เขารู้สึกได้ว่าเรื่องนี้สลักลงเป็นเงาในใจของเย่ซือซือมากเท่าใด มากพอที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาได้
เขาจับเย่ซือซือไว้แน่น
เขาจูบเธอ มันเริ่มจะไปกันใหญ่
ร่างกายของเย่ซือซือแข็งค้าง เธอใช้พละกำลัง ผลักเขาออกไป
“นี่คุณจะทำอะไรคะ? อย่ามาแตะต้องฉันนะ”
สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าปฏิเสธอย่างชัดเจน เป็นความทนไม่ไหวและสะอิดสะเอียนจากหัวใจ
เสิ่นเคอหานถูกผลักให้ถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะล้มลงไปบนโซฟา
เขามองไปทางเย่ซือซืออย่างประหลาดใจ “ซือซือ… …”
“ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะทำเรื่องอย่างว่าหรอกนะ”
หลังจากที่เย่ซือซือพูดอย่างหงุดหงิด เธอก็เดินตรงเข้าห้องน้ำไป
สีหน้าของเธอแย่มาก ไม่ได้แกล้งทำเลยด้วยซ้ำ
เธอโกรธ และต่อต้านสัมผัสของเขา
เสิ่นเคอหานนั่งนิ่ง มองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ราวกับพละกำลังทั่วร่างถูกดึงทึ้งออกไป รู้สึกอ่อนแอและท้อแท้
เรื่องของความรัก สัญชาตญาณบางอย่างไม่เคยผิดพลาด
เขาไม่รู้ว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ ขาเริ่มตระหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเย่ซือซือกำลังห่างไกลจากเขามากขึ้นไปทุกที
… …
ในเวลากลางคืน
สงบเงียบ
เย่ซือซืออยู่ในห้องของโห้หลีเฉินเพื่อเฝ้าดูแลเขาในเวลากลางคืนตามปกติเช่นเคย
โห้หลีเฉินกินยาเป็นจำนวนมาก ที่จริงแม้เวลาตื่นจะไม่เยอะมาก เมื่อตกกลางคืน ก็ยิ่งผล็อยหลับไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่หลับไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ตื่นขึ้นมาอย่างง่ายดาย
ในตอนนี้ ร่างกายของโห้หลีเฉินขยับ และลืมตาขึ้นมา
เย่ซือซือคุ้นเคยกับสถานการณ์อย่างนี้มานานแล้ว โดยปกติแล้ว ไม่ว่าเธอจะนอนหรือทำอะไร ก็จะเรียกเธออย่างนั้นอย่างนี้
เธอไม่ยินดีอย่างมากมาโดยตลอด
แต่วันนี้ เธอรีบยันกายลุกขึ้นมา เมื่อมาถึงเตียง ก็รีบรินน้ำอุ่นให้เขา
“คุณโห้ ดื่มน้ำให้ชุ่มคอก่อนค่ะ”
โห้หลีเฉินเพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองไปที่ผู้หญิงที่ถือแก้วน้ำด้วยความประหลาดใจ
เขาขมวดคิ้ว “ทำไมถึงกระตือรือร้นขนาดนี้ ทำผิดอะไรมาหรือเปล่า?”
ดวงตาที่รู้สึกละอายของเย่ซือซือส่องประกาย
เธอรู้สึกผิดต่อเขาจริงๆ
เธอฝืนยิ้ม “จะทำด้วยตัวเองหรือถูกสั่ง ก็ต้องถูกคุณเรียกใช้อยู่ดีนี่คะ? ฉันแค่กระตือรือร้นหน่อยเดียว มันไม่ต่างกัน”
เห็นได้ชัดว่าโห้หลีเฉินไม่เชื่อ “วางยาพิษในน้ำดื่มหรือเปล่า? หรือยานอนหลับ?”
เย่ซือซือ : “… …”
ขนาดทำดีด้วยแล้ว คนคนนี้คิดมากว่าจนเกินไปว่า จะมีคนมาทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา
“แต่ฉันคือหมอที่รักษาคุณนะคะ ถ้าฉันอยากทำร้ายคุณเมื่อไหร่ละก็ ฉันก็ทำได้ทั้งนั้น ไม่ต้องรอเวลากลางคืน ใช้น้ำเปล่าเพื่อประจบสอพลอคุณหรอกค่ะ”
“งั้นเหรอ?”
