เย้นโม่หลินพยักหน้าอย่างจริงใจ
กู้จื่อเฟยทำเสียง “จิ๊จ๊ะ” สายตาที่มองเย้นโม่หลินก็ดูประหลาดยิ่งกว่าเดิม
“นี่พี่ยังเป็นพี่เย้นของฉันอยู่รึเปล่าคะ?”
เย้นโม่หลินทำหน้างง
นี่เขาทำอะไรผิดอีกแล้ว?
กู้จื่อเฟยส่ายหน้า “เมื่อก่อนพี่นั้นเป็นแค่ท่อนไม้ที่ไม่เข้าใจเรื่องของความรักเลย แต่ตอนนี้พี่กลับช่ำชองจนสามารถวิเคราะห์ความรักของคนอื่นได้ และเก่งกว่าฉันซะอีก การที่จู่ๆ พี่เปลี่ยนเป็นแบบนี้ ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่ ยังไงฉันก็ยังรู้สึกชอบพี่เย้นที่เป็นเหมือนท่อนไม้มากกว่าอยู่ดี”
เย้นโม่หลิน “……”
จู่ๆ อย่างนั้นเหรอ? จู่ๆ เขาก็กลายเป็นแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?
ทำเหมือนสองปีที่อยู่กับเธอมันไม่มีค่าเลยสินะ!
เมื่อก่อนที่เขาไม่เข้าใจเรื่องความรักมันเป็นเพราะเขาไม่มีแฟน ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงมาก่อน ในตอนนี้……แฟนของเขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นละครและความรัก ถ้าเขายังไม่เข้าใจอีกก็โง่แล้ว
เย้นโม่หลินลุกพรวดขึ้นมา ขยับเข้าไปใกล้กู้จื่อเฟย แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด
เขาก้มหน้าลง สายตาดูอันตรายมาก
“งั้นตอนนี้ผมจะให้คนคุ้นเคยให้มากขึ้นนะครับ”
คำพูดที่พูดออกมาขณะกัดฟันแน่น มันแฝงไปด้วยความเย้ายวนที่แสนคลุมเครือ
กู้จื่อเฟยคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้มาก พริบตาเดียวผิวหนังทั้งหมดก็แข็งเกร็งขึ้นมา สองมือรีบผลักเขาออกไป
“เย้นโม่หลิน อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ นะ! นี่ฟ้ายังไม่มืดเลยด้วยซ้ำ”
“ปิดหน้าต่าง ฟ้าก็มืดแล้วนี่ครับ”
เย้นโม่หลินอุ้มกู้จื่อเฟยขึ้นมาโดยไม่สนการขัดขืนของเธอ แล้วเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้อง
ก้าวเท้าไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าต้องทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยสักหน่อย
กู้จื่อเฟยนั้นดิ้นไม่หลุด แถมยังเจอกับคนรับใช้ที่อยู่ตลอดทาง อยากจะมุดดินแล้วหนีไปทันที
เย้นโม่หลินในตอนนี้ชักจะเหิมเกริมมากขึ้นทุกทีแล้ว
ไม่หลงเหลือเค้าโครงของพี่ชายตัวน้อยขี้อายที่เป็นเหมือนท่อนไม้ไร้เดียงสาในตอนนั้นเลยสักนิด ตอนนี้กลับกลายเป็นหมาป่าตัวใหญ่ที่ดุร้ายไปแล้ว!
……
โห้หยูเซิงไม่ชอบคนแปลกหน้า และเป็นคนเย็นชา
ส่วนโห้หลีเฉินก็ทำอย่างที่เขาบอก เข้าไปหาโห้หยูเซิงทุกวัน แต่ก็ไปแค่แป๊บเดียว และค่อยๆ นานขึ้นเรื่อยๆ
โห้หยูเซิงนั้นเป็นคนเก็บตัว ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจโห้หลีเฉิน ไม่ได้ใส่ใจ แต่หลังจากที่เขามาหาทุกวัน กลับยิ่งไม่สนใจ ยิ่งไม่ใส่ใจเข้าไปอีก
แม้แต่เย้นหว่านด้วยก็กลายเป็นแค่พื้นหลังแล้ว
เย้นหว่านเองก็เริ่มสงสัยแล้วว่าวิธีของโห้หลีเฉินนั้นจะได้ผลจริงๆ รึเปล่า ยังไงอย่างน้อยโห้หยูเซิงก็ยังรู้ว่าเธอเป็นแม่เลยยังแอบมีความสนใจให้นิดๆๆๆๆ หน่อย
แต่มาตอนนี้ เธอรู้อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า ในสายตาของโห้หยูเซิงนั้นเธอแอบจะไร้ตัวตนแล้ว
“โห้หลีเฉิน ยังจะทำแบบนี้ต่อไปอีกเหรอคะ? ผลที่ได้มันจะออกมาตรงข้ามกับที่หวังรึเปล่า?”
