“งั้น…นั่งบนตักผมเป็นไง”
คณะผู้บริหารห้าร้อยคน “…”
พวกเขามองโห้หลีเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ เดิมคิดว่าการกระทำของเย้นหว่านนั้นแย่แล้ว แต่ไม่คิดว่าคำพูดที่โห้หลีเฉินเอ่ยออกมานั้นจะหนักยิ่งกว่า
ท่าทางงอแงของเย้นหว่านนั้นเรียกว่า ทว่าการให้ความร่วมมือของโห้หลีเฉิน กลายเป็นความแสดงความรักต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก
นี่เป็นการประชุมอยู่นะ ยังคิดจะให้คนตั้งใจทำงานอยู่หรือเปล่า
เย้นหว่านเองก็ตกใจกับการกระทำของโห้หลีเฉิน เธอคิดว่าอย่างมากเขาคงจะให้คนยกเก้าอี้เข้ามาให้ นั่งอยู่ข้างๆ เขาก็เพียงพอแล้ว
แต่เขากลับให้เธอนั่งลงบนตักเขา
ลูกน้องกว่าห้าร้อยคนกำลังมองอยู่ เขาไม่สนใจตำแหน่งท่านประธานของเขาหน่อยหรือ
ในหัวเย้นหว่านนั้นหลากหลายอารมณ์ ทั้งสับสนทั้งเขินอาย
เก่อหรูซวนที่กำลังนำรายงานนั้นก็เงียบลงไป ราวกับลำคอมีหนามแหลมทิ่มแทง ทิ่มแทงจนเธอทรมานแทบตาย
นิ้วมือของเธอกำเอกสารเอาไว้แน่น ปั้นหน้ายิ้มออกมา เอ่ย “คุณนายกลับมาแล้ว ท่านประธานอารมณ์ดี นับวันยิ่งรู้จักล้อเล่นมากขึ้น เดี๋ยวฉันจะเรียกคนเอาเก้าอี้เข้ามาให้…” มา…
คำพูดของเธอยังไม่ทันจบ ก็มองเห็น เย้นหว่านสาวเท้าเดินไปนั่งลงบนตักโห้หลีเฉิน
ร่างเล็กของเธอเอนพิงไปด้านหลัง ร่างทั้งร่างกำลังม้วนตัวอยู่ในอ้อมแขนของโห้หลีเฉิน
ท่าทางสนิทสนมนั้น ไม่สนใจดวงตากว่าห้าร้อยคู่ที่มองมาด้วยซ้ำ
เก่อหรูซวนเองก็เอ่ยต่อไปไม่ถูก คล้ายกับมีคนตบหน้าอย่างแรง อึดอัดใจจนใบหน้าของเธอนั้นราวกับไร้แรง เย้นหว่านยังเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมแขนของโห้หลีเฉิน ส่งยิ้มเย้ยหยันมาให้เธอ
เก่อหรูซวนโกรธจนแทบกระอักเลือด
เมื่อรู้สึกว่าสายตาของพนักงานกว่าห้าร้อยคู่นั้นกำลังมองสายตาสับสนของเธอ ความทะนงตนเมื่อสักครู่ ก็อึดอัดใจมากทีเดียว
เธอไม่สามารถเงยหน้ามามองสบตากับผู้คนเหล่านั้นได้ด้วยซ้ำ
มองท่าทางแทบบ้าของเก่อหรูซวน เย้นหว่านก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา สบายใจแล้ว แม้แต่มองโห้หลีเฉินก็ยังรื่นหูรื่นตา
เธอยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน หยิบแอปเปิลหนึ่งชิ้นยื่นไปที่ริมฝีปากของโห้หลีเฉิน “คุณทำงานคุณเถอะ เดี๋ยวฉันป้อน”
โห้หลีเฉินจ้องมองเธอนิ่ง อ้าปากรับแอปเปิลและกินเข้าไป
ใบหน้าของเขาปิดบังรอยยิ้มเอาไว้ไม่มิด
