เทคนิคแปลงโฉมของเย้นหว่านป่ายฉีเป็นคนสอน เย้นหว่านรับผิดชอบตัวเองและโห้หลีเฉิน ป่ายฉีรับผิดชอบตัวเขาและเด็กหนุ่ม แบ่งงานกันทำ แล้วลงมือแปลงโฉมอีกครั้ง
ต่างก็แต่งเป็นคนในพื้นที่ ขึ้นบนรถ
โห้หลีเฉินขับรถ เย้นหว่านนั่งตรงข้างคนขับ ช่วยงานจิปาถะ
ป่ายฉีและเด็กหนุ่มก็ขับรถอีกคัน ขนน้ำ ตามมาด้านหลัง
บนถนนมีรถหลายสิบคัน ขับเข้าไปในทะเลทรายอย่างเอิกเกริก
ต่อให้มีม่านบังแดด ในรถเปิดแอร์ แต่อยู่ในทะเลทราย ก็ยังคงรู้สึกร้อนอยู่ดี
ไม่นาน เย้นหว่านก็เหงื่อแตกเต็มหน้า ดื่มน้ำไม่หยุด
โห้หลีเฉินหันหน้ามองเธอ สายตาเต็มไปด้วยความกังวลและเป็นห่วง “ที่นี่อากาศย่ำแย่มาก คุณยังไหวอยู่รึเปล่า?”
เย้นหว่านรีบส่ายหน้า “วางใจเถอะ ฉันสบายดี แค่ร้อนนิดหน่อยเท่านั้น คุณอย่าทำสายตาเสียใจที่พาฉันมาด้วยแบบนั้นสิ”
เย้นหว่านกลัวว่าโห้หลีเฉินจะไม่พาเธอไปด้วย
โห้หลีเฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ผมไม่อยากให้คุณลำบาก”
“อยู่กับคุณ ถึงแม้จะลำบาก ก็หวานชื่น”
เย้นหว่านยิ้มให้เขา
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและน่าเกลียดมากหลังจากการแปลงโฉม แต่มันสบายตาและสบายใจอย่างประหลาด
โห้หลีเฉินนิ่งขรึมสักพัก พูดอย่างไตร่ตรอง:
“เย้นหว่าน ที่ผมชอบอาจจะไม่ใช่คุณตอนนี้”
เย้นหว่านอึ้งไป “หมายความว่ายังไง?”
โห้หลีเฉิน: “ที่ผมรักคงจะเป็นวิญญาณของคุณ”
ดังนั้นไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปยังไง ไม่ว่าเธอจะขี้เหร่หรือสวย เขาเห็นแล้วก็ชอบทั้งนั้น
ขอแค่เป็นเธอ ทั้งหมดก็คือสวย
เย้นหว่านหน้าแดงในพริบตา หันหน้าไปมองนอกหน้าต่างอย่างเขินอาย
“เวลาไหนแล้ว คุณยังจะมาล้อเล่น”
คำพูดหวานซึ้งพูดซะน่าฟังขนาดนี้
ขณะพูด เย้นหว่านก็ดื่มน้ำอึกใหญ่อีกครั้ง ถึงจะทำให้ใจที่เต้นแรงค่อยๆสงบลงเล็กน้อย
หลังจากโห้หลีเฉินพูดขัดจังหวะแบบนี้ เดิมทีความรู้สึกที่กระวนกระวายอย่างมากของเย้นหว่าน กลับลดน้อยลงไปมาก
เธออดทน และตามขบวนรถไปจนถึงช่องมืด
จากนั้น ด้านนอกของที่นี่ไม่เหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้มาก
ที่นี่ไม่ใช่ปราสาททรายหลังหนึ่ง มีการคุ้มกันอยู่รอบด้าน มีชายชุดดำหน้าตาดุร้ายอยู่ทุกที่ แต่เป็น——
เหมือนเป็นหมู่บ้านที่กระจัดกระจายแห่งหนึ่งในทะเลทราย
ด้านนอกเป็นบ้านหลังเล็กแต่ละหลังล้อมเป็นวงกลม ด้านในก็เป็นบ้านที่กระจายเละเทะ คล้ายกับบ้านชาวนาที่อาศัยอยู่ด้วยกัน
มีแค่เฉพาะบ้านตรงจุดศูนย์กลางที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย เหมือนคณะกรรมการชุมชนในหมู่บ้าน เป็นสถานที่ที่ใช้ร่วมกัน
รถยนต์ขับเข้าไปอย่างช้าๆ
เย้นหว่านสังเกตรอบด้าน พึมพำกับโห้หลีเฉินเบาๆ “ที่นี่ดูแล้วไม่เหมือนองค์กรช่องมืดเลยสักนิด เป็นที่อื่นหรือเปล่า? ช่องมืดที่จริงแล้วไม่อยู่ที่นี่?”
