“คุณหนู คุณหนูเป็นอะไรรึเปล่าคะ? ทำไมถึงได้หน้าซีดขนาดนี้ รู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่าคะ?” สาวใช้ถามไปด้วยความเป็นห่วง
เย้นหว่านหันมองไปทางอื่น “ฉันไม่เป็นไร”
ระหว่างที่พูด เธอก็หมุนตัวแล้วเดินกลับไปทางห้อง
จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าไม่อยากไปไหนแล้ว โลกนี้มันกว้างใหญ่ ไม่ว่าไปอยู่ไหนมันก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน มันก็ทำให้เธอไขว้เขวจนทรมานเหมือนกัน
เธอยิ่งรู้ตัวเองดีว่าเธอไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไปแล้ว เธอไม่อยากออกไปร้องไห้ขายหน้าอยู่ข้างนอก
เย้นหว่านวิ่งกลับเข้าไปในห้อง แล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
ในตอนที่เธอตัดสินใจจะจากมา ก็ตั้งใจที่จะตัดขาดสัมพันธ์กับโห้หลีเฉินแล้ว จากมาโดยที่ไม่ได้บอกเขา ไม่อยากมีเรื่องอะไรข้องเกี่ยวกับเขาอีก และไม่อยากให้เขาไล่ตามมาด้วย
แต่ในตอนที่เขาไม่ได้ตามมาจริงๆ แล้วทำไมหัวใจมันถึง เจ็บปวดขนาดนี้ล่ะ
ราวกับเศษเสี้ยวของความคิดถึงที่หลงเหลือก็ถูกทำลายไปอย่างเด็ดขาดแล้ว
ส่วนความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นกับเขา ต่างก็กลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า กลายเป็นแค่ความทรงจำ และกลายเป็นเรื่องตลกที่มันปวดใจไปแล้ว
ด้านนอกหน้าต่าง สายฝนกำลังเทลงมาอย่างหนัก
ราวกับท้องฟ้ากำลังร้องไห้ ร้องไห้อย่างหนัก
“เย้นหว่าน—-”
ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ กลับมีเสียงของชายหนุ่มดังขึ้น
เย้นหว่านตัวเกร็งขึ้นมาทันที แล้วมองไปที่หน้าต่างด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะคิด เสียงที่ดังขึ้นเมื่อกี้ เธอหูฝาดไปรึเปล่านะ?
ทำไมเธอถึงได้ยินเสียงของโห้หลีเฉินดังขึ้นในเวลาแบบนี้นะ?
ไม่ เธอต้องหูฝาดไปแน่ๆ
ความคิดของเธอวุ่นวายเกินไป เสียใจเกินไป ถึงได้เกิดเสียงแว่วขึ้นมาในหู
“เย้นหว่าน!”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
มันดังขึ้นกว่าเดิม ชัดเจนกว่าเดิม จนแทบกลบเสียงฝนไปเลย
และมันก็ทำให้เธอรู้ตัวท่ามกลางความช็อก ว่าเสียงที่ดังขึ้น มันเป็นเสียงที่โห้หลีเฉินเปล่งออกมาจริงๆ
เขากำลังเรียกหาเธออยู่
และมันก็ไม่ใช่เสียงหลอน
เย้นหว่านมองเหม่อไปที่หน้าต่าง เธอพักอยู่ชั้นสอง เห็นเพียงสายฝนที่เทกระหน่ำ แต่หัวใจของเธอกำลังเต้น และมันก็เต้นเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เร็วขึ้นเรื่อยๆ ……
เธอไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่ความเซอร์ไพรส์แบบนี้ มันก็มากพอที่ทำให้เธอไม่สามารถแยกแยะไปชั่วขณะแล้ว
“เย้นหว่าน ลงมาสิครับ”
หลังจากทิ้งช่วงไปแป๊บหนึ่ง เสียงตะโกนของโห้หลีเฉินก็ดังขึ้นมาจากทางด้านล่าง
เสียงตะโกนของเขาที่ดังอยู่ท่านกลางสายฝน เริ่มชัดเจนจนสามารถบอกตำแหน่งที่เขาอยู่ได้แล้ว
เขาอยู่ข้างล่างนั่น
อยู่ใต้หน้าต่างขอเธอออกไปไม่ไกล
ตรงนั้น ไม่มีอะไรบดบังเลย……
พอคิดถึงตรงนี้ เย้นหว่านก็ลูกพรวดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เดินโซซัดโซเซไปที่หน้าต่าง ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ เธอก็ได้เห็นโห้หลีเฉินที่นั่งอยู่บนรถเข็น เปียกฝนไปทั้งตัวแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมา
สายตาลึกซึ้งอย่างถึงที่สุด มองมาที่เธอ แล้วค่อยๆ เปล่งเสียงออกมาว่า “ที่รัก ผมมาเพื่อยอมรับผิดครับ”
ระหว่างที่พูด เขาก็ยกของในมือขึ้น
พอดูดีๆ ก็จะเห็นว่ามันคือกระดานซักผ้า!