แม้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของเย้นหว่าน เพื่อแสดงความรักให้ทุกคนได้เห็น ทำให้เก่อหรูซวนโกรธ แต่เขาก็ยังมีความสุข ถึงอย่างไรก็มีเพียงเวลาแบบนี้ ที่เย้นหว่านแสดงท่าทีสนิทสนมและเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน
ดูเหมือนว่า โอกาสแบบนี้ เขาต้องสร้างมันขึ้นมาบ่อยๆ ถึงจะได้
เหล่าพนักงานกว่าห้าร้อยคนไหนเลยจะรู้ว่าท่านประธานของพวกเขานั้นมีความคิดเช่นนี้ ไม่สนใจชีวิตของพวกเขาเลยสักนิด
เมื่อเห็นว่าท่านประธานกอดร่างเล็กตลอดการประชุม แต่ละคนต่างพากันนิ่งอึ้ง อีกทั้งยังแทบระเบิดออกมาต่อการแสดงความรักนั้น
พวกเขาอิจฉาเป็นบ้า ซ้ำยังอยากร้องไห้ไร้น้ำตา
เย้นหว่านป้อนทั้งแอปเปิลทั้งองุ่น จากนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเก่อหรูซวน เอ่ยถามอย่างสงสัย “เลขาเก่อ ทำไมคุณไม่รายงานต่อแล้วละคะ รีบพูดสิคะ อย่าทำให้คนอื่นเสียเวลา”
สายตาของทุกคนหันมายังใบหน้าของเก่อหรูซวน เห็นความอึดอัดและความอับอายที่เธอซ่อนเอาไว้ไม่ทัน
พวกเขาเห็นอกเห็นใจ
และมีบางคนแอบดีใจ
หญิงสาวทั้งสอง แม้จะยืนขนาบซ้ายขวาของท่านประธาน แต่เมื่อพูดถึงความสำคัญนั้น แตกต่างกันมากทีเดียว
เก่อหรูซวนจะเก่งแล้วอย่างไร ต่อหน้าภรรยาท่านประธาน ก็เป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งเพียงเท่านั้น
หลังจากการขัดจังหวะครั้งนี้ การประชุมก็ดำเนินต่อไป
เพียงแต่ต่อให้เก่อหรูซวนจะทำออกมาดีมากเพียงใด ก็ยังไม่อาจโดดเด่นเกินกว่าเย้นหว่านที่คอยป้อนผลไม้ให้โห้หลีเฉินได้
ในที่สุดการประชุดที่กดดัน สับสนวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็จบลง
โห้หลีเฉินเองทำตามความต้องการของเย้นหว่าน ให้เหล่าผู้ถือหุ้นร่วมโหวตยกอำนาจให้แก่เย้นหว่าน ต่อหน้าทุกคน
เมื่อเหล่าผู้ถือหุ้นได้ยินเช่นนั้น ต่างก็พูดคุยกันด้วยความตกใจ ยิ่งได้ยินว่าจะให้พวกเขาโหวต ทุกคนจึงหันมามองสบตากัน พูดคุยปรึกษา
เย้นหว่านกลับไม่ร้อนใจและไม่ตื่นเต้น นั่งพิงอยู่ในอ้อมแขนของโห้หลีเฉินอย่างสบายใจ
เธอเอ่ยเสียงเบากระซิบกับเขา “คุณโห้ คุณว่าจะมีกี่คนที่สนับสนุนฉัน มีถึงเก้าในสิบส่วนไหม ยังไงฉันก็เป็นภรรยาของท่านประธาน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณขนาดนี้ พวกเขาคงจะสนับสนุนฉันเพื่อเอาใจคุณไหมนะ”
ดวงตาของโห้หลีเฉินกระตุกเล็กน้อย มือใหญ่ลูบผมเย้นหว่านอย่างอ่อนโยน
“มีกี่คนสนับสนุนคุณก็ช่าง ถึงแม้จะไม่ได้อำนาจมา คุณอยากทำอะไร ก็ใช้คอมพิวเตอร์ของผมได้”
เย้นหว่านส่ายหน้า “นั่นไม่เหมือนกัน ถ้าได้อำนาจมา นั่นเป็นการยอมรับต่อสถานะของฉัน ถ้าไม่ได้ ก็แสดงว่าฉันพ่ายแพ้ให้แก่เก่อหรูซวน ฉันไม่อยากแพ้ให้เธอ”