โห้หลีเฉิน: “ที่นี่ก็คือช่องมืด แต่ก็ไม่ใช่ช่องมืด”
“หมายความว่ายังไง?”
สายตาของโห้หลีเฉินมองไปยังบ้านหลังที่เป็นศูนย์กลาง “ด้านนอกนั้นล้วนเป็นที่อยู่ของคนลาดตระเวน ด้านล่างนั้น ถึงจะเป็นฐานทัพที่แท้จริงของพวกมัน”
“ข้างล่างนั้น?”
เย้นหว่านตกตะลึง “คุณจะบอกว่าด้านล่างบ้านหลังนั้น ยังมีฐานทัพใหญ่อีก? ที่แท้พวกเขาสร้างหลบซ่อนอยู่ใต้ทะเลทราย”
“ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ องค์กรนี้จะซ่อนมาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไง? ไม่รู้จะถูกอำนาจกี่อย่างเข้าทำลายตั้งนานแล้ว”
ก็เพราะว่าพวกเขาหลบซ่อน ตอนนี้ถึงก้าวหน้าใหญ่โตแบบนี้ ทำร้ายเด็กๆและครอบครัวมากมาย
เย้นหว่าน: “เมื่อกี้ฉันเห็นอ่างเก็บน้ำด้วย ปกติน้ำของพวกมันน่าจะเอามาจากตรงนั้น แล้วค่อยส่งไปให้ด้านล่าง ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราก็มาถึงได้แค่ด้านบน เข้าไปฐานทัพจริงๆไม่ได้”
หากว่าเข้าไม่ได้ การปลอมตัวของพวกเขาก็หมดความหมาย
สุดท้ายก็ต้องสู้รบกันแบบซึ่งๆหน้า
โห้หลีเฉินเม้มปาก “สามีคุณจัดการ พึ่งพาไม่ได้ขนาดนั้นเลย?”
“หา?”
“ด้านล่างระเบิดแล้ว อ่างเก็บน้ำด้านบนก็ไม่มีความหมาย พวกเขารีบร้อนที่จะใช้น้ำ ก็ต้องส่งน้ำไปยังข้างล่างพื้นดินโดยตรง”
เย้นหว่านบนหน้าเต็มไปด้วยคำว่านับถือ
สามีเธอพึ่งพาได้จริงๆด้วย
เย้นหว่าน: “ฐานทัพใต้พื้นดินแบบนี้ ล้วนเป็นความลับสุดยอด พวกเรามากันตั้งหลายคน ยังมีหลายคนที่เป็นชาวบ้านจริงๆอีก คนของช่องมืดจะปล่อยพวกเราทั้งหมดเข้าไปได้ยังไง? ไม่กลัวความลับจะถูกเปิดเผยหรือไง?”
“เรื่องด่วนก็เปลี่ยนไปตามสถานการณ์”
โห้หลีเฉินอธิบาย หรี่ตาลงทันที “อีกอย่าง คนที่เข้าไปขอแค่ออกมาไม่ได้ ก็จะเผยความลับนี้ออกไปไม่ได้ตลอดกาล”
เย้นหว่านสูดหายใจเข้าเฮือก
“คุณหมายความว่า พวกเขาตั้งใจจะฆ่าปิดปากพวกเราทั้งหมดงั้นหรอ?”
โห้หลีเฉินพยักหน้า
เย้นหว่านรู้สึกแค่เย็นวาบตรงฝ่าเท้า แล้วก็ในใจเต็มไปด้วยความโมโห
นอกจากพวกเขา ที่มาที่นี่ยังมีชาวบ้านบริสุทธิ์อยู่อีกจำนวนมาก ใครจะไปคิดว่า ออกมาครั้งนี้ จะถึงแก่ชีวิต
และช่องมืดนี้ ฆ่าคนไม่กะพริบตา
สถานที่ที่โหดร้ายขนาดนี้ ไม่ควรมีอยู่แต่แรกแล้ว
“จะต้องทำลายที่นี่ทิ้งซะ! หัวหน้าของที่นี่ อย่าปล่อยไปแม้แต่คนเดียว”
โห้หลีเฉินพยักหน้า “เชื่อฟังภรรยาครับผม”
เย้นหว่านถึงจะหายโกรธลงมาหน่อย แต่วินาทีต่อไปถึงจะมีปฏิกิริยา โห้หลีเฉินพูดว่าอะไรนะ เชื่อฟังภรรยาครับผม?
