ในเวลาเดียวกัน เสียงกรีดร้องอันน่าขยะแขยงของแองเจล่าก็ดังมาจากในห้อง
“เฮเลนา เมย์ ไอ้คนทรยศ! คนทรยศ! ฉันจะไม่มีวันปล่อยเธอไปแน่ ต่อให้เธอจะหนีไปสุดขอบฟ้า ยังไงฉันก็จะฆ่าเธอ ฉันจะต้องฆ่าเธอให้ได้!”
ใบหน้าของน้าเมย์ซีดเซียวมากขึ้น และในดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความเศร้า
เธออยู่กับเธออย่างยากลำบากมานานหลายปี เป็นเด็กที่เลี้ยงจนโตมาเองกับมือ ในที่สุด โชคชะตาการเป็นแม่ลูกระหว่างพวกเธอได้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
เธอรู้สึกเหมือนกับว่าในตอนนั้นตัวเธอเองมีอายุมากขึ้นกว่า 10 ปี
โห้หลีเฉินไม่สนใจกับเรื่องพวกนี้ เพราะเขาเพิ่งได้รับข่าวมาว่า พบร่องรอยของเย้นหว่านแล้ว
เธอกลับไปที่ตระกูลเย้นจริงๆ
เมื่อรู้ทิศทางแล้ว การตามหาตัวเธอก็กลายเป็นเรื่องง่าย
เขาไม่ทำให้เสียเวลา โห้หลีเฉินได้พาคน และนั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไป
คนของเขา ได้พาแองเจล่ากลับไปส่งที่องค์กรของเธอ
น้าเมย์สารภาพแล้ว สถานะของแองเจล่าก็ชัดเจนแล้ว
……
ตระกูลเย้นได้ย้ายออกไปทั้งหมด เพื่อหลบหลีกสายตาของหยูฉู่สอง พวกเขาได้ไปอยู่ในป่าลึกที่ห่างไกลและไม่มีใครอาศัยอยู่ เขาเปิดทั้งหุบเขา และสร้างบ้านใหม่ที่นั่น
มีบ้านเรือนหลายหลังได้รับการซ่อมแซม และมีบ้านสไตล์ตะวันตกหลังเล็กๆ อยู่ด้วย คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ทั้งหมดก็เป็นคนในตระกูลเย้น
เมื่อมองดู ที่นี่ก็ดูเหมือนหมู่บ้านที่สวยงาม
ถนนบนภูเขาเดินทางลำบากมาก และแทบไม่มีทางออกเลย ผู้คนก็ไม่ค่อยพลุกพล่าน ในสถานการณ์ปกติ คงไม่มีใครเข้ามาที่นี่หรือเดินผ่านที่นี่เลย
สำหรับของใช้ในชีวิตประจำวัน และการซื้อสินค้าต่างๆ ในนี้มีระบบของตัวเองอยู่นานแล้ว และก็มีบุคคลที่เข้ามารับผิดชอบในการขนส่งสินค้าโดยเฉพาะ
การขนส่งยังใช้เฮลิคอปเตอร์ที่บินไปบินมา
เรื่องต้นทุนอะไรพวกนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของตระกูลเย้น แม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในที่สันโดษ แต่พวกเขาก็สามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้เช่นกัน
เย้นหว่านนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับมา
เครื่องบินลงจอด ซึ่งจอดอยู่ข้างๆ ลานจอดเครื่องบิน กงจืออวีและภรรยาของเขา เย้นโม่หลินและกู้จื่อเฟย พวกเขามารออยู่นานแล้ว
แรบบิทอยู่ตรงริมหน้าต่างนานแล้ว เธอมองออกไปข้างนอกด้วยความสงสัย
เธอถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “คุณแม่ คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น คือคุณตาคุณยายใช่ไหมคะ”
เย้นหว่านรู้สึกหดหู่ และเธอก็กำลังเหม่อลอย
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เธอก็มองออกไปที่นอกหน้าต่าง เธอมองดูพวกญาติๆ ที่รออยู่ตรงนั้นตั้งนานแล้ว ในใจเธอก็รู้สึกเจ็บปวด
ในขณะที่เธอและโห้หลีเฉินได้จบลงแล้ว โชคดีที่ก็ยังครอบครัวที่รักเธออยู่ และก็จะไม่มีวันทรยศ
เมื่อกลับมาที่นี่ เธอก็เป็นเหมือนนกที่ผ่านอะไรมาเยอะแยะจากภายนอก และในที่สุดก็ได้กลับมาสู่รังแห่งความคิดถึง
