ในบ่ายวันนั้น เย่ซือซือก็จัดการขั้นตอนทุกอย่างจนเสร็จสิ้น เหงื่อกาฬไหลชโลมกาย
โห้หลีเฉินหยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้กับเธอ
ท่าทางเล็กน้อยนี้ กลับทำให้เย่ซือซือราวกับถูกฟ้าผ่า
เธอมองไปที่โห้หลีเฉินด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะรีบก้าวถอยหลัง
“คุณ คุณทำอะไรคะ? ฉันเช็ดเองได้ค่ะ”
เธอพูดพลางใช้แขนเสื้อรีบเช็ดเหงื่อของตัวเองอย่างลวกๆ ราวกับเรื่องที่โห้หลีเฉินทำไปเมื่อตะกี้ มันทำให้ตกใจกลัว
แต่มันก็น่ากลัวจริงๆ แหละนะ
คุณโห้ที่ถือตัว เย่อหยิ่งและเย็นชา จะมาเช็ดเหงื่อให้หมอได้อย่างไร?
นี่คือ… …
คนทั่วไปไม่กล้าที่จะคิด ส่วนเย่ซือซือเธอไม่ใช่คนทั่วไป เธอกำลังมีข่าวฉาวกับโห้หลีเฉิน
แต่โห้หลีเฉินไม่หงุดหงิด มองมายังเธอเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม อารมณ์ในดวงตาคู่นั้น มักจะทำให้คนรู้สึกถึงความอันตรายและเจตนาที่ไม่ดี
อารมณ์ที่หนักหน่วงอยู่แล้วของ เย่ซือซือเริ่มประหม่ามากขึ้น
ได้เวลาให้เขาทานยาแล้ว
เธอถือชามยาในมือด้วยท่าทางแข็งทื่อ อารมณ์ภายในใจมันโหมกระหน่ำราวกับกำลังต่อสู้ในสงครามของเทพเจ้า
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องให้ยากับคนป่วยทั้งๆ ที่เธอรู้ว่ายามันมีปัญหา
สิ่งนี้ขัดกับมโนธรรมและจริยธรรมทางการแพทย์ของเธออย่างสิ้นเชิง
“เย่ซือซือ ทำไมนิ่งไปละ?”
โห้หลีเฉินอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นเธอ
เย่ซือซือฟื้นคืนสติมาได้อย่างกระวนกระวายใจ
“ไม่ ไม่มีอะไรค่ะ”
มือที่ถือชามยาสั่นเทา ท่าทางที่ยื่นให้โห้หลีเฉินอย่างแข็งทื่อ
เสียงของเธอ เบาเหมือนเสียงยุง “ทาน… …เถอะค่ะ”
โห้หลีเฉินมองมาที่เธอด้วยความสงสัย ก่อนจะพูดอย่างเหน็บแนม
“เสิ่นเคอหานไม่อยู่ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยหรือไง?”
คำเหล่านี้ฟังดูอันตรายและเป็นการเตือนโดยนัย
เย่ซือซือส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่ค่ะ”
โห้หลีเฉินยกริมฝีปากของเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะยกยาขึ้นมา และเตรียมกลืนมันลงไป
เมื่อเห็นท่าทางของเขาแล้ว เย่ซือซือ ก็ยิ่งเพิ่มความลุกลี้ลุกลน ในใจราวกับมีเข็มนับพันทิ่มแทง
เธอคว้าแขนของโห้หลีเฉินโดยสัญชาตญาณก่อนที่เขาจะกลืนลงไป
โห้หลีเฉินประหลาดใจ “เธอทำอะไร?”
