หลายวันต่อจากนั้น เย้นหว่านก็ได้รู้ว่า สามีของเธอนั้นเป็นยอดมนุษย์จริงๆ
ไม่เพียงศึกษาอาการเก็บตัวจากในหนังสือ แถมยังร่วมหารือเกี่ยวกับแผนการที่จะโต้กลับหยูฉู่สองพร้อมกับเย้นโม่หลินอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่การฟื้นฟูขาของเขาก็ไม่ทำอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากตอนนอนที่ค่อนข้างน้อย นอกนั้นเขาก็แทบจะแยกตัวเองเป็นสามร่างแล้ว
ที่สำคัญคือ ผลที่ได้ยังดีมากด้วย
ราวกับพลังของเขานั้นมีไม่สิ้นสุด ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ด้วยเหตุนี้ เย้นหว่านเลยรู้สึกว่าง ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว
อาการป่วยของโห้หยูเซิงมีโห้หลีเฉินรับผิดชอบศึกษาค้นคว้า เขาถึงขั้นจัดเตรียมแผนการรักษาไว้ชุดใหญ่ เย้นหว่านแค่คอยให้ความร่วมมือ และปกติก็ไม่ต้องเข้าไปทำอะไร
ส่วนการโต้กลับตระกูลหยูนั้น มันยิ่งเป็นเรื่องของพวกผู้ชายเลย เธอยิ่งช่วยอะไรไม่ได้เข้าไปใหญ่
มีแค่การฟื้นฟูขาของโห้หลีเฉินเท่านั้นที่เย้นหว่านพอมีประโยชน์บ้าง แต่หลายวันมานี้ขาของโห้หลีเฉินก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน เวลาที่ต้องนวดกับทำกายภาพบำบัดก็น้อยลงทุกที สิ่งที่เย้นหว่านสามารถทำได้ก็น้อยลงไปด้วยเหมือนกัน
เธอยิ่งได้แต่มองดูโห้หลีเฉินยุ่งจนหัวหมุนอย่างว่างๆ ส่วนเธอก็แบบจะขึ้นราแล้ว
แต่ว่า ราที่ขึ้นก็เป็นราแห่งความสุข
เธอไม่ได้มีเวลาว่างแบบนี้มาเป็นเวลากว่าสองปีแล้ว มีคนในครอบครัวรายล้อมอยู่รอบตัว คนรัก ลูกๆ ทุกอย่างมันช่างสมบูรณ์เหลือเกิน
เย้นหว่านชงกาแฟไป มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะแย้มขึ้นมา
ร่างกายของเธอ กำลังถูกแสงแดดสาดส่อง แต่ว่าเธอนั้นเหมือนจะอบอุ่นยิ่งกว่าแสงแดดเสียอีก
“ชิ สาวน้อยกำลังอินเลิฟอย่างนั้นเหรอ? ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องหญิงสาวแต่งงานแล้วกำลังอินเลิฟสินะ”
กู้จื่อเฟยยืนพิงอยู่ที่ประตูของห้องชา และกำลังพูดแซวอย่างขบขัน
เย้นหว่านตั้งสติได้แล้วถลึงตาใส่เธอไปทีหนึ่ง “ใครกำลังอินเลิฟกัน? ฉันเปล่าสักหน่อยนะ”
“ใช่ เธอเปล่า สีหน้าที่อินเลิฟนั่นฉันคงตาฝาดไปเองแหละ”
เย้นหว่านหน้าแดงขึ้นมาทันที “กู้จื่อเฟย อีกนานแค่ไหนกว่าเธอจะแต่งงานกับพี่ชายฉันอย่างนั้นเหรอ? จนฉันกลายเป็นสาวที่แต่งงานแล้ว แต่พี่สะใภ้อย่างเธอยังไม่คิดที่จะจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องอีกเหรอ?”
