ดวงตาของฉู่หยุนซีซับซ้อนเย็นชา “คุณว่า เขาตายหรือยัง”
นี่เป็นระเบิดที่พวกเขาซ่อนไว้ในสปีดโบ๊ทก่อนหน้านี้ หลังจากจุดชนวน ผู้ที่จะถูกระเบิดก็คือท่านอาวุโสเจ็ดที่นั่งอยู่บนนั้น
เย้นโม่หลินส่ายหน้า “บางทีอาจจะยัง ความสามารถของเขาก็ไม่เบาเช่นกัน”
“แต่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือต้องได้รับบาดเจ็บและเจ็บปวดอย่างแน่นอน”
ฉู่หยุนซีก้มหน้ามองดูเท้าของตัวเอง จับราวจับรถเข็นไว้แน่น
“สิ่งที่เขาทำทั้งหมดในตอนนั้น ทำให้ผมอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็นมาครึ่งชีวิต วันนี้ วันเวลาที่อยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็นคืนสนองกลับไปหาเขาแล้ว”
การได้รับบาดเจ็บกลางทะเล แล้วไม่สามารถขึ้นฝั่งได้ นั่นคือการทำให้ชีวิตของเขาได้รับความเจ็บปวดทรมานทั้งเป็น
และถึงแม้ว่าท่านอาวุโสเจ็ดจะสามารถรอดมาได้ แต่เขากลับไม่รู้ว่าร่างกายของเขานั้นโดนวชื้อไวรัสชีวเคมีแล้ว
เชื้อไวรัสนี้ไม่มียารักษา จะหยั่งรากฝังอยู่ในเลือดของเขา หลังจากหนึ่งเดือนก็จะเจริญเติบโตเต็มที่ ทำให้ท่านอาวุโสเจ็ดร่างกายเจ็บป่วย จนกระทั่งตายไปในที่สุด
และกระบวนการแห่งการตายนี้ยังค่อนข้างเจ็บปวดสุดทรมาน อยู่ก็เหมือนตายอย่างแท้จริง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉู่หยุนซีตกลงที่จะปล่อยตัวท่านอาวุโสเจ็ดไป
เพราะการปล่อยนี้ คือการส่งเขาไปสู่เส้นทางนรก
ความแค้นในหลายปีนี้ ในที่สุดวันนี้ก็สามารถได้แก้แค้นเสียที
โห้หลีเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส
บาดแผลที่อยู่ด้านหลังของเขาแทบจะพรากชีวิตของเขา ถ้าเป็นคนธรรมดาจะต้องตายไปแล้วอย่างแน่นอน
โชคดีที่ร่างกายของโห้หลีเฉินแข็งแกร่ง ความพยายามที่จะมีชีวิตรอดของเขานั้นแน่วแน่อย่างยิ่ง ถึงได้สามารถอดทนมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้
ถือว่าอดทนมาได้จนถึงป่ายฉีมาช่วยเขา
ป่ายฉีทำการผ่าตัดสองวันเต็ม ในที่สุดก็สามารถดึงโห้หลีเฉินกลับมาจากความตาย
“เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ตอนนี้ถึงแม้ว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่นั้น ผมก็ยังไม่สามารถการันตีได้”
สองวันมานี้เย้นหว่านไม่ได้หลับได้นอน คอยเป็นผู้ช่วยให้กับป่ายฉี และคอยเฝ้าโห้หลีเฉิน
เธอกุมจับมือของโห้หลีเฉินไว้แน่น “ไม่ว่าจะนานเท่าไร ฉันก็จะรอคุณฟื้นขึ้นมา”
หลังจากที่โห้หลีเฉินทำการผ่าตัดเสร็จ อาการบาดเจ็บของเขาเริ่มดีขึ้น เย้นหว่านจึงส่งเขาไปยังตระกูลเย้น ให้กงจืออวีสองสามีภรรยาคอยช่วยดูแล
ส่วนเธอออกเดินทางไปยังแอนตาร์กติก
