เดิมทีอารมณ์ของโห้หลีเฉินก็ตกต่ำมาก แต่พอเขาเห็นคำที่เขียนอยู่บนกระดาษใบนั้น สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างอธิบายไม่ถูก
เก่อหรูซวนเองก็เห็นข้อความข้างต้น อารมณ์ที่ดีของเธอ กลายเป็นตำหนิออกมาในทันที
“เธอทำแบบนี้ได้ยังไง เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะคะ ไม่สนใจสถานการณ์โดยรวมเอาซะเลย!”
ด้วยมารยาทและความเคารพ ถึงแม้ฟีเจ๊กมอนจะนั่งถัดจากโห้หลีเฉิน เขาก็ไม่ได้อ่านเนื้อหาของเอกสารในมืออีกฝ่าย
แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเก่อหรูซวน แล้วเห็นใบหน้าที่เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวเศร้า แล้วมีความสุขผสมปนเปกันไป เขาทนความอยากรู้ไม่ได้จริงๆ
เขาแอบเหลือบตามอง เนื้อหาในกระดาษแผ่นนั้นในแนวทแยงมุม
หลังจากนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปหมด
“นี่ นี่แกล้งกันเล่นหรือไง?”
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ทำอะไรตามอำเภอใจและไร้สาระมาก นี่มันคำพูดของภรรยาผู้บริหารระดับสูงระดับโลกอย่างนั้นเหรอ
เห็นแค่บนกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า
“คุณโห้ มันไม่มีประโยชน์ที่คุณจะฉีกสัญญาการหย่าร้างทิ้ง เราแยกกันอยู่มาสามปีแล้ว ฉันสามารถฟ้องหย่าและรับใบหย่าได้ในไม่กี่นาที
ถ้าคุณไม่ต้องการจะหย่า ตอนนี้รีบไล่เลขาของคุณออก ยกเลิกข้อตกลงการร่วมลงทุนกันในครั้งนี้ซะ แล้วกลับมาหาฉันที่บ้าน
คุณจะเลือกงานหรือเลือกฉัน ให้เลือกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง
จากคุณนายโห้ที่รักของคุณ”
เก่อหรูซวนหน้าซีดเผือด พยายามระงับความตื่นตระหนกของเธอไว้ แล้วยกยิ้มปลอบใจฟีเจ๊กมอนอย่างมืออาชีพ
“คุณฟีเจ๊กมอนคะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ภรรยาของท่านประธานคงจะเล่นตลกกับสามีค่ะ ท่านประธานรู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ดี ความร่วมมือระหว่างสองบริษัทของเราเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เราจะเซ็นสัญญากับคุณก่อนแน่นอนค่ะ”
ฟีเจ๊กมอนรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางโห้หลีเฉินอย่างจริงจัง แล้วพูดว่า
“คุณโห้ ถึงเวลาเซ็นต้องสัญญาแล้ว เรามาเซ็นสัญญากันก่อนให้เสร็จก่อน ผมไม่สนเรื่องส่วนตัวของคุณ หลังจากเซ็นสัญญาเสร็จคุณไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ คุณไปหาภรรยาของคุณได้เลย”
นี่เป็นการยอมถอยเพื่อไว้หน้าให้เขา เขาคิดว่าโห้หลีเฉินคงไม่คิดจะปฏิเสธแน่นอน
จากนั้นโห้หลีเฉินก็ขยับสายตาออกจากกระดาษแผ่นนั้น
เขามองไปทางฟีเจ๊กมอน น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเด็ดเดี่ยว “ขอโทษด้วย สัญญาของเราคงไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ แผนการต่างๆ ของคุณในเมืองหนานยังคงเหมือนเดิม ผมจะส่งเก่อหรูซวนไปดูแลคุณตลอดการเดินทาง”
“อะไรนะ?” ฟีเจ๊กมอนเบิกตากว้าง ท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อ “โห้หลีเฉิน เพราะความเอาแต่ใจของภรรยาคุณ คุณคิดจะละทิ้งความร่วมมือครั้งใหญ่แบบนี้จริงๆ เหรอ นี่เป็นโอกาสที่คุณจะได้เป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจระดับโลก เราทำการเตรียมตัวมาครึ่งปีแล้วนะ!”