กระดานซักผ้าที่ไร้สีสันนั่นวางอยู่ในมือเขา ให้ความรู้สึกที่ไม่เข้ากันลย แต่โห้หลีเฉินก็ยังยกมันไว้อย่างจริงใจ ทำให้สายลมกระทบลงบนหน้าเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ดูตั้งใจมาก
เย้นหว่านนั้นถึงกับงงไปเลย
เหมือนเพิ่งถูกฟ้าผ่า ตกใจจนไม่อาจตั้งสติได้
การที่โห้หลีเฉินมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ทำให้เธอแปลกใจมากแล้ว เขาที่สูงส่งขนาดนั้น กลับถือกระดานซักผ้ามาสำนึกผิดเป็นภาพที่เธอไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน
หรือเขาจะคุกเข่าลงบนกระดานซักผ้าเพื่อยอมรับผิดจริงๆ?
เย้นหว่านนั้นกระวนกระวายใจอย่างมาก บอกไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกยังไง?
พอเห็นร่างกายที่เปียกปอนของเขา แล้วนึกถึงเรื่องที่ร่างกายของเขายังไม่หายดี ทางที่ดีก็อย่าตากฝนจนล้มป่วยจะดีกว่า
เธอกำหมัดแน่น แล้วพูดเสียงแข็งไปว่า
“คุณไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก ใบหย่าก็ให้คุณไปแล้ว หลังจากที่เซ็นชื่อ พวกเราก็ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีก ฝนตกหนักมาก คุณรีบไปจากที่นี่เถอะค่ะ”
เหมือนจะคิดไว้อยู่แล้วว่าเย้นหว่านโห้หลีเฉินจึงยังคงถือกระดานซักผ้าเอาไว้ พร้อมกับสีหน้าที่จริงจังและแน่วแน่
“ถ้าคุณไม่ยอมยกโทษให้ผม ผมก็จะไม่ยอมไปครับ”
คำพูดที่ไร้เหตุผลแบบนี้ เย้นหว่านไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะออกมาจากปากของโห้หลีเฉิน พอเห็นใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยฝน เย้นหว่านก็โมโหขึ้นมาทันที
ร่างกายของเขาไม่แข็งแรง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรักษาได้ขึ้นขั้นนี้ ถ้ามาทำเรื่องแบบนี้ ไม่แน่มันอาจจะเลวร้ายขึ้นมา จนกลับไปเป็นเหมือนตอนแรกก็ได้
เย้นหว่านรู้สึกรำคาญใจมาก “ฉันไม่มีทางยกโทษให้คุณหรอกค่ะ คุณรีบกลับไปซะเถอะ”
พูดจบ เธอก็หันหลังแล้วเดินจากไป
ออกไปจากหน้าต่างโดยไม่หันไปมองเขาอีก
พอไม่เห็นเธอ เขาก็คงยอมไปแล้วล่ะมั้ง หรือว่า จะเปลี่ยนเป็นขึ้นมาคุยกับเธอดีๆ ข้างบนนะ……
แต่ว่า หลังจากที่เย้นหว่านรอไปพักหนึ่ง ก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรดังมาจากนอกประตูเลย
เธอไม่สามารถควบคุมความวุ่นวายในใจได้ จึงแอบมองไปที่หน้าต่าง แล้วจึงได้เห็นโห้หลีเฉินที่ยังคงนั่งอยู่ตรงที่เดิม!
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ กระแทกลงมาที่ตัวเขา เห็นแล้วยังรู้สึกเจ็บแทน หนาวแทน
ใบหน้าของเขาก็ดูซีดมาก สีหน้าเหงาหงอย อ่อนแอ เหมือนพร้อมที่จะเป็นลมไปได้ทุกเมื่อ
หัวใจของเย้นหว่านเหมือนถูกมือใหญ่ๆ มาบีบเอาไว้ มันรู้สึกเจ็บมาก
ทำไมโห้หลีเฉินถึงต้องทำร้ายร่างกายของตัวเองถึงขนาดนี้ด้วย?!
เธอทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงได้ยืนพูดอยู่ตรงขอบหน้าต่างว่า “คุณคิดจะขอโทษอย่างนั้นเหรอ? แต่คุณนั่งอยู่บนรถเข็น ยืนก็ไม่ไหว แล้วถือกระดานซักผ้าไว้ในมือ จะคุกเข่ากับกระดานซักผ้าก็ยังไม่จริงใจพอ นี่นะหรอความสำนึกผิดของคุณ? เห็นฉันหลอกง่ายขนาดนั้นเลยรึไง?”
พอเห็นเย้นหว่านปรากฏตัวอีกครั้ง โห้หลีเฉินก็เม้มปากแล้วยิ้มออกมา
จากนั้น เขาก็พูดอย่างจริงจังว่า
“เพราะผมไม่สามารถยืนได้ การคุกเข่ากับกระดานซักผ้าจึงเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ยิ่งเป็นเรื่องที่ยาก พอทำแล้ว มันก็จะยิ่งจริงใจ ที่รัก ผมสำนึกผิดไปแล้วจริงๆ ผมไม่ควรโกหกคุณ มันเป็นความผิดผมเอง”
ถ้าการคุกเข่ากับกระดานซักผ้าจะทำให้คุณยกโทษให้ผมได้ ต่อให้ต้องคุกเข่าจนฟ้าดินสลายผมก็ยอม”
พูดจบ โห้หลีเฉินก็วางกระดานซักผ้าไว้บนพื้น ใช้มือยันที่จับของรถเข็น เพื่อที่จะลุกขึ้นมา
เย้นหว่านมองเขาอย่างอึ้งๆ ตกใจจนทำเธอแทบบ้า
ชายที่พิการครึ่งตัว ตั้งใจที่จะคุกเข่าบนกระดานซักผ้าจริงๆ เหรอ? ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
เธอยังไม่ทันคิดได้ว่าโห้หลีเฉินนั้นบ้าไปแล้วรึเปล่า เธอก็ได้เห็นโห้หลีเฉินที่ตากฝนมานานเกินไป ร่างกายอ่อนแอจนต้านไม่ไหว แขนเกิดลื่นไถล แล้วลื่นลงไปนั่งบนรถเข็นอย่างแรง แถมยังกระแทกโดนหลังด้วย
เย้นหว่านที่ได้เห็นแบบนั้นก็ใจหายไปตามๆ กัน นิ้วของเธอจิกแน่นไปที่ชายเสื้ออย่างไม่รู้ตัว
โห้หลีเฉินสีหน้าซีดเซียว เงยหน้าขึ้นมา แล้วยิ้มให้เย้นหว่านอย่างรู้สึกผิด
“ที่รัก ให้เวลาผมอีกสักนิดนะครับ ผมทำได้แน่นอน”
ทำได้แน่ ทำได้อะไร? สามารถยันตัวเองขึ้นมาจนคุกเข่าบนกระดานซักผ้าได้อย่างนั้นนะเหรอ!
ยังไม่ทันได้ยืนยันว่าโห้หลีเฉินบ้าไปแล้วรึเปล่า เย้นหว่านก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าแล้ว
นี่เขาไม่เข้าใจสภาพร่างกายของตัวเองเลยรึไงนะ? ดื้อรั้นขนาดนี้ ยังอยากที่จะหายดีมั้ยเนี่ย
มองดูเขาที่เริ่มยันตัวขึ้นจากรถเข็นด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดอีกครั้ง ในที่สุดเย้นหว่านก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงได้หันหลังแล้ววิ่งลงชั้นล่างไป
เธอกำลังร้อนรนอย่างถึงที่สุด ราวกับหัวใจกำลังจะเต้นทะลักออกมาข้างนอก
กลัวว่าถ้าเธอวิ่งถึงช้าไป เขาอาจจะล้ม หรือคุกเข่าลงบนกระดานซักผ้าจริงๆ แล้วก็ได้
เขาที่เป็นคนภาคภูมิใจในตัวเองขนาดนั้น จะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!
เย้นหว่านนั้นวุ่นวายใจไปหมดแล้ว ชั่วอึดใจเดียว ก็วิ่งลงไปถึงชั้นล่างแล้ว พอเปิดประตูกระจกออก ก็พบกับโห้หลีเฉินที่กำลังยันตัวขึ้นจากรถเข็น แล้วยืนสั่นระริกอยู่ตรงนั้น