ดวงตาของเย่ซือซือคลอไปด้วยน้ำตา เธอสูดหายใจเข้าลึก ไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมมัน
น้ำเสียงของเธอแหบต่ำ “ที่ฉันทำทุกอย่าง ก็เพื่อสิ่งคนที่ฉันรัก ฉันไม่มีทางเลือก คุณกลับไปเถอะ ไปบอกให้ผู้นำตระกูลหยูไม่ต้องกังวล ฉันจะพยายามจนถึงที่สุด”
“หวังว่าเธอจะทำได้อย่างที่พูด อย่าให้ใครอื่นเห็นท่าทางร้องไห้ของเธออีก”
แคทเธอรีนหัวเราะเยาะ “จำคำพูดที่ฉันบอกเธอไว้ให้ดี อย่าเข้าใกล้โห้หลีเฉิน ไม่อย่างนั้น เธอตายแต่”
หลังจากพูดคุกคามอย่างโหดร้ายจบ แคทเธอรีนก็หันหลังเดินจากไป
เย่ซือซือยืนอยู่ที่เดิม เกาะอ่างล้างหน้าแน่น บังคับให้ตัวเองทรงตัวยืน
จิตวิญญาณของเธอ มันยุ่งเหยิงไปหมด
แต่ละเรื่องที่ถาโถม มันทำให้เส้นประสาทของเย่ซือซือตึงเครียดแทบบ้า
เธอมักจะจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เธอยื่นมือไปหยิบน้ำ ถือขวดยาไว้ก่อนกำลังนำเข้าปาก
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว ก่อนจะจับข้อมือเธออย่างรวดเร็ว
“เธอจะทำอะไร?”
เย่ซือซือขัดขืนโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อก้มศีรษะลงและเห็นสิ่งที่อยู่ในมือแล้ว เธอก็พลันนิ่งค้างอย่างเก้อเขิน
โห้หลีเฉินมองเธอด้วยสายตาหนักหน่วง ก่อนถาม:
“เธอเป็นอะไร?”
เย่ซือซือส่ายหน้า แสร้งทำเป็นสงบ “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
“ไม่เป็นอะไร แล้วจะดื่มยาทำไม?” โห้หลีเฉินถามอย่างบีบบังคับให้ตอบ “เย่ซือซือสองสามวันมานี้เธอจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย กำลังคิดอะไรอยู่?”
ดวงตาของเย่ซือซือวาววับ เธอรู้สึกใจหวาดผวา
เธอไม่กล้าสบตาโห้หลีเฉิน เธออ้าปาก แต่กลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
เธอทำเรื่องเลวร้ายลงไปกับเขา และเธอไม่รู้ว่าจะโกหกอย่างไร
สายตาที่เฉียบแหลมของโห้หลีเฉิน ราวกับมองทะลุเธอ
“ทะเลาะกับแฟนหรือ?”
เย่ซือซือก้มหน้า เธอคิดว่านี่เป็นข้ออ้างที่ใช้ตามน้ำไปได้ดี และก็ไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมด เธอจึงพยักหน้า
“ก็ใช่ค่ะ”
หลังจากโห้หลีเฉินได้ยิน กลับยิ้มอย่างยินดี
เขาดึงข้อมือเย่ซือซือ มาให้อยู่ต่อหน้า
จู่ๆ ร่างกายของเย่ซือซือก็พุ่งถลาลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ และส่วนใหญ่ของร่างกายก็พิงอยู่ที่หน้าอกของโห้หลีเฉิน
เธอถูกบังคับให้มองหน้าตาที่หล่อเหลาของเขาด้วยระยะห่างที่ใกล้มาก
เย่ซือซือตกใจทันที
แต่โห้หลีเฉินกลับจับข้อมือของเธอแน่น ไม่ปล่อยให้เธอไป ดวงตาที่จ้องมองมาที่เธอมันช่างลึกซึ้งเกินคณา
เสียงที่แหบพร่าของเขา มันช่างมีเสน่ห์ดึงดูดเหลือเกิน
“วิธีที่เร็วที่สุดในการยุติความสัมพันธ์คือการเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ เธออยากลองไหม?”