ฉู่หยุนซีได้ส่งตำแหน่งของลูกๆ ให้กับเธอ ตอนนี้เธอจะไปรับลูกๆ กลับมา
ถึงตอนนั้นเมื่อลูกๆ กลับมา วันๆ ส่งเสียงดังปั่นป่วนข้างๆ ใบหูของโห้หลีเฉิน บางทีเขาอาจจะสามารถทำให้เขาฟื้นขึ้นมาเร็วๆ ก็ได้
นอกจากนี้ หลังจากที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย เย้นหว่านนั้นคิดถึงลูกๆ มากจนฝังเข้าไปในกระดูก แทบอยากจะบินไปอยู่ตรงหน้าของพวกเขาทันที
เพียงแต่น่าเสียดาย การเดินทางไปรับเด็กๆ ครั้งนี้ โห้หลีเฉินไม่ได้ไปกับเธอด้วย
แอนตาร์กติกอากาศหนาวมาก หิมะน้ำแข็งขาวโพลนปกคลุมทุกที่
ต่อให้สวมเสื้อแจ็กเกตขนสัตว์ ก็ยังคงหนาวถึงกระดูก เส้นทางค่อนข้างลำบาก
ที่นี่มีประชากรเบาบางมาก นอกจากหิมะตกและความขาวโพลนแล้ว ก็มองไม่เห็นอะไรเลย
เย้นหว่านไม่กล้าคิด ว่าลูกๆ นั้นจะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาแล้วสามปี
แค่คิด ในใจของเธอก็รู้สึกทรมาน แทบอยากจะรีบไปหาพวกเขาให้เร็วไว
ในที่สุด ท่ามกลางความหนาวที่เกือบจะเดินไม่ไหวแล้วนั้น ความขาวโพลนที่อยู่ตรงหน้า ก็ปรากฏภาพวิวที่แตกต่างขึ้น
นั่นเป็นบ้านที่อยู่ท่ามกลางชั้นน้ำแข็ง
หลังคาบ้านถูกปกคลุมด้วยหิมะ ดูขาวโพลนไปหมด แต่ผนังกำแพงไม้นั้น ได้ทำให้เย้นหว่านดีใจจนน้ำตาไหลแทบจะออกมา
ถึงแล้ว!
ความเหนื่อยล้าดูเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งทันที เย้นหว่านก้าวเท้ายาววิ่งไปยังด้านหน้า น้ำตาซึมอยู่ในเบ้าตา พร่ามัวจนบดบังการมองเห็นของเธอ
“ใคร”
ทันทีที่เธอเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มสูงใหญ่ก็ได้เดินมา แล้วขัดขวางเธอไว้
เขาถืออาวุธพร้อมท่าทางที่ดุดัน “ที่นี่เป็นที่ส่วนบุคคล ห้ามบุกรุก!”
“ฉันคือเย้นหว่าน ฉันมารับลูกๆ ”
เย้นหว่านถอดหน้ากากออกอย่างรีบร้อน เผยให้เห็นถึงแก้มที่ขาวซีด
ชายหนุ่มตกใจมากเมื่อเห็นเธอ “คุณนาย!”
“ฉันเอง”
เย้นหว่านพยักหน้าร้องไห้ น้ำเสียงสะอึกจนพูดไม่ออก “เด็กๆ ล่ะ อยู่ด้านในเหรอ พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ชายหนุ่มฟื้นจากอาการตกใจ แล้วก็รีบนำทาง
สีหน้าของเขาดูค่อนข้างลำบากใจ “เด็กๆ เขา…… คุณนายเข้าไปดูเองเถอะ”
คำพูดของเขาทำให้เย้นหว่านที่กำลังมีความสุขดีใจอยู่นั้น ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งขึ้นในบัดดล
เธอรีบวิ่งก้าวยาวเข้าไปในบ้าน
เปิดประตูออก พบว่าในนั้นมีสามห้อง
หนึ่งห้องรับแขกกับอีกสองห้องนอน
ชายหนุ่มเดินตามหลังเย้นหว่าน “พวกเราพักกันอยู่ในห้องนี้ อีกคนหนึ่งออกไปจับปลาแล้ว ห้องนี้เป็นของนายน้อยกับคุณหนู”
แรบบิทกับหยูเซิงพักอยู่ห้องเดียวกัน?