โห้หลีเฉินนั่งอยู่บนรถเข็น มองดูเด็กน้อยที่กำลังประกอบตัวต่ออยู่ในห้อง ด้วยสีหน้าที่ลึกซึ้งแต่ก็สงบ
เขาส่ายหน้า “เชื่อผมว่ามันต้องได้ผล”
“แต่ว่า……”
“ที่รัก” โห้หลีเฉินพูดขัดเย้นหว่าน เหลียวมามองเธอ แววตาแฝงไปด้วยความคับข้องใจ “เรื่องของแองเจล่า คุณก็ไม่ยอมเชื่อใจผมแล้ว สรุปคือคุณ……”
“ไม่ค่ะ ไม่แน่นอน! ฉันเชื่อใจคุณ เชื่อใจมากด้วย”
เย้นหว่านรีบพูดออกไป ขาดแค่ชูนิ้วสาบานเท่านั้นแล้ว
แต่ในใจกลับกำลังเจ็บปวดมาก หลังจากที่เกิดเรื่องแองเจล่า ถึงแม้โห้หลีเฉินจะมาอ้อนวอนให้เธอยกโทษแล้วก็ตามแต่สุดท้ายคนที่ไม่มีเหตุผลมากพอก็คือเธอ คนที่สภาพจิตใจย่ำแย่ก็คือเขา
เมื่อโห้หลีเฉินตัดพ้อว่าเย้นหว่านไม่เชื่อใจเขา เย้นหว่านก็ปวดหัวจนต้องยอมจำนน
และไม่กล้าสงสัยอะไรในตัวเขาแม้แต่นิดเดียว
คุณโห้ว่ายังไงก็ถูกต้องตามนั้น
เย้นหว่านยิ้มอย่างให้เกียรติ “วันนี้เราอยู่ที่นี่นานพอแล้ว เราไปกันเถอะค่ะ”
โห้หลีเฉินถึงได้เม้มปากแล้วยิ้มออกมา บังคับรถเข็นแล้วหมุนตัว
สายตาที่เขามองเย้นหว่านนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ขบขัน
ผู้หญิงคนนี้ เวลาแกล้งนี่ช่างสนุกจริงๆ
เย้นหว่านถึงโล่งอกขึ้นมาหน่อย ในที่สุดบทสนทนาที่อันตรายก็ผ่านพ้นไปสักที
เธอมองไปยังเด็กน้อยสองคนที่นั่งอยู่ในห้อง ยังไงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่มากก็น้อย
ถึงแม้หลายวันมานี้ เธอกับโห้หลีเฉินแทบจะถูกมองว่าเป็นอากาศแล้ว แต่แรบบิทก็สามารถเข้าไปอยู่ใน “สายตา” ของโห้หยูเซิงได้แล้ว
เธอทำตัวเหมือนกับหางที่เอาแต่เดินตามโห้หยูเซิงทั้งวัน ไปกินไปเล่นพร้อมกัน โห้หยูเซิงจากที่เคยเย็นชาในตอนแรก ก็เหลือแค่สายตาที่เย็นชาเท่านั้น
จนในหลายๆ ครั้งก็จะยอมให้แรบบิทเล่นของเล่นของตัวเอง
ส่วนคนอื่นๆ นั้น แม้แต่พี่เลี้ยงที่คอยดูแลอยู่ทุกวันยังไม่ได้รับสิทธิ์เท่านั้นเลย
“ฉันรู้สึกว่า แรบบิทอาจจะสามารถเปลี่ยนใจของหยูเซิงได้ ทำให้เขาค่อยๆ ก้าวออกจากการเก็บตัว”
เย้นหว่านเดินอยู่ข้างๆ โห้หลีเฉิน เดินไปพูดไป
โห้หลีเฉินหันมามองเธอ “ตอนที่คุณอยู่กับป่ายฉี คุณเรียนรู้ได้แค่การรักษาขาใช่มั้ยครับ?”
เย้นหว่านพยักหน้า “มีอะไรรึเปล่าคะ?”
โห้หลีเฉินส่ายหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ผ่านไปพักใหญ่เขาก็ได้ข้อสรุป
“ที่รักครับ ผมอารมณ์ดีมากเลยครับ”
ทำไมอยู่ๆ ถึงพูดว่าอารมณ์ดีได้ละเนี่ย?
