เมื่อกองกำลังป้องกันเห็นสถานการณ์เข้า พวกเขาก็หยุดอยู่กับที่ไม่กล้าขยับส่งเดช
ทว่าโอกาสยากที่เย้นหว่านจะปรากฏตัวนั้นมีน้อยมาก พวกเขาจะปล่อยให้เธอหนีไปไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาเลยจับตาจ้องเธออย่างระแวดระวัง
“เย้นหว่าน คุณคิดจะทำอะไร?”
เย้นหว่านที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุยในอาณาเขตของตระกูลหยู ทั้งยังพันระเบิดไว้ทั่วเรือนร่าง จะต้องมีจุดมุ่งหมายแน่ๆ
เวลาเหลือน้อยเต็มที เย้นหว่านก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงกับพวกเขา เธอพูดโพล่งออกมา
“ไปเรียกหยูฉู่สองมาพบฉัน”
กองกำลังป้องกันพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “คิดว่าอยากเจอท่านผู้นำตระกูลก็สามารถเจอได้อย่างงั้นหรือ?”
“ก็เข้าไปรายงานสิ บอกเขาว่าถ้าไม่มาภายในยี่สิบนาที ฉันจะกดระเบิด” เย้นหว่านมีสีหน้ามุ่งมั่น
กองกำลังป้องกันหันหน้ามองกัน “คุณเป็นคนตระกูลเย้น ตายก็ตายไปสิ คุณคิดว่าการตายของคุณจะกดดันท่านผู้นำตระกูลได้งั้นเหรอ? ท่านผู้นำตระกูลสิซ้ำอยากเอาชีวิตของคุณด้วยซ้ำไป!”
“อยากให้ฉันตาย จับฉันตอนยังมีชีวิตดีกว่านะ หยูฉู่สองยังรู้ความกว่าพวกนายเสียอีก ถ้าพวกนายยังยึกยักๆ ประวิงเวลา ทำให้เขาเสียโอกาสนี้ไป ระวังหัวของพวกนายไว้ให้ดี”
หลังจากเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ทำให้กองกำลังป้องกันคิดหนักจนเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง
เย้นหว่านมองนาฬิกา “เหลืออีกสิบเจ็ดนาที”
“ปะไปรายงานท่านผู้นำตระกูลเร็ว”
กองกำลังป้องกันส่งคนไปรายงานหนึ่งคน เพราะในอุโมงค์ไม่มีสัญญาณ เขาวิ่งออกไปโทรหาหยูฉู่สองอย่างเร่งรีบ
เย้นหว่านพลางมองเวลาที่นาฬิกาข้อมูล แววตาฉายแววลึกล้ำ
เหลือเวลาอีกสิบเจ็ดนาที……
หากบอกว่าไม่กลัว ก็คงเป็นการโกหก ทว่ามีแรงเฮือกหนึ่ง กำลังค้ำจุนให้เธอกระทำการการระห่ำทุกอย่างนี้
สิบสองนาทีต่อมา หยูฉู่สองก็มาถึง
เขายังคงมีท่าทางสูงส่งดั่งเดิม เขาสวมชุดสูทและรองเท้าหนัง ทรงผมถูกหวีเป็นทรงเรียบร้อย
สายตาเฉียบคมของเขาจับจ้องมาที่เย้นหว่าน จากนั้นก็พูดถึงเป้าหมายของเธอ
“คุณมาเพราะอย่างแลกเปลี่ยนตัวประกัน อยากให้ผมปล่อยกลุ่มของโห้หลีเฉิน?”
เย้นหว่านกะพริบตา หัวใจของเธอบีบเต้นกระชั้นชิด “คุณจับกลุ่มของโห้หลีเฉิน?”
