เย้นหว่านรู้สึกอบอุ่นใจ จากนั้นก็ยิ้มและพยักหน้า “รู้แล้วน่า ที่จริงฉันก็ไม่ชอบสู้เท่าไหร่หรอก ถ้าเลี่ยงได้ฉันก็ไม่พุ่งเข้าหาปัญหาหรอกนะ นี่ยังมีคนบื้อที่ยอมทำทุกอย่าง รู้ทั้งรู้ว่ารักษาแบบนี้จะต้องเจ็บแขนไปตลอดชีวิตก็ยังจะพุ่งเข้าไป วางใจได้ ฉันไม่โง่เหมือนเขาหรอก”
ป่ายฉีโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “พวกเธอสองคนน่ะสิบ้า กล้านินทาว่าร้ายซึ่งๆหน้ากันเลยเหรอ คิดว่าฉันเจ็บแขนแล้วจะไม่กล้าทำอะไรพวกเธอใช่ไหม?”
เย้นหว่านหน้าซีด แล้วรีบฟ้องพี่ชายตัวเอง “พี่คะ ป่ายฉีจะทำร้ายฉัน”
รอบตัวเย้นโม่หลินเต็มไปด้วยแรงอาฆาต เขาเดินไปข้างเตียงอย่างเร็ว แล้วยื่นโทรศัพท์ให้เย้นหว่าน
สายตาเยือกเย็นที่ดุจดั่งปีศาจกำลังจ้องมองป่ายฉีอยู่ “พวกเธอออกไปก่อนเลย ฉันจัดการเจ้าหมอนี่เอง”
“รับทราบค่ะ พี่ชาย”
เย้นหว่านถือโทรศัพท์แล้วรีบเดินออกไปทันที
ด้านหลังของเธอมีเสียงร้องโอดครวญของป่ายฉีดังขึ้น
“โอ๊ย! เจ็บๆๆ!”
“นี่ เบาหน่อยๆ ฉันเป็นคนป่วยนะ ผู้ป่วยน่ะรู้จักไหม โอ๊ย……เจ็บ……”
“ฉันไม่กล้าแล้ว ฉันไม่กล้าอีกแล้ว……บอกว่าไม่กล้าอีกแล้วไง……โอ๊ย…….”
ได้ยินเสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด ทางกู้จื่อเฟยก็หัวเราะจนหยุดไม่อยู่
เย้นหว่านมองดูท่าทางเธอแบบนั้น ปกติคงรังแกป่ายฉีบ่อยมากเลยสินะ
เย้นหว่านพูด “ป่ายฉีบาดเจ็บอยู่เลยนะ เธอไม่กลัวว่าพี่ชายฉันจะสร้างแผลใหม่ให้เขาเหรอ?”
หยอกล้อและทะเลาะกันเป็นบางครั้ง แต่ทุกคนก็คิดกับป่ายฉีเหมือนครอบครัวเดียวกัน และเป็นห่วงสุขภาพความปลอดภัยของเขาเสมอ
กู้จื่อเฟยอมยิ้ม “เธอวางใจได้ พี่เย้นมีประสบการณ์จัดการเขาดี ทำให้เขาเจ็บปวดและไม่สร้างบาดแผลเพิ่มอีก”
ปกติทำแบบนี้บ่อยเลยสินะ
เย้นหว่านแอบจุดเทียนและภาวนาให้ป่ายฉีในใจ เหมือนลืมเรื่องที่เมื่อกี้ตัวเองเป็นคนฟ้องพี่ชายตัวเอง
ต่อมาก็มีเสียงหัวเราะสะใจของกู้จื่อเฟยดังขึ้น
วันถัดมา พวกเขาก็เดินทางไปตามเส้นทางที่หานจื่อหนีไป
พวกเขาไม่ได้ไล่ตามไปในวันนั้นเลย เพราะกลัวว่าฝู้ยวนจะไหวตัวทันก่อน และให้หานจื่อเปลี่ยนเส้นทาง แบบนี้พวกเขาจะตามตัวฝู้ยวนได้ยากกว่าเดิม