ลอง?
เรื่องแบบนี้จะลองยังไง?
บางทีความอบอุ่นในร่างกายของเขาอาจจะน่าดึงดูดเกินไป หรือบางทีใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็คงจะอาจดูดีมาก เลยทำให้ปฏิกิริยาแรกของเย่ซือซือไม่ได้ต่อต้านเขาสักนิด
ดวงตาเป็นประกายของเธอมองไปยังเขาอย่างอัศจรรย์ใจ
ดวงตาของโห้หลีเฉินลึกล้ำเหมือนวังวน ราวกับต้องการดูดเธอเข้าไป
เขาพูดทีละคำว่า “คบซ้อนไหม?”
เย่ซือซือรู้สึกว่าสมองของเธอจะระเบิด
มองไปที่โห้หลีเฉินอย่างงตกตะลึง เธอไม่กล้าคิดลึกกับคำพูดของเขา
เธอต้องการหลบซ่อน แต่เขากลับไม่ให้โอกาส
เขาพูดต่ออีกว่า “เราสามารถปลอบซึ่งกันและกันได้ ได้จังหวะพอดี”
ความหมายของเขาคือ อยากให้เธอนอกใจ หรือให้เธอนอกใจไปกับเขา?
แย่แล้ว
ร่างกายของเย่ซือซือราวกับถูกค้อนอันมหึมาทุบลงมา ก่อนที่สมองจะแตกกระจาย
แต่ไหนแต่ไรมา เธอไม่กล้าเชื่อว่าโห้หลีเฉินจะรู้สึกพิเศษกับเธอ จนกลายมาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง และยิ่งไม่กล้าคิดไปใหญ่ ว่าวันหนึ่งเขาจะกล้าขอเธอเช่นนี้
มันไม่อยู่กับร่องกับรอย หยาบคาย แต่ก็เย้ายวน ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร
เธอตะลึงเมื่อค้นพบว่า แม้ว่าเธอจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อความชั่วร้ายของเขา แต่เธอก็ไม่สามารถต้านทานเสน่ห์ของโห้หลีเฉินได้เลย
เธอพูดอย่างตกใจว่า “คุณโห้ อย่างนี้มันไม่ดี… …”
“ลองดู ถึงจะรู้”
มือของโห้หลีเฉินกดลงมาที่ท้ายทอยของเธอ ก่อนที่ปากบางของเขาจะแนบลงมา
สัมผัสที่นุ่มนวล สั่นสะเทือนจิตวิญญาณในชั่วพริบตา
สายตาของโห้หลีเฉินพลันลึกซึ้งอย่างหาที่เปรียบมิได้ ความคิดที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเขาก็ท่วมท้นขึ้นมาทันที
เขาคิดถึงอ้อมกอดนี้ คิดถึงจูบนี้ จิตวิญญาณที่คิดถึงกำลังเจ็บปวดอยู่ทุกค่ำคืน
มือทั้งสองข้างของโห้หลีเฉินกอดรัดเธอแน่นด้วยอารมณ์ฉับพลันและรุนแรง จูบนั่นก็ยิ่งลึกซึ้งวาบหวาม
จูบที่กะทันหันเช่นนี้ ทำให้เย่ซือซือตกใจ
แต่อ้อมกอด และอุณหภูมิจากริมฝีปากของชายหนุ่ม กลับเหมือนดอกป๊อปปี้ที่ทำให้ผู้คนคลั่งไคล้
สองมือของเธอ กอดเขาแน่นแทบควบคุมไม่ได้
จมลึกอยู่ในนั้น
จูบที่ราวกับสายลมและสายฝนที่อ่อนโยนและแนบแน่น
ไม่เหมือนสองคนที่เพิ่งลองคบกัน แต่เป็นคู่รักที่เข้าใจกันมาหลายปีแล้วกลับมาพบกันใหม่
เย่ซือซือตัวอ่อนราวกับสายน้ำอยู่ในอ้อมกอดของโห้หลีเฉิน ปล่อยให้เขาจูบตามใจ เธอถอนตัวออกมาไม่ได้ น้ำตาจากหางตาของเธอค่อยๆ ไหลลงมา
ใครจะรู้ว่าเธอได้อดกลั้นและทนลำบากเพียงใดในช่วงเวลานี้
เธอคิดถึงเขามาก คิดถึงมากๆ
… …
การจูบอย่างกะทันหันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความสัมพันธ์ระหว่างโห้หลีเฉินและเย่ซือซือ
ในขณะเดียวกัน หยูฉู่สองก็มาหาด้วยความประหลาดใจ
แม้กระทั่งเย่ซือซือก็ไม่คาดคิด ว่าหยูฉู่สองจะมาหาเธอด้วยตัวเอง
เย่ซือซือยืนตรงแด่วอยู่ตรงทางเดิน เห็นได้ชัดว่าประหม่ามากในพื้นที่แคบเล็กนี้
หยูฉู่สองได้แต่ยืนอยู่แบบนั้น สายตาที่เฉียบคมเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม สง่าผ่าเผยดุจราชาผู้สูงส่ง มองดูมดที่อยู่ใต้เท้าของตัวเอง
ไม่นาน เขาก็พูดออกมาว่า
“เธอชอบโห้หลีเฉิน?”