“หึ ดูเหมือนคุณยังไม่รู้สินะ” หยูฉู่สองเหน็บแนม
เย้นหว่านตะลึงไปครู่หนึ่ง แค่อีกฝ่ายพูดเกลี้ยกล่อม เธอก็เผยไต๋แล้ว ความลับแตกที่เธอไม่ได้มีจุดมุ่งหมายมาเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกัน
หยูฉู่สองกวาดตามองระเบิดที่พันบนร่างกายของเธอ เขาเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“พูดมาเถอะ คุณมาทำอะไร”
เย้นหว่านก็ไม่อ้อมค้อม เธอเอ่ยขึ้น
“ฉันมาเพื่อทำข้อตกลง ให้กองกำลังของคุณถอนกำลังออกจากทะเลทราย ฉันจะเป็นตัวประกันของคุณเอง”
“คุณควรรู้ไว้นะ ว่าถ้าจับฉันเป็นตัวประกัน คุณจะมีอำนาจมหาศาล คุณจะมีอำนาจมากมาย จะเอาฉันไปกดดันตระกูลเย้นให้ทำสิ่งต่างๆ คุณจะมีอำนาจล่วงหน้าในสงครามครั้งนี้ได้เลย”
หยูฉู่สองหัวเราะ “เป็นคำเตือนที่ไม่เลว ทว่า มีเรื่องดีขนาดนี้ ของดีหล่นจากฟ้าเอาดื้อๆ? เย้นหว่าน ในความประทับใจของผม คุณก็ยังเป็นคนโง่งม ถึงได้ทำข้อตกลงบ้าระห่ำขนาดนี้
พูดได้เลยว่า ในสงครามระหว่างตระกูลหยูและตระกูลเย้น เย้นหว่านคือบุคคลที่สำคัญที่สุด
หากเธอโดนจับตัวไปล่ะก็ ย่อมบีบให้โห้หลีเฉินและตระกูลเย้นถึงกับลูบหน้าปะจมูก ถึงขั้นยอมแพ้เลยทีเดียว
เธอควรรู้ถึงความสำคัญของตนเองดี
สีหน้าของเย้นหว่านซีดเผือด ท่าทีดูสิ้นหวังเต็มประดา “ฉันต้องรู้อยู่แล้วว่าการทำข้อตกลงครั้งนี้มันหมายความว่าอะไร แต่ว่า ในยามที่ความเป็นความตายอยู่ตรงหน้า ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของตระกูลจะมีความสำคัญอะไร?”
“โห้หลีเฉินเป็นตายร้ายดีอยู่ในทะเลทรายก็ยังไม่รู้เลย จนบัดนี้พี่ชายของฉันก็ยังถูกขังอยู่ด้านล่าง ทั้งอดน้ำอดอาหาร พวกเขาทนได้ไม่กี่วันหรอกนะ”
“แต่พี่ของฉันและโห้หลีเฉินล้วนเป็นพวกนิสัยใจร้อน คุณไม่มีทางจับเป็นได้หรอก สุดท้ายก็มีจุดจบพังพินาศ” ดังนั้นที่ฉันมาทำข้อตกลงกับคุณในวันนี้ ก็เพื่อใช้ผลประโยชน์ของสงครามครั้งนี้แลกเป็นโอกาสเอารอดชีวิตในทะเลทราย”
หยูฉู่สองมองเย้นหว่านด้วยแววตาล้ำลึก กวาดตามองท่าทางน้ำตาคลอของเธอ ยิ่งได้รู้ถึงการตัดสินใจที่แท้จริงของเธอเมื่อครู่นี้
สุดท้ายเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง
ความใจอ่อนจะทำให้ให้การใหญ่พังทลาย
ทว่าเขากลับไม่เชื่ออย่างสนิทใจ “ตอนแรกคุณตัดสินใจง่ายๆ ในคืนเดียวได้ กระทั่งลูกน้องของผมทั้งหมดยังตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ คนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ผมก็ไม่มั่นใจว่าเป็นเย้นหว่านหรือเปล่า”
หากไม่ใช่เย้นหว่าน คนอื่นล้วนไม่สำคัญ
เย้นหว่านใช้มือข้างหนึ่งจับชนวนระเบิด มืออีกข้างหนึ่งดึงผิวหน้าตัวเอง
“หากท่านผู้นำตระกูลไม่เชื่อ ก็มาตรวจสอบด้วยตัวเองสิ” เธอพูดเสริมอีก “อนุญาตให้คุณตรวจด้วยตัวเอง คนอื่นฉันไม่ไว้ใจ อย่าได้เข้ามาใกล้ฉัน”
หยูฉู่สอง “ผมไม่รู้จักเทคนิคง่ายๆ แยกไม่ออกหรอกนะ”