“ฉันเองก็อยากจดทะเบียนให้มันถูกต้องตามกฎหมายอยู่หรอก” กู้จื่เฟยทำหน้าผิดหวัง “แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไปที่ตัวเมืองไม่ได้นะสิ”
ตระกูลเย้นทั้งตระกูลนั้นย้ายถิ่นฐานหลบซ่อนกันหมด ปิดบังตัวตนและได้ตัดขาดจากบุคคลภายนอกอย่างสมบูรณ์นอกจากคนที่พิเศษจริงๆ ส่วนคนอื่นในช่วงสองปีมานี้ก็ไม่เคยก้าวออกจากที่นี่มาก่อนเลย
กู้จื่อเฟยเองก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกมาสองปีแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องบัตรประชาชนที่ต้องไปต่อที่ตัวเมืองเลย ทันทีที่พวกเขาก้าวขาเข้าไปเดินเรื่อง ยังไม่ทันได้ออกจากตัวเมือง ก็คงโดนคนของหยูฉู่สองล้อมเอาไว้แล้ว
ยิ่งบวกกับสถานการณ์ที่คับขันอย่างตอนนี้ ยิ่งไม่มีทางคิดถึงเรื่องการไปจดทะเบียนสมรสเข้าไปใหญ่
พอเห็นกู้จื่อเฟยทำหน้าแบบนั้น เย้นหว่านก็พูดอะไรไม่ออกทันที
ตอนแรกตั้งใจแค่จะแซวกู้จื่อเฟย อยากทำให้เธอรู้สึกเขินอายบ้าง แต่กู้จื่อเฟยนั้นยังคงเป็นเครื่องบินขับไล่ในหมู่สาวห้าวเรื่องการแต่งงานนั้นก็ไม่รู้จักอายอยู่แล้ว
เย้นหว่านรู้สึกหมดอารมณ์ไปในทันที ล้มเลิกการโต้เถียง
เธอได้เทกาแฟที่ชงเสร็จลงไปในแก้ว “ฉันชงเสร็จแล้ว จะเอาไปให้โห้หลีเฉินนะ”
“ช่วยชงให้ฉันแก้วหนึ่งสิ ฉันจะเอาไปให้พี่เย้น”
เย้นหว่านมองบนใส่เธอ “ชงเองสิ” พูดจบ เธอก็เดินอ้อมกู้จื่อเฟยไป จากนั้นก็หยุดเดิน แล้วพูดเสริมขึ้นมาว่า “มันถึงจะมีความจริงใจในความรัก”
กู้จื่อเฟยเหมือนโดนลมหวานพัดจนเสียศูนย์ “เสี่ยวหว่าน ตอนนี้ทำไมเธอถึงใจแคบแบบนี้? เธอเองก็รู้นี่ว่าฉันชงกาแฟไม่เป็น”
ถึงแม้เย้นหว่านจะไม่ใช่ระดับแม่ครัว แต่อย่างน้อยพวกกับข้าวในบ้านก็ยังจัดการได้ ชงชาชงกาแฟก็ไม่ใช่ปัญหา แต่กู้จื่อเฟยนั้นไม่ไหวจริงๆ นอกจากต้มบะหมี่แล้วเธอก็ทำอะไรไม่เป็นเลย
เย้นหว่านเดินไปยิ้มไป “ไม่เป็นไร ยังไงพี่ฉันก็กินน้ำผึ้งผสมน้ำตาลจนชินไปแล้ว”
กู้จื่อเฟยอายจนหน้าแดง
สองปีมานี้ เนื่องจากรสมือของเธอไม่ได้เรื่อง มีแค่น้ำผึ้งผสมน้ำตาลที่ยังพอกินได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงมักจะทำน้ำผึ้งผสมน้ำตาลให้เย้นโม่หลินกินเป็นประจำ
แต่น้ำผึ่งผสมน้ำตาลมันไม่ช่วยให้สมองสดชื่นสักหน่อยนี่
เธอจ้องมองแผ่นหลังที่ได้อกได้ใจของเย้นหว่านด้วยความโกรธเคือง โกรธจนกระทืบเท้า ถ้ารู้แบบก็ไม่ไปแซวเย้นหว่านตั้งแต่แรกแล้ว
นี่ช่างใจแคบเข้าไปทุกทีแล้วจริงๆ
ในที่สุดก็ยั่วโมโหกู้จื่อเฟยสำเร็จจนได้ เย้นหว่านจึงค่อนข้างอารมณ์ดี แล้วเดินร้องเพลงไปอย่างสบายอกสบายใจไปส่งกาแฟให้โห้หลีเฉินที่สวนดอกไม้หลังบ้าน
อากาศข้างนอกค่อนข้างดี เป็นผลดีต่อการฟื้นฟูร่างกาย ในช่วงบ่ายๆ โห้หลีเฉินก็มักจะมาอ่านหนังสืออยู่ที่สวนดอกไม้
เพื่อไม่ให้รบกวนเขา คนอื่นๆ ก็ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด
“คุณโห้คะ ฉันเตรียมกาแฟมาให้คุณ หวานน้อยค่ะ”
เย้นหว่านเดินไปพูดไป เมื่อเสียงพูดสิ้นสุดลง เธอก็ได้เดินเข้ามาในสวนดอกไม้แล้ว สายตาที่ยิ้มแย้มของเธอได้มองไปที่ศาลา แต่เธอก็ต้องตกใจ
เพราะบนโต๊ะที่อยู่ตรงกลางศาลามีแค่โน๊ตบุ๊คเครื่องกับหนังสืออีกไม่กี่เล่มหนึ่งวางอยู่ ข้างๆ ก็มีรถเข็นจอดอยู่อย่างเงียบๆ ส่วนเจ้าของที่นั่งอยู่บนรถเข็นนั้น กลับไร้ซึ่งวี่แวว
โห้หลีเฉินหายไปไหน?