โห้หลีเฉินโค้งมุมปากขึ้นคิดใคร่ครวญ ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้า ขยับใบหน้าหล่อเหลาเข้าไปใกล้เธอเล็กน้อย
“พูดอย่างนี้ นี่เธอเป็นผู้มีพระคุณของฉันงั้นหรือ?”
คำนี้ไม่ว่าจะฟังอย่างไร ก็รู้สึกมีอะไรบางอย่าง จนต้องต่อต้าน
เย่ซือซือตอบอย่างระมัดระวัง “ไม่ถึงขั้นผู้มีพระคุณหรอกค่ะ ก็แค่คนที่มารักษาอาการป่วยของคุณเท่านั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำนี่คะ”
“อืม รักษาขาของฉัน ก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณแล้ว”
โห้หลีเฉินมองตรงมาที่เธอ “อยากให้ฉันตอบแทนเธออย่างไรดี?”
ตอบแทน?
เย่ซือซือตกตะลึง เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้ยินคำสองคำนี้ออกมาจากปากของคนใจโฉดอย่างโห้หลีเฉิน
นี่เขาก็มีจิตสำนึกด้วยหรือ?
เย่ซือซือสงสัยอย่างจริงจัง “นี่เป็นสิ่งที่ฉันควรทำค่ะ และฉันก็ได้รับค่าตอบแทนแล้วด้วย”
“สิ่งของอย่างเงินทอง มันธรรมดาเกินกว่าจะตอบแทนน้ำใจของเธอได้”
ทันใดนั้นเองที่โห้หลีเฉินเอื้อมมือไปจับแก้วน้ำ พอดีกันกับที่จับมือของเย่ซือซือที่กำลังถือแก้วไว้อยู่
แววตาของเขาลุ่มลึก ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขานึกไม่ถึงเลยว่าจะแสดงอารมณ์ซาบซึ้งใจได้ด้วย
“ฉันแค่รู้สึก ว่าควรจะอุทิศชีวิตให้”
เย่ซือซือชะงักงัน ร่างกายแข็งทื่อตั้งแต่หัวจนจรดปลายเท้า
เธอหันไปมองโห้หลีเฉินอย่างประหลาดใจ ตอนนี้หัวใจเต้นเร็วราวกับไม่ใช่หัวใจของตัวเธอเอง
แต่ดูเหมือนว่าใบหน้าของเขาจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นในดวงตาของเธอ
ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ใกล้เสียจนทำให้หัวใจสับสน
หัวใจของเย่ซือซือ เกือบจะถูกบุกรุกในระหว่างนั้นในพริบตาเดียว
เมื่อโห้หลีเฉินยิ่งขยับเข้ามาใกล้ เธอพลันตกใจก้าวถอยหลังด้วยความตระหนกด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เธอพูดอย่างหงุดหงิด
“ที่นี่ไม่มีคนนอก คุณจะแสดงละครอะไร?”
