หน้าจอโทรศัพท์ มีใบหน้างดงามของกู้จื่อเฟยปรากฏขึ้นมา
เธอยิ้มแย้มร่าเริง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เย้น ฉันคิดถึงพี่จังเลย”
ใบหน้าที่เย็นชาของเย้นโม่หลินก็ละลายลงทันที เขาพูดเสียงต่ำอย่างไม่เขินอายว่า “ป่ายฉีกับเสี่ยวหว่านก็อยู่ที่นี่นะ”
“ฉันคิดถึงพี่ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังสักหน่อย~”
กู้จื่อเฟยไม่อายเลยสักนิด เธอยิ้มและพูดว่า “ให้ฉันดูเสี่ยวหว่านกับคนอื่นๆหน่อย ได้ยินว่าป่ายฉีบาดเจ็บนี่?”
ป่ายฉีที่กำลังอดทนกับการทำแผลใหม่: “……” น้ำเสียงที่สมน้ำหน้านี้มันอะไรกัน?
เย้นโม่หลินก็หมุนกล้องไปทางพวกเขา ให้กู้จื่อเฟยได้เห็นพวกเขาชัดๆ
มองจากมุมของกู้จื่อเฟยแล้ว เย้นหว่านกำลังหันหลังให้เธอและทำแผลให้ป่ายฉีอยู่ เธอเห็นสีหน้าที่ซีดขาวและหน้าบึ้งตึงของป่ายฉี
ตอนแรกกำลังจะพูดกับเย้นหว่าน แต่กลัวว่าจะทำให้เธอเสียสมาธิ ก็เลยพูดถึงป่ายฉีแทน
“อุ๊ยตายแล้ว ครั้งก่อนก็เพิ่งถูกหานจื่อแทง ตอนนี้ก็ถูกฟันจนแขนขวาหักอีก ป่ายฉี นายนี่มันจริงๆเลยนะ เพื่อจีบสาวทำได้ทุกอย่างเลยนะเนี่ย”
ป่ายฉีหน้าบึ้งตึงกว่าเดิม
ฟังสิ ฟัง กู้จื่อเฟยพูดอะไรออกมาล่ะนั่น?
พูดประชดประชันคนป่วยแบบนี้ ไม่เห็นใจกันบ้างเลยหรือไง?
ถ้าไม่ใช่เพราะมีโทรศัพท์กั้นไว้ เขาคงเข้าไปเย็บปากกู้จื่อเฟยเองแล้วล่ะ
แต่เพราะมีโทรศัพท์กั้นไว้เลยทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นป่ายฉีจึงยึดหลักที่ว่าสุภาพบุรุษตกลงกันด้วยวาจาไม่ใช่ด้วยกำลัง เขาจึงไม่สนใจเธออีก
กู้จื่อเฟยเห็นสีหน้าหดหู่ของเขา ก็หัวเราะหนักกว่าเดิมอีก
จากนั้นเธอก็พูดต่อว่า “ได้ยินมาว่า ก่อนหน้านั้นนายกับหานจื่อต่อสู้กันสามวันสามคืน สูสีกันมาก บาดเจ็บแค่เล็กน้อย ยากที่จะตัดสินแพ้ชนะได้ ทำไมสุดท้าย หานจื่อถึงทำร้ายนายจนสาหัสขนาดนี้ได้ล่ะ?”