“ฉัน… …”
สีหน้าของเย่ซือซือลุกลี้ลุกลนมาก ในใจก็พลันว้าวุ่นไปหมด
เธอไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไร
นัยน์ตาของเธอวาบวาบอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะพูดคำไม่กี่คำออกมาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“คุณ ทานช้าๆหน่อยค่ะ ระวังจะสำลัก”
โห้หลีเฉินมองเธออย่างคิดใคร่ครวญ “วันนี้เธอไม่ปกตินะ”
เย่ซือซือใจฝ่อยิ่งกว่าเดิม กลัวว่าโห้หลีเฉินจะจับได้
เธอลุกขึ้น และอยู่ให้ห่างจากเขาอย่างลนลาน แต่กลับถูกเขารั้งข้อมือเอาไว้
“ในเมื่อกลัวฉันจะสำลักละก็ เธอก็ป้อนฉันด้วยตัวเองเลยสิ”
โห้หลีเฉินพูดพลางนำยาเม็ดวางไว้บนมือของเย่ซือซือ
เย่ซือซือถือยานั่นในมือราวกับถือของร้อนก็ไม่ปาน ทั่วทั้งร่างดีดขึ้นถึงขีดสุด พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
เธอรีบคืนยาให้เขากลับไปด้วยความร้อนรน “คุณทานเองเถอะค่ะ”
โห้หลีเฉินกลับไม่รับ
“ป้อนฉันเสียสิ ไม่อย่างนั้นฉันจะโยนมันทิ้งไป”
เย่ซือซือยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เย็นวูบจากศีรษะลากยาวไปถึงข้อเท้า ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงทันตา
ในใจยังคงมีความลนลาน
โห้หลีเฉินฉลาดเป็นกรด หรือว่าท่าทางของเธอ จะทำให้เขาสงสัยแล้ว
ดังนั้นเขาเลยให้เธอป้อน เพื่อทดสอบเธอ
แต่สิ่งนี้ทดสอบอะไรเธอ ทดสอบความดีและจริยธรรมทางการแพทย์ของเธอหรือ?
ไอ้สองอย่างนี้ เหมือนเข็มที่ทิ่มแทงเย่ซือซืออยู่ตลอดเวลา
เธอกำยาไว้ในมือแน่น เพื่อทำให้เธอใจเย็นลง เธอส่งยาเม็ดไปทางปากของโห้หลีเฉินด้วยท่าทางแข็งทื่อ
“อ้าปากสิคะ”
เธอป้อนยาให้โห้หลีเฉินด้วยตัวเอง
โห้หลีเฉินให้ความร่วมมือ ก่อนจะดื่มน้ำตามลงไป
เย่ซือซือมองดูลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลง ด้วยหัวใจที่ดำดิ่งลงไปในความมืดมิด
ในที่สุด เธอก็ทำมันลงเสียได้
ผู้ช่วยแอบมองดูทุกอย่างนี้อย่างเงียบๆ
หลังจากการรักษา เย่ซือซือราวกับเพิ่งไปออกรบมา เธอเปียกเหงื่อไปทั่วตัว กลับไปยังห้องของตัวเองด้วยความกระสับกระส่าย
ยังเหลือเวลาอีกสองสามชั่วโมงก่อนไปเฝ้ายามค่ำคืน และเธอมีเวลาพักผ่อนเพียงไม่นาน
เมื่อเข้าไปในห้อง ข้อมือของเย่ซือซือก็ถูกเสิ่นเคอหานคว้าหมับ
เสิ่นเคอหานรีบถามเธอด้วยความร้อนรนใจทันที “ซือซือ ทำสำเร็จไหม? ให้โห้หลีเฉินทานยาหรือยัง?”
เย่ซือซือมองไปทางเสิ่นเคอหาน ความรู้สึกผิดในหัวใจก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีก
น้ำตาของเธอไหลพราก “ฉันทำเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิตลงไป คุณพอใจหรือยังคะ?”
