สุดท้ายเย้นหว่านก็ต้องจำใจยอมรับความจริงที่ว่า ต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน
ยังไปไม่ได้ เธอจึงต้องป้องกันระวังภัยรอบด้านให้ได้มากที่สุด คงต้องทนกับความไม่สบายใจ ฝืนอยู่ที่นี่ต่ออีกสองสามวัน
เพราะความว้าวุ่นใจ ตกดึก เย้นหว่านเลยนอนไม่หลับ
ที่ทำให้เธอแปลกใจคือ โห้หลีเฉินก็นอนไม่หลับเหมือนกัน
ตอนนี้ร่างกายเขาขยับได้มากแล้ว จึงพลิกตัวไปมาบนเตียง ตอนแรกเย้นหว่านคิดว่าเขาไม่สบายเสียอีก กำลังจะถามเขา ก็เห็นโห้หลีเฉินพยุงตัวเองลุกขึ้นมานั่ง ท่ามกลางแสงไฟสลัวยามค่ำคืน
เขาดึงผ้าห่มออก เหมือนอยากลงจากเตียง แต่พอดึงออกไปแล้ว ก็ลังเลสักพักจากนั้นก็ห่มผ้ากลับมาเหมือนเดิม
แต่พอห่มเสร็จแล้ว เขากลับว้าวุ่นใจมากกว่าเดิม หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานมาก ก็ดึงผ้าห่มออกอีกครั้ง……
ทำแบบนี้ซ้ำๆอยู่หลายรอบ แม้จะเห็นสีหน้าบนใบหน้าของโห้หลีเฉินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ เธอก็รู้ได้ว่าตอนนี้เขาสับสนและหงุดหงิดมากแค่ไหน
โห้หลีเฉินเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดมาตลอด แทบจะไม่เคยลังเลขนาดนี้มาก่อน
เขาเป็นอะไรไป?
ภายใต้ความสงสัยของเย้นหว่าน ก็ยังมีความกังวลและเป็นห่วงอยู่ด้วย
เธอไม่สนใจอะไรอีก แล้วลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย “นายเป็นอะไรไปเหรอ?”
ได้ยินเสียงแล้ว โห้หลีเฉินก็เหมือนตกใจมาก
เขารีบดึงผ้าห่มมาปิดขาตัวเองไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดว่า “ขอโทษที่ทำให้เธอตื่นนะ”
เขาไม่รู้เลยว่า เธอก็นอนไม่หลับเหมือนกัน
ที่จริงเย้นหว่านรู้สึกแปลกใจและรู้สึกเหมือนมีช่องว่างเกิดขึ้นระหว่างสองเรา เมื่อก่อนโห้หลีเฉินละเอียดอ่อนมาก ขอแค่เขาตื่นอยู่ ก็จะต้องรู้แน่นอนว่าเธอนอนหลับอยู่หรือเปล่า
แต่คืนนี้……
เย้นหว่านข่มอารมณ์ความคิดที่ฟุ้งซ่านไว้ เธอยื่นมือไปคล้องแขนเขาไว้
“เป็นอะไรเหรอ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
โห้หลีเฉินลังเลสักพัก ก็ถึงตอบเสียงเบาว่า “รู้สึกสับสนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกแปลกไปหมดทั้งตัว หรืออาจเป็นเพราะอาการขาของฉันดีขึ้น จึงทำให้มีปฏิกิริยาฮอร์โมนพลุ่งพล่าน”
ตอนที่ขาดีขึ้น จะทำให้มีอาการประเภทนี้จริงๆ
แต่ความผิดปกติของโห้หลีเฉินในคืนนี้ เป็นเพราะเรื่องนี้จริงเหรอ?
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันไม่เป็นไร เธอรีบนอนได้แล้ว”
โห้หลีเฉินกดตัวเย้นหว่านลงไปนอนอีกครั้ง แขนกำยำและยาวของเขา ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดตัวเอง
เย้นหว่านกอดเขาไว้ “นอนด้วยกันนะ ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“อืม”
น้ำเสียงแผ่วเบาของเขาภายใต้ความมืดมิด เป็นเสียงที่น่าหลงใหลมากจริงๆ
เย้นหว่านซบอยู่ในอ้อมกอดของเขา กอดเขาไว้แน่น ในใจกลับรู้สึกว่างเปล่าและไม่สบายใจ เหมือนรู้สึกจับไว้ไม่แน่นพอ
เป็นอะไรกันแน่นะ?