“จึ๊! ก็หมายความว่า ก่อนหน้านี้หานจื่อออมมือให้นายตลอด ไม่ได้ลงมือเด็ดขาด สุดท้ายได้รับคำสั่งถอยกลับของหัวหน้า ก็เลยจำใจต้องกลับไป ถึงได้ลงมือกับนายจริงจัง ในสถานการณ์ที่คับขัน เธอจึงต้องทำร้ายนายจริงๆ ป่ายฉี หานจื่อก็ถือว่าดีกับนายอยู่นะ เธอต้องมีใจให้นายแน่ๆ”
ได้ยินคำพูดวิเคราะห์ของกู้จื่อเฟย ป่ายฉีกลับรู้สึกเหมือนมีไฟกำลังปะทุขึ้นในอก
เขาอดไม่ได้ตอบโต้ไปว่า “มีใจให้แล้วยังทำร้ายฉันได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ? คนมีความรักอย่างพวกเธอ รักกันจนหน้ามืดตามัวไปแล้วหรือไง”
กู้จื่อเฟยเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดว่า: “งั้นเสี่ยวหว่านกับโห้หลีเฉินรักกันปานจะกลืนกิน ทำไมเมื่อวานถึงทะเลาะกันขนาดนั้นล่ะ? เสี่ยวหว่านแย่งบริษัทของโห้หลีเฉินไป แถมยังเอาโซ่ล่ามเขาไว้บนเตียงด้วย”
โห้หลีเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็หน้าบึ้งตึงทันที
แม้จะเป็นแค่การแสดง แต่เรื่องนี้ก็เป็นอดีตที่เขาไม่อยากหวนกลับไปคิดถึงมันอีกแล้ว
ช่วงเวลาที่ถูกภรรยาตัวเองเหยียบไว้ใต้เท้าและกระทืบไปมา……
ป่ายฉีมองไปที่โห้หลีเฉินอย่างเห็นใจ
จากนั้นก็ตอบโต้เสียงแข็งว่า “สถานการณ์พวกเขาเหมือนกันหรือไง? เสี่ยวหว่านจะทำยังไง ก็ไม่มีทางแทงโห้หลีเฉินหรอก”
กู้จื่อเฟยดูถูกเขา ความหมายคล้ายกันแค่นี้เขาก็ไม่รู้หรือไง?
“ไม่ผุแล้วสลักไม่ได้ งี่เง่ามากกว่าพี่เย้นในเมื่อก่อนอีกนะ”
เย้นโม่หลิน: “……” ว่าป่ายฉีก็ว่าแค่ป่ายฉีสิ จะเอาเขาไปเปรียบเทียบทำไมกันนะ
เขารู้สึกไม่พอใจ เลยมองค้อนป่ายฉีไปแรงๆ
สายตาพิฆาตของเย้นโม่หลินร้ายกาจมาก ทำเอาป่ายฉีขนลุกซู่ มุมปากเขากระตุกอย่างอดไม่ได้
หาเรื่องเย้นโม่หลินคงไม่ไหว ก็เลยต้องระบายความโกรธที่กู้จื่อเฟยแทน เขาสะบัดหน้าไปทางอื่น ไม่สนใจกู้จื่อเฟยอีก
เย้นหว่านทำแผลให้เขาเสร็จ ก็กลับหลังหันแล้วยิ้มให้กู้จื่อเฟย
จากนั้นก็พูดหยอกล้อว่า: “จื่อเฟย ตอนนี้เขายังปากแข็งได้ เดี๋ยวต่อไปเขาคงได้ขายหน้ากับคำพูดวันนี้ของเขาแน่ เธอแค่อัดวิดีโอหน้าจอนี้ให้ดีก็พอแล้วล่ะ”
กู้จื่อเฟยกับเย้นหว่านตกลงกันได้ “เดี๋ยวฉันจะตัดท่อนนี้เก็บไว้ แล้วเอาไปเผยแพร่ให้ทุกคนได้ดูกัน”
ป่ายฉี: “……” บ้ากันไปใหญ่แล้ว ยังไงก็ไม่มีทางมีวันนี้หรอกนะ เหอะ! เขาจะไม่สนใจผู้หญิงสองคนนี้อีกแล้ว
หลังจากที่หยอกล้อกันเสร็จแล้ว กู้จื่อเฟยมองดูสีหน้าและอารมณ์ของเย้นหว่านก็ถือว่ายังดีอยู่ เธอก็วางใจได้ไม่น้อย
เธอพูดต่อว่า: “ฉันเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ช้าสุดพรุ่งนี้ก็คงถึงเมืองหนานแล้วล่ะ”
ได้ยินคำนี้ เย้นหว่านก็ตะลึง
กู้จื่อเฟยจะมาเมืองหนานเหรอ?