เย้นหว่านพยายามไม่ให้น้ำตาไหลลงมา ก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำ
“อืม เป็นคุณตาคุณยาย แล้วก็ยังมีคุณลุงกับคุณป้า”
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเย้นโม่หลินและกู้จื่อเฟยจะมั่นคงแล้ว แต่ในสองปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น พวกเขายังไม่ได้จัดงานแต่งงาน
ดังนั้นเลยต้องเรียนคุณป้าไปก่อน
“แล้วพี่ชายล่ะ พี่ชายอยู่ที่ไหน”
แรบบิทมองไปรอบๆ อีกครั้ง
บางทีนี่อาจเป็นเพราะเป็นฝาแฝดกัน บางทีอาจเป็นเพราะเด็กๆ ใกล้ชิดกับเด็กด้วยกันมากกว่า แรบบิทก็เลยสนใจพี่ชายของเธอมากที่สุดเสมอ
คนที่เธอต้องการพบมากที่สุดคือโห้หยูเซิง
เย้นหว่านเม้มปาก “พี่ชายน่าจะอยู่ในห้อง เดี๋ยวแม่จะพาหนูไปหาทีหลังนะ”
เมื่อคิดถึงโห้หยูเซิงเย้นหว่านก็พบเหตุผลที่จะอดทนต่อไป
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยโห้หลีเฉิน เธอจึงได้ศึกษาวิชาการแพทย์ทั้งวันทั้งคืน และเธอแทบไม่มีเวลาดูแลโห้หยูเซิงด้วยซ้ำไป เลยทำให้เขามีนิสัยที่ไม่ดี และกลายเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก
เธอก็ไม่มีเวลาและพลังงานมากพอที่จะไปสั่งสอนชี้แนะเขา
เธอเป็นหนี้เด็กคนนี้มากเกินไป
หลังจากนี้ เธอจะต้องชดเชยให้เขา จะอยู่เป็นเพื่อนเขา และจะพาแรบบิทและโห้หยูเซิงเติบโตไปด้วยกันอย่างปลอดภัยและมีความสุข
ส่วนอนาคตของเธอ แค่เธอมีลูกทั้งสองเคียงข้าง เธอก็มีความสุขมากแล้ว
ใช่ มีความสุขใช่ไหม
เมื่อนึกถึงคำว่าความสุข เธอก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแบบนี้
เครื่องบินจอดลง
บอดี้การ์ดได้เปิดประตูเครื่องบินให้เธอ
เย้นหว่านเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ ก่อนจะพาแรบบิทลงจากเครื่องบิน
กงจืออวีและคนอื่นๆ ก็เข้ามาทักทายพวกเขาด้วยความกระตือรือร้น
“เสี่ยวหว่าน ในที่สุดแกก็พาหลานสาวคนเก่งของฉันกลับมา นี่คือแรบบิทใช่ไหม?”
กงจืออวีเดินเขาไปด้วยความกระตือรือร้น ในดวงตาที่ใช้มองแรบบิท ก็เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู
แรบบิทกะพริบตาและมองไปที่กงจืออวีด้วยดวงตากลมโต จากนั้นเธอก็พูดและยิ้มด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน
“คุณยาย สวัสดีค่ะ”
เสียงที่นุ่มนวล ทำให้หัวใจของกงจืออวีรู้สึกอบอุ่นในทันที
เธอมีความสุขมาก เธอเอื้อมมือออกไปอย่างกระตือรือร้น “เด็กดี มาให้ยายอุ้มหน่อยเร็ว”
แรบบิทมีนิสัยร่าเริง และก็เป็นสายเลือดเดียว เธอจึงรู้สึกคุ้นเคยกับกงจืออวีมาก
แขนเล็กๆ ของเธอกางออก เธอโน้มตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของกงจืออวี
กงจืออวีกอดตัวนุ่มนิ่มในอ้อมแขนของเธอไว้ เธอมีความสุขจนดวงตาได้กลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว และเธอยังคงชมหลานสาวของเธอว่าทั้งเป็นเด็กดีและน่ารัก
เย้นเจิ้นจื๋อก็มองแรบบิทด้วยสายตาที่รักและเอ็นดู เขาก็มีความสุขมากๆ
เย้นโม่หลินมองไปที่เจ้าเด็กตัวเล็ก จากนั้น ก็มองไปข้างหลังของเย้นหว่าน
เขาขมวดคิ้วและถามว่า “ทำไมคุณถึงกลับมากับลูกคนเดียว? โห้หลีเฉินล่ะ?”