เธอว้าวุ่นใจอยู่แล้ว ก็ว้าวุ่นมากขึ้นกว่าเดิม
วันต่อมา เย้นหว่านปรากฏขึ้นในห้องรับประทานอาหารด้วยขอบตาหมีแพนด้า และดูอ่อนเพลียไม่มีแรง
เธอไม่อยากกินอะไรเลย แต่ก็ต้องกินเป็นเพื่อนโห้หลีเฉิน
สองวันมานี้เขาไม่ค่อยกินอะไรเลย เธอนั่งกินและดูเขากินอยู่ข้างๆ อย่างน้อยก็กินได้มากกว่าเดิมนิดหน่อย
“ป้าฉินกำลังดูแลแรบบิท เลยไม่สะดวก นี่เป็นอาหารเช้าที่ฉันทำ ทุกคนอย่ารังเกียจกันนะ”
แองเจล่ายกจานขึ้นมา ด้านบนมีอาหารเช้าจัดเรียงไว้ แล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร
อาหารเช้าเหมือนกันทุกจาน ไม่มีจานใครที่แตกต่าง เธอวางไว้ตรงหน้าทุกคนทีละจาน
เย้นหว่านเห็นสีหน้าเธอดีขึ้นไม่น้อย ก็ถามว่า: “เธอเป็นยังไงแล้วบ้าง?”
เมื่อวานสลบไปเลย ป่ายฉีให้เธอนอนอยู่บนเตียงหลายวัน
แองเจล่าส่ายหน้า “ฉันนอนมาทั้งวันแล้ว ดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ ต้องลุกจากเตียงมาออกกำลังกาย ไม่งั้นกระดูกคงเสื่อมพอดี”
“ไม่ต้องเหนื่อยมากหรอก เรื่องนี้ป้าฉินไม่มีเวลา เดี๋ยวก็มีคนอื่นมาทำอยู่ดี”
เย้นหว่านพูดห่วงใยและเหมือนตีตัวออกหากไปในตัว
เธอไม่ค่อยชอบที่แองเจล่ามาวนเวียนอยู่รอบๆตัวเอง
แองเจล่าก็พยักหน้าทำหน้าเข้าใจ จากนั้นก็นั่งลงบนที่นั่งตัวเอง
เย้นหว่านก็ถึงหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมตัวกิน
เธอเพิ่งเริ่มกินอาหาร ก็เห็นว่า ด้านในมีเม็ดถั่วอยู่ด้วย
โห้หลีเฉินไม่ชอบกินถั่ว
เธอรีบหันหน้าไป “เดี๋ยวฉันเอาถั่วออกมาให้นะ……”
ยังพูดไม่ทันจบ เธอก็ชะงักไปทันที
เธอมองด้วยความตกใจและแปลกใจ โห้หลีเฉินกินสลัดที่มีถั่วผสมอยู่ด้วยหลายคำ สลัดที่กำลังจะกินเข้าไปนั้น ในนั้นก็มีถั่วผสมอยู่ด้วย
แต่ทว่า โห้หลีเฉินไม่กินถั่วเลย นี่เป็นหนึ่งในอาหารที่เขาไม่ชอบนะ!
โห้หลีเฉินเห็นสีหน้าที่ตกใจของเย้นหว่าน ก็อึ้งไปทันที เขามองส้อมในมือที่เสียบอาหารอยู่ สีหน้าก็ดำเขมือบไปทันที
เมื่อกี้เขากินถั่วงั้นเหรอ?
และเขายังไม่รู้สึกตัวด้วย แถมยังกินได้อย่างเป็นธรรมชาติ แล้วยังไม่รู้สึกว่าไม่อร่อยอีกด้วย
“เพี้ยง!”