ก็จริง อำนาจที่ควบคุมโห้หลีเฉินอยู่เบื้องหลังก็ถูกกำจัดแล้ว ตอนนี้เมืองหนานก็ปลอดภัยแล้วล่ะ ไม่เพียงแต่กู้จื่อเฟย กงจืออวีสองสามีภรรยาก็จะมาเหมือนกัน
ไม่เจอกันสามปี เย้นหว่านคิดถึงพ่อแม่มาก แต่ว่า……
“พวกเธอยังมาไม่ได้ อยู่ที่บ้านตระกูลเย้นไปก่อน จะยังไปที่ไหนไม่ได้เด็ดขาด”
เย้นหว่านรีบพูดขึ้น “ฝู้ยวนแม้จะไม่เหลืออะไรแล้ว การจับตัวเขาก็เป็นแค่เรื่องเวลาเท่านั้น แต่วันนี้ฉันไปเจอฉู่หยุนซีมา ถึงได้รู้เรื่องของท่านอาวุโสเจ็ดในตระกูลหยู”
“เงื่อนไขครั้งนี้ที่ฉู่หยุนซีให้พวกเรา ก็คือจับตัวท่านอาวุโสเจ็ดเป็นๆไปให้เขา เขาเสนอเงื่อนไขนี้มา ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า แม้แหล่งข่าวของเขา ก็ตามหาท่านอาวุโสเจ็ดไม่ได้”
“เมื่อก่อนท่านอาวุโสเจ็ดมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับฝู้ยวน ตอนนี้ดูแล้ว ฝู้ยวนอาจจะไม่ใช่หัวหน้า แต่เป็นท่านอาวุโสเจ็ดมากกว่า แต่ท่านอาวุโสเจ็ดซ่อนตัวได้ดีเดินไป แถมยังมีอำนาจและอิทธิพลของตระกูลหยู ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาพัฒนาถึงไหนแล้ว พวกเขาเหมือนงูพิษที่พร้อมจู่โจมพวกเราตลอดเวลา จะต้องระวังให้ดี”
กู้จื่อเฟยตะลึง ต่อมาเธอก็ขมวดคิ้วเป็นปม
“ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ อันตรายยังไม่หายไปเลยนี่ งั้นฉันก็คงไม่ได้เจอพวกเธออีกนานเลยน่ะสิ”
เย้นหว่านก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน
เธออยากเจอกู้จื่อเฟยจนใจและพ่อแม่จนใจจะขาดอยู่แล้ว
แต่อันตรายยังอยู่ ตระกูลเย้นจะไม่มีคนคอยปกป้องไม่ได้ พ่อแม่จะออกจากตระกูลเย้นแล้วมาเสี่ยงอันตรายไม่ได้ ไม่งั้นคงไม่รู้ว่าท่านอาวุโสเจ็ดจะจู่โจมมาเมื่อไหร่
กู้จื่อเฟยก็จะมาไม่ได้เหมือนกัน หนึ่งเธอไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ สองเธอเป็นแฟนของเย้นโม่หลิน ถ้าตกอยู่ในมือคนร้าย ก็คงกลายเป็นตัวประกัน มันจะทำให้ฝ่ายเราเสียเปรียบได้
“สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะแล้ว ชีวิตของแรบบิทไม่อยู่ในเงื้อมมือของพวกนั้นแล้ว ดังนั้นเรื่องทุกอย่างก็กระจ่างหมดแล้ว พวกเขาสามารถโจมตีพวกนั้นได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัว ไม่นานพวกเราก็จะจับพวกนั้นได้เร็วๆ”
ด้วยอำนาจของตระกูลเย้นและโห้หลีเฉิน ดวลกันในที่สว่าง พวกนั้นได้แพ้ราบคาบแน่นอน
เทียบกับก่อนหน้านั้นที่เย้นหว่านเพิ่งกลับมาถึงเมืองหนาน มันง่ายและสบายกว่าเยอะมาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังติดเครื่องติดตามไว้บนตัวหานจื่อด้วย
แม้ท่านอาวุโสเจ็ดจะซ่อนได้เนียนแค่ไหน ก็ต้องติดต่อกับฝู้ยวนแน่นอน ขอแค่ติดต่อกัน ก็จะจับข้อบกพร่องจากตัวฝู้ยวนได้
การจะจับท่านอาวุโสเจ็ดก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
กู้จื่อเฟยเห็นเย้นหว่านมั่นใจ เธอก็ค่อยโล่งอกหน่อย และสุดท้ายก็เตือนเธอด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เสี่ยวหว่าน ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอเก่งมาก แต่เธอไม่เหมือนกับผู้ชายพวกนี้ เธอจะต้องปกป้องตัวเองให้ดีก่อนนะ อย่าเอาแต่พุ่งไปข้างหน้าคนเดียว ยืนอยู่ข้างหลังบ้าง ให้พวกเขาปกป้องเธอ รู้ไหม?”