เวลาแบบนี้ยังมาเย้าแหย่เธอ เสียสติจริงๆ
เป็นอย่างที่โห้หลีเฉินคิดไว้จริงๆ ขบวนรถพวกเขาขับเข้าไปถึงในโรงรถของบ้านหลังตรงกลางสุด
รถแต่ละคันขับตามกันเข้าไป แต่ว่าตอนที่พวกเขาขับไปถึงหน้าประตู ก็มองไม่เห็นว่ารถคันข้างหน้าไปไหนแล้ว
“ลงมาตรวจสอบ”
ชายเย็นชาหน้าตาดุร้ายพูดออกมาอย่างแข็งกระด้าง
โห้หลีเฉินและเย้นหว่านเดินลงมาด้วยกัน
การปลอมตัวของโห้หลีเฉินเป็นหน้ารูปสี่เหลี่ยม โครงหน้านิ่ง คิ้วทรงดาบ เป็นลักษณะของชายฉกรรจ์โหดเหี้ยมคนหนึ่ง
ดังนั้นเขาลงรถอย่างไร้ความรู้สึก มีออร่ามาก ก็ไม่รู้สึกผิดปกติ
เย้นหว่านเป็นลักษณะหญิงชาวนาคนหนึ่ง ทั้งดำทั้งธรรมดา ลงรถเห็นชายดุขนาดนี้ ก็รู้สึกขี้ขลาดนิดหน่อย ยืนอยู่อีกด้านอย่างหวาดกลัว ไม่กล้ามองไปเรื่อย
ผู้ชายคนนั้นใช้เครื่องมือสแกนบนร่างกายของทั้งสองคนรอบหนึ่ง
ผ่าน
ผู้ชายพูด: “เข้าไปเถอะ”
“ค่ะ ได้ค่ะ”
เย้นหว่านตกลงอย่างอ่อนน้อม แล้วก็เดินไปที่นั่งข้างคนขับทันที จะขึ้นไปนั่ง
แต่เธอพึ่งจะปีนขึ้นไป จู่ๆผู้ชายก็พูดขึ้น: “เดี๋ยว”
ขณะพูด เขาก็เดินเข้ามา ดึงเย้นหว่านออกจากข้างๆข้างคนขับ
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วในพริบตา ออร่าเยือกเย็นเล็กน้อยทันที แต่กลับแค่กำหมัดแน่น ไม่ได้ขยับ
เย้นหว่านตกใจ สีหน้าหวาดกลัวและขี้ขลาด “มีอะไรคะ?”
ผู้ชายยืนอยู่ตรงหน้าประตูฝั่งข้างคนขับมองเข้าไปข้างใน เอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำแร่ที่ว่างเปล่าสามขวดออกมา
“นี่มันอะไร?”
เย้นหว่านตอบอย่างประหม่า “ขวดน้ำแร่ไงคะ ดื่มหมดแล้ว”
“เธอดื่มระหว่างทางงั้นหรอ?” ผู้ชายซักถาม
ถามเจาะจงขนาดนี้ จะต้องมีปัญหาบางอย่างในนั้นแน่ แต่ว่าเย้นหว่านคิดไม่ออกว่าผู้ชายคนนี้ตกลงว่ามันเพราะอะไรกันแน่ กลัวว่าจะไม่ระวังเผยตัวตนออกไป เลยได้แต่ตอบอย่างจริงใจ
“ใช่ค่ะ”
ผู้ชายโยนขวดน้ำแร่ทิ้งทันที คว้าแขนของเย้นหว่านไว้แน่น เป็นท่าล็อคคอ
แววตาของโห้หลีเฉินเย็นยะเยือก พร้อมที่จะลงมือตลอดเวลา
เย้นหว่านเกร็งไปทั้งตัว “คุณทำอะไรคะเนี่ย? ปล่อยฉันนะ”