เธอสะบัดมือเขาออก ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างเหนื่อยล้า
เธอไม่เคยคิดจะทำเรื่องแบบนี้ แต่ดันถูกลากเข้าไปในขุมนรกโดยไม่รู้ตัว
เธอรู้สึก เหน็ดเหนื่อยมาก
ทันใดหัวใจที่บีบรัดของเสิ่นเคอหาน ก็คลายลงทันที
เขารีบวิ่งไปข้างหน้า ก่อนจะกอดเย่ซือซือจากทางด้านหลัง
เขาพูดอย่างซาบซึ้งใจ “ซือซือ ผมรู้แล้ว ว่าคุณรักผม คุณไม่อาจทนเห็นผมเป็นอะไรไปได้”
เย่ซือซือยืนนิ่งค้าง พลางขมวดคิ้ว
เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่สะบัดตัวเพื่อออกจากอ้อมแขนของเสิ่นเคอหาน
เสิ่นเคอหานไม่ปล่อยเธอ แต่ดึงเธอเข้ามา ให้เผชิญหน้ากับเขา
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนนุ่มนวล
“ซือซือ ผมรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่คุณทำเรื่องอย่างนี้ ในใจคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นทุกข์ใจ แต่ที่พวกเราทำแบบนี้ ก็เป็นเพราะการบีบบังคับจากโห้หลีเฉิน พวกเราเพียงแค่ป้องกันตัวเองแค่นั้น คุณไม่ต้องแบกรับมันทางจิตใจมากเกินไป คุณมีผมอยู่ข้างๆ เสมอนะ เพียงแค่เรายังอยู่ด้วยกัน ผ่านความเศร้าโศกไปด้วยกัน จะไม่มีสิ่งใดบนโลกจะสามารถแยกเราออกจากกันได้”
เย่ซือซือมองไปทางเสิ่นเคอหานด้วยสายตาที่ซับซ้อน เธอพูดทุกคำทุกประโยคออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งราวกับเค้นมันออกมาจากลำคอ
“สิ่งที่เสียไปจากการที่เราได้อยู่ด้วยกัน มันสร้างมาจากความเจ็บปวดของคนอื่นหรือเปล่า? ฉันสงบใจไม่ได้หรอกนะคะ”
เธอไม่รู้ว่าเสิ่นเคอหานที่อบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์คนนั้น เปลี่ยนไปเป็นคนใจดำที่กระทำเรื่องชั่วช้าขนาดนี้ ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ดวงตาของเขาไร้แววรู้สึกผิดเลยสักนิด มีเพียงความหนาวเย็นและความเกลียดชังชัดอย่างท่วมท้น
เย่ซือซือตกใจอย่างคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน บางทีเธออาจไม่เคยเข้าใจเสิ่นเคอหานมาก่อนเลยก็ได้
มือทั้งสองของเสิ่นเคอหานจับไหล่ของเธอไว้แน่น ก่อนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และท่าทางมั่นคงราวกับจะสะกดจิตกัน
“ซือซือ เพื่อความรักแล้ว ผมได้ทุกอย่าง ในชีวิตนี้ผมไม่ปรารถนาต่อสิ่งใด เท่ากับได้อยู่กับคุณไปตลอดชีวิต”
คำพูดที่หวานหู
แต่เย่ซือซือไม่รู้สึกถึงความหวานเลยสักนิด หัวใจเธอราวกับถูกกดทับด้วยแอ่งน้ำรสขมฝาด กระเพื่อมไปมา และหยดลงเป็นครั้งคราว
“ฉันเหนื่อยแล้วค่ะ อยากพักผ่อน”
เย่ซือซือผลักมือเขาออก อยากจะจากไป
แต่เสิ่นเคอหานกลับรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะรีบเข้าไปกอดเย่ซือซืออีกครั้ง
“ซือซือ คิดถึงความรักที่คุณมีให้ผมสิ เราเป็นคนที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ผมคิดถึงคุณ ต้องการคุณ”
เขากดริมฝีปากลงบนผมของเธอ และเริ่มปฏิบัติอย่างไม่สุภาพ
การทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งว่าง่าย และหันเหความสนใจของเธอ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการทำเรื่องแบบนี้
เธอจะเชื่อฟังเขาบนเตียง
นี่เป็นวิธีจัดการของเขาเมื่อก่อน
หลังจากเพียงแค่ถูกหยูฉู่สองหาเจอเข้า บนคอของเขาก็มีชิปฝังเอาไว้ พูดหรือทำอะไรก็มีคนคอยสอดส่อง พวกเขาจึงเข้าใจกันโดยไม่ทำสิ่งนี้ไปโดยปริยาย
อย่างไรก็คงไม่มีอยากให้ความรักของตัวเอง ถูกใครก็ไม่รู้ได้ยินหรอก
แต่ตอนนี้ เสิ่นเคอหานแทบไม่สนใจแล้ว