เริ่มออกเดินทางตอนวันที่สอง ระยะทางห่างกันมาก และแบ่งกลุ่มออกไปค้นหาหลายๆกลุ่ม แม้ฝู้ยวนจะมีสายคอยจับตาดู ก็คงคิดว่าพวกเขากำลังตามหาโดยไม่มีจุดหมาย
คงไม่สงสัยว่าพวกเขากำลังไล่ตามหานจื่อ
อีกอย่างกลุ่มที่ไล่ตามไปนั้นก็ออกเดินทางเงียบๆไม่ให้เป็นจุดเด่น ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว หานจื่อไม่มีทางรู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกสะกดรอยตามแน่นอน
ตอนเย็นวันที่สาม หานจื่อที่รีบเดินทางอย่างรวดเร็ว ก็มาหยุดอยู่ในหุบเขาลึก
ดูจากดาวเทียมแล้ว หุบเขานั้นยังไม่ได้รับการพัฒนา อยู่กลางหุบเขาและไร้ผู้คน
หานจื่อไปที่นั่นโดยไม่มีสาเหตุ มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น ก็คือไปหาฝู้ยวน
และแหล่งกบดานของฝู้ยวนก็อาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้
โชคดีที่ป่ายฉีติดเครื่องติดตามไว้บนตัวหานจื่อ ไม่งั้นต่อให้สายสืบของโห้หลีเฉินตามหาทั่วโลก แต่สถานที่ที่ไม่มีร่องรอยการใช้ชีวิตของมนุษย์ การจะตามหาตัวฝู้ยวน อีกสองปีก็คงหาเขาไม่เจอหรอก
แต่ตอนนี้ คอยดูเถอะฝู้ยวน
ตอนวันที่สี่ ท้องฟ้ามืดลงแล้ว กลุ่มของเย้นหว่านหยุดอยู่บนภูเขาอีกลูกที่ไกลออกจากที่อยู่ของหานจื่อ
พวกเขาไม่กล้าเอาเครื่องบินเข้าไปใกล้ ไม่งั้นพวกนั้นจะไหวตัวทันแล้วหนีไปก่อน
แม้จะอยู่ตรงนี้ ก็ตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนแล้ว ไม่มีสายลับที่แอบอยู่ พวกเขาถึงกล้าจอดที่นี่
“ก่อนฟ้าสว่าง จะต้องขับผ่านภูเขานี้ไปให้ได้ ไปยังป่าที่หานจื่ออยู่”
เย้นโม่หลินพูดเสียงทุ้มต่ำ
ครั้งนี้พวกเขานำกำลังคนมาน้อยมาก มีแค่เย้นโม่หลิน ป่านฉี เย้นหว่าน โห้หลีเฉินและถังจุ้ยห้าคน
คนยิ่งน้อยก็หมายความว่า นี่จะเป็นศึกของการลอบโจมตี
สำหรับคนอื่นเย้นโม่หลินไม่ได้เป็นห่วงมาก แต่เขากลับเป็นห่วงเย้นหว่านมากกว่า “ที่นี่เป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่ไม่เคยมีมนุษย์เข้าไปเลย มีสัตว์ร้ายกับงูและแมลงมีพิษ ทางยังทุรกันดารด้วย หน้าผาและทางสูงชันก็อาจจะเจอได้ทุกที่ เสี่ยวหว่าน เธอไหวใช่ไหม?”