เขารู้ ว่าในช่วงนี้พวกเขาอยู่ข้างนอกชนบท มันก็ปลอดภัย แต่ก็แออัดมาก
อยู่ดีๆ เย้นหว่านก็กลับมาโดยที่ไม่บอกไม่กล่าว ถ้าไม่มีอะไร โห้หลีเฉินก็ควรกลับมาพร้อมกับเธอด้วย
เมื่อพูดถึงโห้หลีเฉิน เธอก็รู้สึกเหมือนมีเข็มมาทิ่มแทงที่หัวใจ จนเย้นหว่านรู้สึกเจ็บปวดไปหมด
เธอมองดูพี่ชายของเธอ และสายตาที่เป็นกังวลและสงสัยของพ่อแม่ของเธอ เธอไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอก็พูดเสียงเบาว่า
“แรบบิทคิดถึงหยูเซิงมาก ก็เลยพาเธอกลับมาก่อน ป่ายฉีที่โดนสะกดจิตก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่สมบูรณ์ มันยังต้องใช้เวลาอีกสองสามวัน”
คำอธิบายนี้สมเหตุสมผลมาก
แต่ทุกคนก็สังเกตเห็นว่า ในคำพูดของเย้นหว่าน เธอไม่ได้กล่าวถึงโห้หลีเฉินเลย
ดวงตาของเย้นหว่านสั่นไหวเล็กน้อย ความรู้นั้นมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าเธอจะควบคุมอารมณ์ของเธอไม่ไหว และร้องไห้ออกมาต่อหน้าครอบครัวที่รักเธอมากที่สุด
เธอมองไปที่แรบบิทแล้วพูดว่า “แรบบิท ไม่อยากเจอพี่ชายเหรอ แม่จะพาไปหนูหาพี่เดี๋ยวนี้เลย”
“ดีค่ะ ดีเลยค่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แรบบิทก็ดูมีความสุขมาก และโน้มตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของเย้นหว่านด้วยความดีใจ
เย้นหว่านกอดเธอไว้ และพูดอย่างเป็นธรรมชาติ
“พ่อแม่ พี่ชาย จื่อเฟย ฉันพาแรบบิทไปเยี่ยมหยูเซิงก่อนนะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็เดินออกไปก่อนเลย
กงจืออวีและคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ตรงนั้น พวกเขามองไปยังแผ่นหลังที่รีบร้อนของเธอ พวกเขาแต่ละคนพากันขมวดคิ้วแน่น
แม้แต่เย้นโม่หลินที่มักจะรับรู้ได้ช้ากว่าคนอื่นในด้านอารมณ์ แต่ครั้งนี้เขาก็สังเกตอารมณ์ที่ผิดปกติของเย้นหว่าน
กงจืออวีหันไปมองกู้จื่อเฟย “เฟยเฟย คุณไม่คิดว่า เสี่ยวหว่านดูแปลกๆ เหรอ”
กู้จื่อเฟยพยักหน้า “บางที อาจจะ ดูเหมือนว่าจะทะเลาะกับคุณโห้มา”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เย้นโม่หลินก็โกรธในทันที
“เสี่ยวหว่านต้องทนทุกข์ทรมานมามากมาย เพื่อช่วยชีวิตเขาอย่างยากลำบาก นี่เขายังกล้าที่จะทะเลาะกับเสี่ยวหว่านอีกเหรอ และยังมาทำให้เสี่ยวหว่านไม่มีความสุขอีก?”
ในขณะที่เขาพูด เขาก็ได้ดึงแขนเสื้อขึ้น “เตรียมเครื่องบินเลย ฉันจะหักขาเขาเอง”
กู้จื่อเฟย “…” อาการอัมพาตของคุณโห้ไม่กลับมาเป็นปกติเลย นี่ยังจะไปตีขาอะไรของเขาให้หักอีกเหรอ
กู้จื่อเฟยรู้สึกหมดคำพูดกับแฟนหนุ่มของตัวเอง เธอจึงคว้าแขนของเขาเอาไว้
“คุณอย่าใจร้อนสิ ป่ายฉียังอยู่ข้างนอกนี่ พวกเราติดต่อป่ายฉีและถามเขาให้รู้เรื่องก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ”