บทที่ 132 พาคนในครอบครัวมาเหรอ
เดิมทีโห้หลีเฉินไม่มองหล่อนเต็มๆ ตาเลย แม้กระทั่งตอนนี้เหมือนยังไม่พอใจหล่อนมากด้วย การไล่หล่อนออกไปก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกเวลา
แต่หล่อนจะยอมแพ้แบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ? หล่อนอยากแต่งเข้าตระกูลโห้แทนเย้นหว่าน แล้วกลายเป็นคุณนายตระกูลมหาเศรษฐี
เย้นหว่านกลับไม่รู้ว่าในใจเย้นซินมีแผนการพวกนี้ ด้วยความเคยชินกับการเป็นมืออาชีพจึงเดินโซนเสื้อผ้าไป คิดจะดูแนวโน้มความนิยมของฤดูกาลนี้หน่อย
ขณะเดินดูของอยู่ดีๆ ไหล่เย้นหว่านเหมือนจะโดนชนจนเคลื่อนจากที่เดิม
และร่างกายของเธอก็ถอยหลังไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สายตามองเห็นว่าใกล้จะล้มลงบนพื้น
นี่เป็นพื้นหินอ่อน ล้มกระแทกลงไป คงต้องเจ็บแย่แน่
เย้นหว่านรู้สึกเพียงว่าเธอออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์ ถึงตกต่ำขนาดนี้
เธอหลับตาอย่างเป็นทุกข์ รอถูกชนล้มเจ็บไปทั้งตัว แต่ว่าหลังร่างกายของเธอร่วงลง ความเจ็บปวดในจินตนาการกลับไม่มี เธอตกเข้าในอ้อมกอดที่กว้างใหญ่และอบอุ่นของชายหนุ่ม
กลิ่นสดชื่นที่หอมของชายหนุ่มโชยมาตรงหน้า สบายมาก
และมีความคุ้นเคยนิดๆ
เย้นหว่านเงยหน้า มองเห็นหน้าของมู่จื่ออี้แล้ว เขาแต่งตัวให้ตนเองดูเป็นหนุ่มหล่อเหลา ร่าเริงน่าดึงดูด
“ไม่เป็นไรนะ?”
เขามองเธออยู่ สายตาละมุนละไมที่สุด
เย้นหว่านส่ายหน้า ยืนขึ้นมาจากอ้อมอกของเขา “ไม่เป็นไร ถูกชนนิดหน่อยเท่านั้น ต้องขอบคุณคุณแล้ว ไม่งั้นฉันต้องล้มแย่เลย”
มู่จื่ออี้ยิ้ม “ดูเหมือนพวกเรามีพรหมลิขิตกันมากเลยนะ ถึงให้ผมรีบมาทันเวลาขนาดนี้”
“คงใช่แหละ”
เย้นหว่านได้เจอเขา อารมณ์จึงไม่เลวนัก
เย้นซินยืนอยู่ด้านข้าง สังเกตมู่จื่ออี้ขึ้นๆ ลงๆ อยู่รอบหนึ่ง รู้สึกเฉียบแหลมมาก สายตาที่มู่จื่ออี้มองนั้น แตกต่างออกไปเหลือเกิน
ดังนั้นหล่อนจึงถามขึ้นก่อน “พี่ เขาเป็นใครกัน?”
“เพื่อนฉันเอง มู่จื่ออี้”
เย้นหว่านหันหน้าแนะนำกับมู่จื่ออี้ “น้องสาวฉัน เย้นซิน”
“ที่แท้ก็เป็นน้องสาว สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณ”
มู่จื่ออี้ยื่นมือไปแบบสุภาพบุรุษมาก รอยยิ้มบนใบหน้าน่าดึงดูดและชวนให้ใกล้ชิด
เป็นชายหนุ่มที่หล่อมาก
เย้นซินอดอิจฉาอยู่บ้างไม่ได้ เย้นหว่านเป็นเพียงลูกสาวบุญธรรมเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรที่หนุ่มหล่ออย่างโห้หลีเฉิน มู่จื่ออี้ต่างมาล้อมรอบเธอ?
หลังจากทักทายกันง่ายๆ มู่จื่ออี้ก็มองเย้นหว่าน แล้วพูดกับเธอว่า
“ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ ที่นี่มีกุ้งมังกรเล็กอยู่ร้านหนึ่ง อร่อยเป็นพิเศษ”
พูดถึงกุ้งมังกรเล็ก เย้นหว่านก็นึกถึงภาพน่าอับอายที่โห้หลีเฉินป้อนกุ้งมังกรเล็กให้เธอกิน
ยังมีที่น้ำซอสลวกมือเพราะเธออีก
เธอคิดแล้วตอบปฏิเสธ “วันนี้ไม่ได้หรอก ฉันควรกลับได้แล้ว”
รอยยิ้มบนหน้าของมู่จื่ออี้หนักหน่วง อารมณ์ที่มองเย้นหว่านซับซ้อน ผิดหวังอยู่บ้าง
เสียงของเขาต่ำมาก “เสี่ยวหว่าน คุณกำลังหลบผมเหรอ?”
เป็นเพราะหลังจากวันนั้นที่เขาสารภาพรัก เพื่อนกันก็ไม่เป็นแล้วเหรอ
เย้นหว่านรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่นะ คือโห้หลีเฉินบาดเจ็บแล้ว สองวันนี้ฉันกำลังดูแลเขาอยู่ เดี๋ยวต้องกลับไปช่วยเขาเตรียมอาหารเย็น”
ถึงแม้โห้หลีเฉินจะใช้มือข้างเดียวสามารถทำเรื่องได้มากมาย แต่เขาเจ็บมือซ้ายไป มือขวาก็เหมือนจะพิการตามไปด้วย อย่างไรเสียตอนทานข้าวต้องเป็นเธอที่ตักซุป ตักข้าว คีบกับข้าว……
“คุณดูแลเขา?” มู่จื่ออี้ขมวดคิ้ว “เขาได้รับบาดเจ็บ ให้คนดูแลหรือว่าแม่บ้านดูแลก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“อาจจะเป็นพวกคนรวยจู้จี้มั้ง เขาเลยไม่ให้แม่บ้านเข้ามาในบ้านเขา”
ในฐานะผู้ชาย เขากลับรู้ว่าเกรงว่านี่จะไม่ใช่เรื่องจู้จี้ แต่เป็นเพราะโห้หลีเฉินจงใจ……
เย้นหว่านและโห้หลีเฉินเพียงแค่หมั้นกันหลอกๆ ทำให้เขามีความหวังขึ้นมา แต่ถ้าโห้หลีเฉินมีความคิดอย่างอื่นต่อเย้นหว่าน นั่นจะกลายเป็นคู่แข่งที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดของเขา
มู่จื่ออี้มีความรู้สึกวิกฤติอย่างรุนแรง
เย้นหว่านมองดูเวลา ยิ้มพูดกับมู่จื่ออี้ “เวลาพอสมควรแล้ว ฉันไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน”
มู่จื่ออี้เหมือนทำโดยจิตใต้สำนึก ยื่นมือจับเย้นหว่านเอาไว้
ฝ่ามือของชายหนุ่มเย็นอยู่บ้าง สัมผัสบนผิวหนังที่สบายตัวมาก แต่เย้นหว่านกลับรู้สึกไม่สะดวกเท่าไร
เธอดึงมือกลับมาโดยสัญชาตญาณ “เป็นอะไรรึเปล่า?”
มองมือที่ว่างเปล่าของตนเอง ในใจมู่จื่ออี้มีความผิดหวังชั่วขณะหนึ่ง แต่ยิ่งแน่วแน่เพิ่มขึ้น เขาไม่สามารถเสียเวลาได้อีกแล้ว
ยิ่งไกลออกไป เย้นหว่านกับเขาก็ยิ่งยากจะเข้ากันติด
แต่ว่าเธอเป็นคนที่เขาไม่อยากปล่อยไป
กดอารมณ์ที่ซับซ้อนไว้ในใจ มู่จื่ออี้บอก “พรุ่งนี้เย็นมากินข้าวด้วยกันเถอะ ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
เย้นหว่านนิ่งไป เหมือนจะปฏิเสธ เขาจึงเสริมไปอีกประโยค
“ค่ำๆ หน่อยก็ได้ คุณสามารถดูแลโห้หลีเฉินกินข้าวเสร็จแล้วค่อยออกมา ผมรอคุณได้”
คนอื่นเขาพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เย้นหว่านก็เกรงใจที่จะปฏิเสธอีก
ในใจของเธอนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบมู่จื่ออี้ดีต่อเธอ ดูแลเธอมา และเห็นแก่ที่เขาเป็นเพื่อน
ดังนั้นเธอจึงพยักหน้า “ได้ คุณจองเรียบร้อยแล้วส่งที่อยู่ให้ฉันนะ”
“ได้ ผมจะรอคุณ”
ใจที่พะวงของมู่จื่ออี้ ชั่วขณะนั้นก็สงบลงดังเดิม
เขามองเย้นหว่านอย่างปลื้มใจ ในสายตามีความอ่อนโยนที่ปิดไม่มิด
เย้นหว่านกลับไม่ได้สังเกตเห็น แต่มองเวลาไป แล้วโบกมือลากับมู่จื่ออี้ไป
“งั้นพรุ่งนี้เจอกัน ฉันไปก่อนแล้ว”
กลับไปเวลานี้ รีบไปทานอาหารเย็นพอดี
หวังว่ารถอย่าติดเลย
มู่จื่ออี้ส่งเย้นหว่านออกไป สายตาอ่อนนุ่มดั่งน้ำ
เย้นซินเดินตามเย้นหว่านมา ค่อยๆ หันหน้ามองมู่จื่ออี้ทีหนึ่ง สายตาของหล่อนแฉลบรอยยิ้มชั่วร้าย เต็มไปด้วยแผนการลับๆ ล่อๆ
หล่อนกังวลว่าจะหารอยแตกร้าวกับโห้หลีเฉินไม่เจอ ตอนนี้โอกาสก็มาส่งถึงที่ขนาดนี้เลย
……
วันต่อมา ตอนที่ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น เย้นซินเป็นฝ่ายรุกมาหาเย้นหว่านก่อน
“พี่ ถ้าไม่อย่างนั้นพี่ไปกินข้าวกับเพื่อนพี่เถอะ โดยเฉพาะไปช้าเกินคงไม่ดี พวกเรื่องตักซุปพี่เขยทางนี้ ฉันสามารถช่วยได้”
สองวันนี้ เย้นซินเชื่อฟังมาก ไม่ได้ทำเรื่องที่หาเรื่องให้คนรังเกียจอะไร อยู่เหมือนคนไม่มีตัวตน
โห้หลีเฉินไม่สนใจต่อหล่อน และไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
เย้นหว่านคิดแล้วรู้สึกว่าโห้หลีเฉินเพียงแค่ทานข้าวเท่านั้น ความจริงเธอไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ก็ได้
อีกอย่างเย้นซินก็ช่วยได้หน่อย
คิดแบบนี้เย้นหว่านจึงพยักหน้า “ฉันจะไปบอกโห้หลีเฉินหน่อยแล้วกัน”
โห้หลีเฉินกำลังจัดการงานในห้องหนังสือ มองเห็นเย้นหว่านมาแล้ว จึงวางเอกสารในมือลง
มองเธอด้วยสายตาริบหรี่
พูดหยอกเย้า “ทำไม คิดถึงฉันแล้วเหรอ?”
ยังไม่ถึงเวลาทานข้าว แต่เธอเข้ามาในเวลานี้ คงไม่ใช่มาเรียกเขาทานข้าว
เย้นหว่านแก้มแดงเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้ ตอนนี้นับวันยิ่งไม่มีอะไรต้องห้าม พูดจาเปิดเผย
เธอยืนอยู่ที่ไม่ไกลนัก พูดกับเขาไป
“เพื่อนฉันนัดไปกินข้าวเย็นนี้ เจอกันสักหน่อย ดังนั้นฉันเลยอยากออกไปสักครู่”
วิธีมาบอกเขาแบบนี้ เหมือนสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันเลย
โห้หลีเฉินอารมณ์ไม่เลว “ฉันจะไปด้วยกันกับเธอ”
เย้นหว่านตะลึงไป เขาไปด้วยกัน? นั้นถือว่าเรื่องอะไร เธอพาคนที่บ้านไปด้วยเหรอ?