เย้นหว่านพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ฉันไหว เมื่อก่อนตอนหนีออกจากบ้าน ฉันก็เคยเดินอยู่ตามถนนในภูเขาหลายวัน นี่แค่คืนเดียวเอง จิ๊บจ๊อยมาก”
เย้นหว่านพูดอย่างภาคภูมิใจและดูมั่นใจมาก แต่สีหน้าของเย้นโม่หลินกลับมืดมนลง ความรู้สึกสงสารเธอขึ้นมาจับใจ
เขารักและเอ็นดูน้องสาวมาก แต่น้องสาวเขากลับต้องตกระกำลำบากโดยที่เขาไม่รู้อะไรเลย
สีหน้าโห้หลีเฉินตึงเครียดขึ้น ลมหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ
เย้นหว่านเห็นบรรยากาศตึงเครียดลง ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด เธอจึงรีบหัวเราะแล้วเปลี่ยนเรื่องไปที่ถังจุ้ยแทน
“ทุกคนอย่าจริงจังขนาดนั้นสิ ถังจุ้ยสอนเทคนิคการใช้ชีวิตในป่าให้ฉันไม่น้อยเลยนะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก และฉันเป็นลูกหลานตระกูลเย้น ทุกคนก็เก่งมากด้วย ฉันไม่อ่อนแอขนาดนั้นหรอกนะ ตอนนี้สิ ฉันถึงมีสิทธิ์เป็นคุณหนูของตระกูลเย้นจริงๆ”
เย้นหว่านรู้ว่าเย้นโม่หลินรักตัวเองมาก เธอพูดอะไรก็ถูกไปหมด
โห้หลีเฉินแม้จะปวดใจมาก แต่เขาก็เก็บซ่อนอารมณ์ไว้ได้อย่างดี เขายื่นมือไปแล้วโอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
แล้วพูดเสียงแข็งว่า “เดี๋ยวเธอหลบอยู่หลังฉันนะ ตามรอยเท้าฉันมา”
ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นยังไง ขอแค่มีเขาอยู่ข้างกาย เธอก็ยังคงเป็นภรรยาตัวน้อยที่ต้องมีเขาคอยปกป้องเสมอ เขาจะมอบเวทีให้เธอได้แสดงออก ขณะเดียวกันก็จะปกป้องเธอด้วยเหมือนกัน
เย้นหว่านก็ไม่ทำตัวแข็งแกร่งอีก เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม ได้สิ”
หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเขาไม่ได้เปิดไฟฉาย จากนั้นก็ใช้โอกาสยามดึก เดินอยู่ในป่าทึบ
ตอนนี้เย้นหว่านเก่งขึ้น ใจกล้ามากขึ้นด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอมาที่แบบนี้คงตกใจจนตัวสั่นเทาและขาอ่อนไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอกลับเดินได้อย่างมั่นคง ทำเหมือนว่ากำลังเดินเล่นในป่ายามเช้า
ขนาดงูพิษและแมลงที่โผล่ออกมา เธอยังจัดการได้อย่างเป็นธรรมชาติเลย
หลังจากเดินไปสักพักแล้ว โห้หลีเฉินเห็นเธอเป็นแบบนี้ ความตื่นเต้นและความกังวลก็ลดลงไปทันที ในใจเขารู้สึกดีใจและเสียใจพร้อมๆกัน
เดินทางทั้งคืน ในที่สุดทุกคนก็เดินผ่านภูเขานี้ได้แล้ว มาถึงที่อยู่ของหานจื่อก่อนฟ้าจะสว่าง
มีเย้นโม่หลินคอยสั่งการ เขาหาที่หลบสูงๆให้ทุกคนได้พักก่อน
มองจากตรงนี้ลงไป ที่ที่หานจื่ออยู่ ก็เป็นป่าทึบที่มีต้นไม้และหญ้าเต็มไปหมด ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นที่ที่มีโคลน มอส ต้นหญ้ากับต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด
เห็นแบบนี้แล้ว ก็รู้เลยว่าเป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่เลยจริงๆ
ถังจุ้ยขมวดคิ้วเป็นปม “หานจื่อไม่อยู่ตรงนี้นี่ หรือว่าเธอจะเห็นเครื่องติดตาม แล้วตั้งใจโยนเครื่องติดตามมาตรงนี้?”
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงล่ะก็ ที่ที่พวกเขาตามมา ก็แค่เครื่องติดตามที่ถูกโยนทิ้งไป
งั้นครั้งนี้ก็คงมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ
ถังจุ้ยพูดแบบนี้ ทุกคนก็ต่างมีสีหน้าตึงเครียดไปหมด บรรยากาศก็ตึงเครียดตามไปด้วย
การติดตามตัวหานจื่อ เป็นวิธีที่จะหาฝู้ยวนได้เร็วที่สุด ถ้าการติดตามครั้งนี้ไม่สำเร็จ การจะตามหาตัวฝู้ยวนคงต้องใช้เวลาครึ่งปีแล้วล่ะ
ใครจะรู้ว่าเวลาครึ่งปีนี้จะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นบ้าง