โห้หลีเฉินวางส้อมลงบนจานอย่างแรง แรงเยอะมาก จนจานแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และกระจายอยู่บนโต๊ะ
สายตาเขามองไปที่ป่ายฉี ทั้งเย็นชาและหนาวเหน็บ
ป่ายฉีที่กำลังกินข้าวอยู่นั้นก็รู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ เย็นจนนิ้วมือเขาแทบเกาะเป็นน้ำแข็ง ขนาดขนมปังยังตกลงไปบนโต๊ะเลย
เขากระตุกมุมปากพูดว่า “นายแค่เหม่อและพลาดกินถั่วเข้าไป คงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหรอก จะให้ฉันช่วยชีวิตไหมล่ะ?”
คำพูดล้อเล่นนี้ ไม่ได้ทำให้สีหน้าของโห้หลีเฉินดีขึ้นเลย
เขากัดฟันกรอดพูดว่า “นายออกมากับฉัน”
ป่ายฉี: “……” เขาอยากกินข้าวเช้า เขาหิวมากเลยนะ
แต่ทว่า ภายใต้สายตาที่เย็นชาของโห้หลีเฉิน ป่ายฉีก็กัดขนมปังสองคำ กินไปด้วยเดินออกไปด้วย
เย้นหว่านก็รีบตามไป แต่กลับถูกแองเจล่าคว้าข้อมือไว้ก่อน
แองเจล่าขอบตาแดงก่ำ ความรู้สึกผิดเขียนอยู่เต็มหน้า
“เสี่ยวหว่าน ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่ระวังเอง ถึงได้ใส่ถั่วลงไปด้วย เป็นความผิดของฉันเอง”
เย้นหว่านมองดูสลัดที่โห้หลีเฉินกินไปกว่าครึ่งจาน ในใจก็เหมือนมีก้อนหินทับเอาไว้ เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก
โห้หลีเฉินเป็นอะไรไปนะ?
สองวันมานี้ เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาผิดปกติไป
เย้นหว่านไม่ได้พูดอะไรกับแองเจล่าอีก แล้วรีบวิ่งตามออกไป ก็เห็นป่ายฉีกับโห้หลีเฉินยืนประจันหน้าอยู่ที่ลานบ้าน
พอเห็นเธอมา ป่ายฉีก็พูดด้วยสีหน้าที่ไม่สนใจว่า:
“นายคิดมากไปแล้วล่ะ ขนาดกินข้าวยังเหม่อได้เลย ร่างกายนายไม่เป็นอะไร และไม่ต้องให้ฉันช่วยชีวิตด้วย เอาล่ะ ฉันจะกลับไปกินข้าวเช้าต่อแล้ว”
พูดจบ ป่ายฉีก็เดินไปที่ห้องอาหารอย่างรวดเร็ว
เย้นหว่านรีบเดินไปข้างๆโห้หลีเฉิน แล้วขมวดคิ้วมองเขา
“นายไม่เป็นไรจริงๆใช่ไหม?”
โห้หลีเฉินยื่นมือไปลูบผมเธอเบาๆ แล้วพูดอย่างเอ็นดูว่า “เมื่อกี้ป่ายฉีก็บอกแล้วไง? เธอไม่เชื่อฉัน หรือไม่เชื่อฝีมือการรักษาของเขาล่ะ?”
คำพูดนี้ทำให้เย้นหว่านไม่อาจตอบโต้ได้
แต่หัวใจกลับเหมือนถูกแทงกลายเป็นรูขนาดใหญ่ มีลมพัดเข้ามาเรื่อยๆ เธอรู้สึกหนาวเหน็บมาก จนไม่สามารถเติมเต็มและสบายใจอีกได้เลย
เธอรู้สึกว่า อาจจะเกิดปัญหาในขั้นตอนการรักษาก็ได้
แต่ว่า……
เธอกะพริบตามองโห้หลีเฉิน ไม่รู้เลยว่ามีความคิดยังไง และจะพูดยังไงดี
ลังเลสักพัก เย้นหว่านก็ถึงพูดขึ้น
“โห้หลีเฉิน นายเคยบอกว่า ระหว่างพวกเราต้องจริงใจต่อกัน จะหลอกและปิดบังอีกฝ่ายไม่ได้ นายตอบฉันมาตามตรงนะ นายเป็นอะไรกันแน่? มีความรู้สึกผิดปกติอะไรหรือเปล่า?”
ว่าแล้ว เธอก็กำชับอีกว่า “นายห้ามโกหกฉันนะ!”