ดวงตาของโห้หลีเฉินทะมึนลง ริมฝีปากของเขาขยับ ไม่ได้พูดอะไรอีก
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขานั้นไม่ได้ดีมาก
เย้นหว่านจ้องมองเขา เอ่ยถามกึ่งจริงจังกึ่งล้อเล่น “คุณโห้ ท่าทางแบบนี้ของคุณ คล้ายกำลังคิดว่าฉันจะแพ้งั้นเหรอ คุณไม่เชื่อใจต่อผู้ลงทุนของบริษัทคุณเลยเหรอ”
“ได้ยังไงกัน” โห้หลีเฉินหัวเราะ ใบหน้าหล่อเหลาแทบจับผิดไม่ได้ “ความคิดของผมที่มีต่อพวกเขาไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ รอดูผลโหวตของพวกเขาก็พอแล้ว”
เย้นหว่านเม้มปากยิ้ม เข้าใจชัดเจนอยู่ในใจ หากเป็นเมื่อก่อน โห้หลีเฉินคงมั่นใจ คนที่เขารัก ลูกน้องของเขาไม่รักได้หรือ แบบนั้นคงโดนไล่ออก
แต่เขาในตอนนี้ กลับถอยไม่เอ่ยอะไรออกมา
จากนั้น ผลของการโหวตออกมาแล้ว แสดงบนจอโปรเจคเตอร์
เก่อหรูซวนอ่านออกมาด้วยรอยยิ้มมีความสุข “ผลคะแนนโหวต สนับสนุนยกอำนาจที่สองให้แก่เย้นหว่าน 135 คะแนน ไม่สนับสนุนการยกอำนาจที่สองให้แก่เย้นหว่าน 342 คะแนน คนอื่นงดออกเสียง”
“ดังนั้น ผลคะแนนโหวต คะแนนผู้สนับสนุนไม่ถึงครึ่ง เย้นหว่านไม่สามารถใช้อำนาจที่สองของบริษัท”
เก่อหรูซวนมองเย่นหว่านด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ตั้งใจเอ่ยปลอบเสียงดัง
“คุณนาย อย่างเสียใจไปเลยนะคะ อย่างไรคุณก็ไม่เชี่ยวชาญ คงดูแลบริษัทไม่ไหว ต่อไป ดูแลเรื่องถ้วยน้ำชาต่อไปก็พอแล้วค่ะ เรื่องของบริษัท อย่าเอามาใส่ใจเลย”
ผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว ต่อไปเย้นหว่านอยากเข้ามายุ่งเรื่องใดในบริษัท เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ถึงอย่างไร เก่อหรูซวนก็มีเหล่าผู้ลงทุนสนับสนุนอยู่กว่าเจ็ดส่วน
ใบหน้าของเย้นหว่านไม่น่ามองเล็กน้อย เธอนั่งตัวตรงบนตักของโห้หลีเฉิน สายตาเย็นเหยียบกวาดมองคนที่ไม่ได้สนับสนุนเธอ
“ที่แท้หลายคนก็ไม่สนับสนุนฉัน พวกคุณ ฉันเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินแบบนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย มีคนตำแหน่งสูงอายุราวห้าสิบ เอ่ยเสียงเข้ม
“คุณนาย เลขาเก่ออยู่ที่นี่ คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับบริษัทก็ไม่มาก หากให้อำนาจที่สองแก่คุณ นั่นถือว่าไม่รับผิดชอบต่อผลประโยชน์บริษัท ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่สนับสนุนคุณ แต่เพื่อคำนึงถึงบริษัท หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
“หากว่าฉันไม่เข้าใจล่ะ”
เย้นหว่านไม่ได้อ่อนข้อ เอ่ยถามกลับไปเสียงแข็ง