“ลองใช้มีดปาดดูสิ จะได้รู้ว่าจริงหรือปลอม?” เย้นหว่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ราวกับเป็นการแนะนำเฉยๆ เย้นหว่านดูผิดแปลก เย้นหว่านกล้าหาญและสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด
เธอแทบไม่เหมือนเธอหญิงสาวธรรมดาที่ดูขลาดกลัวในแรกเจอลิบลับ
“ได้ ผมจะตรวจเอง”
หลังจากหยูฉู่สองลังเลไปพักหนึ่ง เขาก็ตอบรับ
พ่อบ้านที่ติดตามมาด้วยกล่าวกับเขาด้วยความเป็นห่วง “คุณชาย ระมัดระวังด้วย
“นี้เป็นอาณาเขตของตระกูลหยู เธอเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง พลิกฟ้าไม่ไหวอยู่แล้ว”
หยูฉู่สองรู้สึกสนใจในการจับเป็นเย้นหว่านมาก เขาเดินไปหาเย้นหว่านทีละก้าวๆ
เมื่อเดินถึงจุดที่ห่างจากเธอก้าวหนึ่ง เขาก็หยุดฝีเท้าลง
ในมือดึงมีดสั้นแหลมคมขึ้นมาหนึ่งเล่ม
“เย้นหว่าน ลงมีดครั้งเดียว คุณอาจเสียโฉมเลยนะ”
เย้นหว่านดูไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “แม้แต่ชีวิตฉันก็ไม่สนใจแล้ว ยังจะสนใจใบหน้าอีกเหรอ? หยูฉู่สอง ร่างกายฉันพันด้วยระเบิด การทำข้อตกลงของพวกเรา ฉันต้องมั่นใจก่อนว่าคนของคุณจะถอนกำลังออกจากทะเลทราย ฉันถึงจะปล่อยให้คุณเข้ามาจัดการ”
ความมุ่งมั่นของเธอ ทำให้หยูฉู่สองเริ่มเชื่อใจ เธอเป็นเย้นหว่าน
เพียงแต่ อย่างไรก็ต้องยืนยันให้แน่ชัด
หยูฉู่สองหง้างมีดขึ้น ก่อนจะฟันไปทางใบหน้าของเย้นหว่าน
เย้นหว่านตัวสั่นเทิ้ม ดวงตากะพริบมองใบมีดที่อยู่ใกล้ ลมหายใจหยุดชะงัก
เธอเตรียมรับความเจ็บแล้ว
วินาทีต่อมา ใบมีดของหยูฉู่สองพลันเปลี่ยนทิศทาง รวดเร็วฉับไว ทันใดนั้นก็ตัดสายระเบิดที่พันอยู่รอบเอวของเย้นหว่าน
ปุ่มกดในมือของเธอพลันหมดประโยชน์ในทันตา
หยูฉู่สองเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เขากระตุกอย่างประณีต เขากระตุกระเบิดบนเอวของเย้นหว่านออกมาทั้งหมด แล้วโยนไปด้านหลังไปทางกลุ่มกองกำลังที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร
เย้นหว่านสะดุ้งตกใจ สีหน้าตื่นตะลึง
“คะ คุณ!”
หยูฉู่สองพลันเอื้อมมือ ล็อกคอของเย้นหว่านด้วยสีหน้าลำพองใจและชั่วร้ายมาก
“คุณคิดว่าท่านผู้นำตระกูลรับผิดชอบแค่เรื่องบริหารและการทหาร? ผมเองก็ผ่านการฝึกพิเศษมา คุณพันระเบิดมาลวกๆ แบบนี้ ช่างเด็กน้อยจริงๆ”
เขาขยับเข้ามาใกล้ ไม่ใช่เพื่อกรีดใบหน้าของเธอ แต่เพื่อรื้อระเบิดออก
จากนั้นก็จับเป็นเธอ
กระทั่งจับกุมเธอไว้ในกำมือ ไม่ต้องการให้เธอเป็นฝ่ายควบคุมการทำข้อตกลงบ้าบอนี้
เขาไม่เพียงจับเย้นหว่านได้ ยังสามารถขุดโห้หลีเฉินและเย้นโม่หลินออกมาจากทะเลทรายได้ จับพวกเขาแยกออกจากกัน
หยูฉู่สองหัวเราะอย่างย่ามใจ “เย้นหว่าน คุณมันโง่เสียจริง”
เย้นหว่านถูกล็อกคอจนกระดุกกระดิกไม่ได้ สีหน้าแดงก่ำ ทว่าจิตใจยังคงสงบนิ่ง
ดวงตาของเธอมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ
สิบเก้านาทีห้าสิบห้าวินาที
เธอหัวเราะ