แม้ว่าจะเป็นคำถาม แต่ในน้ำเสียง มีความหมายที่แน่นอนไม่มากก็น้อย
ดวงตาของ เย่ซือซือสว่างวาบด้วยจิตใจที่สับสน แต่เธอก็ปฏิเสธออกไปอย่างไม่ทันได้คิดอะไรมาก
“มันเป็นแค่ความรู้สึกดีๆ ที่ปฏิเสธไม่ได้ อย่างไรหน้าตาเขาก็หล่อมาก แต่ชอบ และยังพูดไม่ได้ ฉันไม่สามารถชอบคนพิการที่ไร้ความสามารถ”
หยูฉู่สองสงสัย “คุณยอมรับคำสารภาพของเขา”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หยูฉู่สองได้ยินทุกอย่างที่โห้หลีเฉินพูดกับเธอ แม้กระทั่งการจูบของพวกเขาด้วย
24ชั่วโมงที่เฝ้าสังเกต ไม่ตกหล่นสักวินาทีเดียว
เย่ซือซือยอมรับข้อสมมติดังกล่าวนานแล้ว แต่กลับไม่หงุดหงิด ซ้ำยังสงบนิ่ง จนกระทั่งพูดหัวเราะเยาะตัวเอง
“นับว่าเป็นการสารภาพหรือคะ? นั่นก็แค่คนน่าสงสารและสิ้นหวังที่ต้องการคำปลอบโยนคนหนึ่ง มันพอดีกับที่โห้หลีเฉินเห็นฉันให้ความสนใจนิดหน่อย ดังนั้นในสภาวะที่ซบเซานี้ จึงให้ฉันอยู่เป็นเพื่อน คุณก็น่าจะได้ยินแล้วนี่คะ ที่เขาพูดว่าปลอบโยนกันและกัน”
หยูฉู่สองพูด “โห้หลีเฉินไม่ใช่คนเหลวไหล ในเมื่อเขาจูบเธอ ก็คือมีใจให้เธอ”
“มีใจแล้วอย่างไรคะ? นั่นก็เพราะว่าภรรยาของเขาเย้นหว่านไม่อยู่แค่นั้น ถ้าหากเย้นหว่านมาแล้ว กลัวว่าจะถูกทำให้เป็นจุดด่างพร้อยที่จะโดนกำจัด”
เย่ซือซือมองเห็นได้อย่างชัดเจน “ที่โห้หลีเฉินทำแบบนี้เพราะเขาสิ้นหวัง เขาใกล้จะเป็นอัมพาต ก็เลยรู้สึกว่า ในชีวิตนี้คงจะไม่ได้เห็นเย้นหว่านอีกแล้ว เขากำลังดูถูกตัวเอง”
สีหน้าของหยูฉู่สองซับซ้อน ดวงตาที่เฉียบคมยังคงมองไปทางเย่ซือซือ
“แล้วเธอละ?”