง ก็เอาแต่ให้เธอนวด แล้วยังให้นวดออกแรงอีก มันใช่เหรอ?
เธอรู้กว่าหลายวันมานี้ มือเธอหยาบกระด้างแล้ว
“คุณโห้คะ จริงๆ แล้ว ฝีมือการนวดของเคอหานดีกว่าและมืออาชีพกว่าฉันอีก ให้เขามานวดไม่ดีกว่าหรือ?”
เธอแทบจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ราวกับมือจะขาดแล้วอย่างไรอย่างนั้น