โห้หลีเฉินราวกับหมดอารมณ์ เขาไม่ได้จูบ แต่กลับเอนกายลงบนเตียงอย่างสบายอารมณ์ ก่อนพูดเสียงเบาๆ
“ใครว่าฉันแสดงละครกัน? บางที ฉันอาจจะรู้สึกสนใจเธอขึ้นมาจริงๆก็ได้”
“รู้สึกสนใจก็เลยกลั่นแกล้งฉันต่างๆ นานาหรือคะ? แม้กระทั่งให้ฉันหลับนอนดีๆ ยังเป็นเรื่องที่หรูเกินไปเลย”
เย่ซือซือรีบสงบสติอารมณ์ของตัวอย่างรวดเร็ว และต่อว่าโห้หลีเฉินสำหรับความผิดของเขา “คุณโห้ คุณไม่ใช่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้วนะคะ มาหลอกล่อให้ฉันติดกับด้วยวิธีนี้ ฉันไม่หลงกลง่ายๆ หรอกค่ะ”
โห้หลีเฉินแย้มริมฝีปากขึ้นอย่างมีความสุข มันสดใสราวกับโลกทั้งใบเต็มไปด้วยดอกไม้งาม เมื่อเห็นเธอกล่อมตัวเองอย่างมั่นใจ
สว่างสดใสจนแสบตา
อย่างน่าใจหาย
เย่ซือซือมองไปทางเขาด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ไม่มีจังหวะ
ปีศาจ คำนี้คงนิยามถึงเขาได้
งดงามจนอยากกลืนกิน มีเสน่ห์เหลือคณา
เมื่อเขายิ้ม มันช่าง ดูดีจริงๆนะ… …
ไม่กี่วันต่อมา
เย่ซือซือตามหลังหมอคนอื่น เป็นคนสุดท้ายที่มาถึง ตามปกติของเธอดั่งเช่นทุกวัน
เมื่อมาถึง มีหมอสิบคนรวมทั้งผู้ช่วยซีเหวินของเธอด้วย ยืนล้อมอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ง่วนอยู่กับการกระทำสิ่งต่างๆ
เธอสงสัย ปกติเวลานี้ยังไม่เริ่มตรวจสอบข้อมูลเลย ทำไมพวกเขาถึงลงมือล่วงหน้ากันละ?
“หมอเย่ ในที่สุดคุณก็มา”
ซีเหวินเป็นคนแรกที่เห็นเย่ซือซือ ก่อนที่เขาจะรีบตรงดิ่งมายังเธอ “คุณรีบมาดูเถอะครับ วันนี้คุณโห้เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ จู่ๆก็ลุกขึ้นนั่งไม่ได้ เหมือนเอวของเขาสูญเสียเรี่ยวแรงประคองตัวเองครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ขาของเย่ซือซือก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที ใบหน้าของเธอพลันซีดขาว
การสูญเสียแรงที่เอวเป็นสัญญาณของอัมพาต
มันเริ่มเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?
“หมอเย่ เป็นอะไรไปครับ?”
ซีเหวินตะโกนเรียกอีกครั้ง
เย่ซือซือได้สติ ก่อนส่ายศีรษะด้วยความตระหนก “ไม่มีอะไรค่ะ ฉันจะไปดูเขา”
เธอเดินเข้าไปหาโห้หลีเฉินที่นอนราบอยู่บนเตียงด้วยอาการแข้งขาหนักอึ้ง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซีดขาว
ถ้าเป็นปกติละก็ เขาจะนอนชันกายครึ่งหนึ่ง
ตอนนี้ เขากลับนอนแผ่อยู่แบบนี้
“มาแล้วหรือครับหมอเย่? คุณรีบมาดูสิ เกิดอะไรขึ้นกับคุณโห้ จู่ๆเอวของเขาก็ไม่มีแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น พวกเราไม่รู้สาเหตุเลยครับ แต่ดูท่าจะเป็นลางของอัมพาต คุณตรวจหน่อยสิครับว่าเขาเป็นอะไรกันแน่”
กงหยานพูดอย่างกระตือรือร้น
หมอคนอื่นก็มองมาทางเย่ซือซือด้วยความตึงเครียด
วิชาเฉพาะทางของพวกเขาไม่เหมือนกัน ในด้านนี้ คงต้องให้เย่ซือซือเป็นคนตัดสินชี้ขาด
แต่แม้เย่ซือซือจะไม่ตรวจ เธอก็รู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว
เธอมองไปที่โห้หลีเฉินด้วยแววตาเป็นประกาย ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงไร้ความรู้สึก และเย็นชา มีเพียงแค่ใบหน้าซีดขาวของเขา ที่ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความทุกข์และกังวลใจ
เธอไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของเขา ก่อนจะก้มศีรษะลงและเริ่มตรวจร่างกายของเขา
ทุกคนมองไปยังเย่ซือซือเพื่อรอคำตอบจากเธอ
แต่การตรวจของเธอ ก็ยังทำให้ใจของเธอหนาวเหน็บเช่นกัน