เย้นหว่านไม่สามารถตามความคิดของโห้หลีเฉินได้ทันแล้ว “นี่คุณกำลังพูดอะไรอยู่คะเนี่ย?”
โห้หลีเฉินลูบผมของเย้นหว่าน แล้วบังคับรถเข็นให้เดินหน้าต่อไป
“ไม่มีอะไรครับ อาการป่วยของหยูเซิง เดี๋ยวผมจะเป็นคนสังเกตเอง คุณแค่เชื่อใจผม ทำตามผมก็พอ
เย้นหว่านยืนเกร็งอยู่กับที่
ในที่สุดเธอก็เข้าใจสักที การเก็บตัวก็ถือเป็นโรค จำเป็นต้องได้ผลการวินิจฉัยจากแพทย์ ถึงจะรู้ว่าต้องทำยังไง
แต่ถ้าเป็นไปตามที่พูดมาเมื่อกี้ ก่อนหน้านี้ที่เย้นหว่านเตรียมการเรื่องของโห้หลีเฉิน จิตใจทั้งหมดนั้นได้ทุ่มไปในการศึกษาด้านการรักษาและฟื้นฟูขาหมดแล้ว จึงไม่มีเวลาจะไปศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอาการเก็บตัวเลย
อาจจะรู้แค่ผิวเผิน ต้องทำยังไง ต้องระวังอะไรบ้าง
ถ้าอยากจะช่วยโห้หยูเซิงให้มากกว่านี้ ก็ต้องศึกษาอาการเก็บตัวจนถึงแก่น ถ้าเธอสามารถกลายเป็นหมอได้ ถึงจะสามารถช่วยเหลือโห้หยูเซิงได้มากกว่านี้
แต่ช่วงแรกที่เพิ่งกลับมา เย้นหว่านยังต้องทำให้โห้หลีเฉินลุกขึ้นยืนให้เร็วที่สุด จึงยังไม่มีเวลา
ตอนแรกตั้งใจว่าหลังเสร็จเรื่องแล้วก็ตั้งใจจะไปศึกษาอาการเก็บตัวต่อ
ดูแล้วตอนนี้……โห้หลีเฉินกำลังศึกษาเกี่ยวกับอาการเก็บตัวอยู่แล้วสินะ?
ฟังจากที่เขาพูด จะต้องเข้าใจมากกว่าเธอแน่นอน
เย้นหว่านรีบตามโก้หลีเฉินไป วิ่งไปถามไปว่า “แรบบิทในตอนนี้ มันจะไม่ส่งผลดีกับโห้หยูเซิงมากๆ เหรอคะ?”
โห้หลีเฉินตรงไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ อธิบายออกมาว่า
“มันต้องช่วยได้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้โห้หยูเซิงก้าวออกจากอาการเก็บตัวได้หรอกครับ ต่อให้เขาจะเปิดใจให้แรบบิทแล้ว แต่นั่นก็ยังอยู่แค่ในโลกของเขาเท่านั้น เขาเปิดใจให้แค่แรบบิทคนเดียวเท่านั้น โดยไม่ใช่การก้าวออกจากโลกของเขาเอง”
ถ้าอยากรักษาหยูเซิงให้หายจากอาการเก็บตัว ก้าวแรกที่ต้องทำ ก็คือให้เขาก้าวออกจากห้องนี้ให้ได้ก่อน”
ก้าวออกจากห้องนี้ เปิดใจยอมรับคนในบ้านนี้ แล้วค่อยก้าวออกจากบ้านหลังนี้ เปิดใจยอมรับคนที่อยู่โลกภายนอก
สำหรับเด็กที่ป่วยเป็นโรคเก็บตัวนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรการปีนขึ้นสวรรค์เลย
เย้นหว่านถึงการที่โห้หยูเซิงสามารถกลายเป็นเด็กปกติคนหนึ่ง คิดว่าการที่เขาสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เที่ยวเล่นเป็นเด็กที่ร่างเริงเหมือนกับแรบบิท
เมื่อก่อนเธอเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ มากๆ
ต่อให้มีป่ายฉีความช่วย ต่อให้เธอจะคอยดูแลอย่างสุดความสามารถ มันก็ยังเป็นไปได้อยากอยู่ดี
แต่มาตอนนี้ พอได้เห็นโห้หลีเฉินที่พูดออกมาอย่างจริงใจ ความหวังทั้งหลายที่อยู่ในใจเธอ มันก็ได้ผุดขึ้นมาอีกครั้งรู้สึกว่าบางทีมันอาจจะเป็นไปได้ อาจจะมีวันที่มันเป็นจริงขึ้นมา