เขายังเคลื่อนไหวได้ไม่เต็มที่ ยังอยู่ห่างจากรถเข็นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ต้องนั่งรถเข็นไป
แต่ตอนนี้รถเข็นกลับจอดอยู่นี่
เย้นหว่านรู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที ตื่นเต้นจนใบหน้าเล็กๆ ถึงกับซีดเซียว แล้วรีบวิ่งเข้าไป มองไปรอบๆ แต่มันก็มีแต่ความเงียบ โดยไม่เห็นเงาของโห้หลีเฉินเลย
“โห้หลีเฉิน? โห้หลีเฉิน!”
เย้นหว่านตะโกนออกไปเสียงดัง
ตะโกนไปวิ่งไป
“คุณนาย เกิดอะไรขึ้นครับ?”
เว่ยชีวิ่งตามเสียงมา แล้วก็ได้เห็นเย้นหว่านกำลังตามหาโห้หลีเฉินอย่างร้อนรน
พอเย้นหว่านเห็นเขา จึงรีบวิ่งเข้าไปถามเขาว่า “โห้หลีเฉินล่ะ? เขาไปไหนแล้ว?
“คุณชายเขาอยู่ที่ศาลาตลอดเลยไม่ใช่เหรอครับ?”
ระหว่างที่เว่ยชีก็หันมองไปยังศาลา พอเห็นรถเข็นที่ว่างเปล่า สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เขาพึมพำออกมาเบาๆ “ผมอยู่ข้างนอกตลอด ไม่เคยเห็นคุณชายออกไปเลย…”
หัวใจของเย้นหว่านเต้นเร็วยิ่งกว่าเดิม รู้สึกเย็นมือเย็นเท้าขึ้นมาทันที
เว่ยชีเองก็ไม่เห็นโห้หลีเฉินออกไป
แต่โห้หลีเฉินจะหายไปดื้อๆ แบบนี้ได้ยังไง?
“คุณนายใจเย็นก่อนนะครับ อาจจะเป็นเพราะผมไม่ทันสังเกต แล้วถ้าคุณชายเดินออกไปทางอื่นล่ะครับ? เราไปตามหากันดูก่อนเถอะครับ”
ความน่าเชื่อถือของคำพูดนี้มันช่างต่ำซะเหลือเกิน ถ้าโห้หลีเฉินจะไปจริงๆ ก็ต้องเอารถเข็นของเขาไปด้วยสิ
เย้นหว่านร้อนรนจนสายตาพร่ามัว จนหัวใจแทบจะทะลักออกมาแล้ว
โห้หลีเฉินไม่มีทางหายไปอย่างไร้ร่องรอยแน่นอน
แต่ไม่น่าจะเดินออกไปคนเดียวด้วย
แต่เขากลับหายไป เขาคงจะไม่……
เพราะพวกเขากลับมา หยูฉู่สองได้ค้นเจอที่นี่ แล้วส่งคนมาจับตัวเขาไปรึเปล่า?
ยิ่งคิด เย้นหว่านก็ยิ่งรู้สึกว่าข้อสันนิษฐานนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก
เธอกระวนกระวายจนตาเริ่มแดง รีบเดินออกไปข้างนอก “รีบส่งคนออกไปไล่ตามเดี๋ยวนี้!”
“ไล่ตามเหรอครับ?” เว่ยชีทำหน้ามึนงง แล้วเห็นเย้นหว่านพุ่งตัวออกไปราวกับพายุ
ใจหนึ่งเขาก็เป็นห่วงเรื่องการหายตัวไปของโห้หลีเฉิน ส่วนอีกใจก็มองข้ามสภาพที่เย้นหว่านเป็นไม่ได้ หลังลังเลไปหลายวิ แล้วจึงตัดสินใจวิ่งตามเย้นหว่านไป
“คุณนายครับ นี่คุณตั้งใจจะทำอะไรครับ? คุณอย่าเพิ่งใจร้อน เรามาวางแผนกันก่อน”
เย้นหว่านไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น และวิ่งต่อไปอย่างไม่ยอมหยุด ตอนนี้ในหัวของเธอแค่อยากส่งคนออกไปตามหาโห้หลีเฉินทันทีเท่านั้น
เพื่อให้ได้ตัวเขากลับมา เธอก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น
ไม่อย่างนั้น เธอต้องเป็นบ้าแน่นอน