ตอนที่แยกจากกันนั้น โรคเก็บตัวของหยูเซิงนั้นรุนแรงหนักขึ้น เขาไม่พูดไม่จา และไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของเขา
เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ห้องเดียวกันกับคนอื่น
แต่ถ้าเป็นแรบบิท……
บางทีข้อนี้อาจจะเป็นไปได้
เย้นหว่านครุ่นคิดไปมา เธอไม่ปล่อยให้ตัวเองมีเวลาคิดฟุ้งซ่านจนเกิดความกลัว และเดินดุ่มๆ เข้าไปยังห้องข้างๆ
และแล้วในที่สุดเธอก็เจอคนที่เธอคร่ำครวญโหยหาทุกวันคืน
โห้หยูเซิง
ผ่านไปแล้วสามปี เขาใกล้จะห้าขวบแล้ว เขาสูงขึ้นจากตอนนั้นที่ยังเป็นเพียงเด็กตัวน้อยๆ แก้มที่ป่องน่าหยิกก็ยุบลงไป
กลายเป็นสุภาพบุรุษตัวน้อย
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ อย่างเงียบๆ จ้องมองกล่องเหล็กเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างเลื่อนลอย ราวกับจมอยู่ในพื้นที่ที่เงียบสงบ แม้แต่เธอเดินเข้ามาก็ไม่รู้สึก
ชายหนุ่มกล่าว “สามปีมานี้ นายน้อยก็เป็นแบบนี้ นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จาไม่ มีหลายครั้งที่เงียบราวกับประติมากรรมน้ำแข็ง”
น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่สามารถปกปิดได้
เขากล่าวต่อ “คุณนาย คุณมาตอนนี้ก็ดีแล้ว เช่นนี้เป็นการยืนยันได้ว่าเรื่องภายนอกได้คลี่คลายแล้ว นายน้อยกับคุณหนูอยู่ข้างๆ คุณ ถึงมีช่วงเวลาวัยเด็กอย่างแท้จริง”
วัยเด็ก?
สองคำนี้ราวกับเข็มที่ทิ่มเข้ามาในจิตใจของเย้นหว่าน
พวกเขาอายุเกือบห้าขวบแล้ว แต่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เวลาที่เย้นหว่านอยู่กับพวกเขานั้นแทบจะนับครั้งได้
ก่อนห้าปี เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ ไร้ความกังวลที่สุด แต่ว่าเย้นหว่านกลับพลาดช่วงเวลานั้น
เพราะเธอเป็นแม่ที่ทำหน้าที่ไม่ดี
ต่อจากนี้ เธอจะใช้ทั้งชีวิตมาทดแทนพวกเขา
“หยูเซิง……”
เบ้าตาของเย้นหว่านคลอด้วยน้ำตาแล้วเดินเข้าไปด้านใน
โห้หยูเซิงได้ยินเสียงแล้วจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองบางอย่าง เขาหันหน้ามาด้วยความมึนงง เมื่อเห็นเย้นหว่าน ดวงตากระพือสั่นอย่างรุนแรง
เขาตกใจ ตาเบิกกว้าง และตะลึงค้าง
เย้นหว่านกลั้นน้ำตาแล้ววิ่งเข้ามา มุมปากยกรอยยิ้มที่เธอคิดว่าอ่อนโยนที่สุด “ขอโทษ ที่แม่มาสาย ตอนนี้แม่จะพาพวกหนูๆ กลับบ้าน”
โห้หยูเซิงจ้องมองเธอ สายตาเป็นประกาย
เขาเปิดปาก สักพักก็เอ่ยคำเบาๆ ออกมา
“ไม่ต้องขอโทษ ผมกับน้องอยู่ที่นี่ปลอดภัยมาก”
เท้าเย้นหว่านที่ก้าวมาด้านหน้านั้นได้หยุดชะงักลง
เธอมองโห้หยูเซิงแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา หัวใจเต้นแรงแทบจะทะลักออกมา
เมื่อสักครู่ โห้หยูเซิงคุยกับเธอใช่ไหม
อีกทั้งยังพูดเป็นประโยคยาวอีก
หนำซ้ำยังเป็นการพูดปลอบโยนด้วย บอกให้เธอไม่ต้องรู้สึกผิด
หัวสมองของเย้นหว่านมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเท้าที่เหยียบอยู่นั้นไม่ใช้พื้น แต่เป็นหมอกเมฆเบาบางที่กำลังลอยไปลอยมา