คำตอบของโห้หลีเฉิน เขาหันหลังกลับโดยไม่ลังเล แล้วเดินออกไปนอกห้องประชุมอย่างรวดเร็ว
เท้าของเขาดูเหมือนวิ่งไปตามอากาศ เขามีท่าทางดีใจมาก
อยากจะรีบไปหาภรรยาให้เร็วที่สุด
พอนักข่าวเห็นโห้หลีเฉินยกเลิกความร่วมมือ แล้วเดินจากไปอย่างกะทันหัน พวกเขาก็ส่งเสียงฮือฮาอย่างรวดเร็ว รีบถ่ายรูปและถ่ายทอดอย่างบ้าคลั่ง
“สุดยอดเลย เมื่อตะกี้ไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม คุณโห้ยุติความร่วมมือนี้เพราะภรรยาของเขาอย่างนั้นเหรอ?”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่เขียนบนกระดาษแผ่นนั้น เป็นข่าวของเย้นหว่านภรรยาของคุณโห้เหรอ?”
“สามปีผ่านไปแล้ว คุณโห้ยังคงให้ความสำคัญกับเย้นหว่านมาก น่าซาบซึ้งใจจริงๆ เลย”
……
เก่อหรูซวนยืนอยู่ทื่ออยู่ตรงนั้น มองแผ่นหลังของโห้หลีเฉินด้วยสีหน้าซีดเผือด
เธอติดตามเขามาสองปีแล้ว
ตลอดมาเขาเป็นคนนิ่งเฉยและเย็นชา สงบเหมือนน้ำนิ่ง จากจุดที่ต่ำที่สุดปีนป่ายมาจนถึงจุดยืนที่สูงขนาดนี้ เขาก็นิ่งสงบไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏบนใบหน้า
เรื่องทุกอย่าง เขากำลังดำเนินไปอย่างตามขั้นตอนทุกอย่าง เขาให้ความสำคัญกับงานของเขามากกว่าชีวิต ขั้นตอนทั้งหมด ล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา
เธอเคยคิด ว่าเขาเป็นคนที่สงบ และมั่นคง
เธอนึกว่า เขาจะรู้ดีว่าเขาควรทำอะไร และเป้าหมายของเขาคืออะไร
แต่ในเวลานี้ เธอถึงได้รู้ว่า ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยเข้าใจโห้หลีเฉินจริงๆ เลยสักครั้ง
และไม่เคยเห็น โห้หลีเฉินท่าทางร้อนใจ และรีบร้อนขนาดนี้มาก่อน
เพียงเพราะว่า อารมณ์ทั้งหมดของเขา เกิดขึ้นได้เพราะเย้นหว่าน และเพียงเพราะเย้นหว่านถึงได้อารมณ์แปรปรวน
สามปีแล้ว แต่เขายังรักเย้นหว่าน เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
บริเวณพื้นที่ของหัวใจมีน้ำแข็งเกาะกุมกันเป็นชั้นๆ ทำให้หัวใจของเธอเหมือนมีผลึกน้ำแข็งล้อมรอบ ความแหลมคมของน้ำแข็งทิ่มแทงหัวใจของเธอจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วมีเลือดหยดลงมา
เก่อหรูซวนปวดใจแทบตาย และยังเกลียดชังและแค้นเคืองมากขึ้นด้วย
เธอกำหมัดแน่น เล็บของเธอจิกเข้าไปในผิดเนื้อบริเวณฝ่ามือ
เย้นหว่าน ทำไมเธอถึงต้องกลับมาด้วย
เย้นหว่าน เธอจะฆ่าเขาหรือไง
เย้นหว่าน เธอมันน่าตายนัก
……
โห้หลีเฉินขับรถเอง เขารีบกลับไปที่บ้านพักในอาคารส้ายน่าอย่างรวดเร็ว
พอเขาลงจากรถก็รีบพุ่งเข้าไปในบ้านพักทันที
ในขณะที่เขาเดินไปที่ห้องโถง กลิ่นอาหารก็โชยเข้ามาทางจมูกของเขา ทำให้เขาชะงักไปทันที
เขามองไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว จึงเห็นว่าในห้องครัว มีหญิงสาวสวยสวมผ้ากันเปื้อน ในมือขับทัพพีไว้ แล้วส่งยิ้มมาให้เขา
“คุณโห้ ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ”
กลับบ้าน
สองคำนี้เหมือนกระแสไฟฟ้าจู่โจมเข้าใส่หัวใจของเขา ทำให้หัวใจที่ว่างเปล่าของเขาถูกเติมเต็มในทันที
บ้านที่เงียบเหงาหลังนี้ ในที่สุดก็ดูเหมือนบ้านสักที
มีกลิ่นหอมของข้าวปลาอาหาร มีความอบอุ่น มีเธอ
ขอบตาของโห้หลีเฉินร้อนผ่าว มุมปากของเขายกยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะเดินไปทางเย้นหว่าน
เขาอยากจะกอดเธอ จูบเธอ และนอนกับเธอ
แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่อยากจะรอ
“หยุดเลยค่ะ”
เย้นหว่านใช้ทัพพีชี้ไปที่เขา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา กลายเป็นดุร้ายทันที
โห้หลีเฉินหยุดอย่างเชื่อฟัง แล้วมองเธออย่างสงสัย “มีอะไรหรือเปล่า?”
เย้นหว่านใช้ทัพพีชี้ไปที่พื้นข้างหน้าเธอหนึ่งเมตร ซึ่งมีแผ่นกดเท้าปูอยู่
เธอพูดขึ้นมา “คุกเข่าลง”
โห้หลีเฉิน “…”
“ที่รักครับ อย่าดื้อสิครับ มาให้ผมกอดหน่อย”
เขายิ้มแล้วเดินไปหาเธอ
มือของเย้นหว่านจับสะโพก แล้วเบ้ปากอย่างโมโห “คุกเข่าลง ไม่อย่างนั้นฉันจะไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย”
ฝีเท้าของโห้หลีเฉินหยุดชะงัก
ความหวาดหวั่นเข้าครอบงำหัวใจ “คุณอย่าไปไหนนะครับ ขอแค่คุณยอมอยู่ต่อ ฉันยอมทำทุกอย่าง”
เขาไม่ลังเลอีก งอเข่าลง ตึง แล้วคุกเข่าลงไปอย่างแรง หลังของเขายืดตรง ท่าทางสง่างาม
เย้นหว่านพอใจกับสิ่งนี้มาก แต่ก็ยังมองไปที่เขาอย่างโมโห แล้วเอ่ยถาม
“คุณสำนึกผิดหรือยัง?”
สำนึกผิดเหรอ?
สำนึกผิดเรื่องอะไรกัน?
โห้หลีเฉินดูสับสน และงุนงง ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“สำนึกผิดแล้วก็ได้ครับ ที่รักยกโทษให้ผมด้วย”
สีหน้าของเย้นหว่านดีขึ้น “แล้วคุณผิดตรงไหน?”
โห้หลีเฉิน “…”
แล้วเขาจะรู้ว่าเขาผิดตรงไหนได้ยังไงกัน?
เขาขมวดคิ้ว ท่าทางดูคิดหนัก นิ่งคิดอย่างจริงจัง แล้วถามอย่างไม่มั่นใจ “เรื่องที่กลับมาช้าเหรอ”
“ตอนที่ผมได้รับเอกสารของคุณ ผมควรจะรีบกลับมาทันที ไม่ควรจะพูดอะไรไร้สาระ ครั้งนี้ที่รักยกโทษให้ผมได้ไหมครับ ครั้งหน้าผมจะไม่ทำอีก”
เย้นหว่านส่ายหน้า “ไม่ใช่เรื่องนี้ พูดใหม่สิ”
โห้หลีเฉินรู้สึกอึดอัด ใช้สมองของเขานิ่งคิดอยู่สักพัก “ผมไม่ควรร่วมงานกับฟีเจ๊กมอน ผมไม่ได้เซ็นสัญญานะ ผมจะใส่ชื่อเขาในบัญชีดำ และจะไม่ร่วมงานกับเขาอีก”