“ไม่เพียงแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ แต่แม้พวกเราสามคนจะร่วมมือกัน ก็คงจะจัดการฝู้ยวนไม่ได้อยู่ดี”
เขามองไปที่ฝู้ยวนด้วยแววตาที่เย็นชา แล้วพูดเสียงเบาว่า: “คนที่สามารถชกเหล็กให้เป็นรูได้ด้วยมือเปล่า เห็นได้ชัดว่าพลังของเขาไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ฝีมือของเขาน่าจะแกร่งในระดับหนึ่งแล้วล่ะ”
ป่ายฉีขมวดคิ้วเป็นปม “ถ้าพวกเราสามคนร่วมมือกันก็ยังฆ่าเขาไม่ได้ งั้นเขาก็เก่งจนไร้คู่ต่อสู้เลยน่ะสิ? พวกเราไม่มีทางฆ่าเขาได้เลยเหรอ?”
สีหน้าทุกคนตึงเครียดกันไปหมด
โห้หลีเฉินส่ายหน้า “ที่จริงพวกเราไม่ได้มีแค่ห้าคน”
“ครึ่งมนุษย์พันธุ์แกร่งพวกนั้นยังไม่ได้รู้จักหัวหน้า เมื่อกี้ฉันจำท่าการกดและรหัสที่หานจื่อกดได้แล้ว ฉันจะลองปล่อยพวกนั้นออกมา เพื่อให้ฉันได้ใช้งานพวกเขา”
ความคิดนี้ดูใจกล้ามาก แต่ต้องบอกเลยว่า เขาใจกล้ามากจริงๆ ถ้าสำเร็จ ก็จะเป็นวิธีการที่ดีมากอย่างหนึ่ง
มนุษย์พันธุ์แกร่งพวกนี้แม้จะยังไม่แกร่งพอ แต่ถ้ารวมกัน ก็สามารถยื้อตัวหานจื่อไว้ได้ และรบกวนฝู้ยวนได้เช่นกัน
บวกกับการโจมตีจากพวกเขา มันเป็นการรุมโจมตีเลยก็ว่าได้ แม้ฝู้ยวนจะแกร่งและกำลังจะกลายเป็นมนุษย์พันธุ์แกร่งก็ตาม แต่ภายใต้การรุมโจมตี ก็คงรับมือได้ลำบาก
และถ้าเป็นแบบนี้ หานจื่อก็เป็นคนที่จะถูกโจมตีเหมือนกัน ฝู้ยวนไม่คิดที่ฆ่าหานจื่อแน่นอน ไม่งั้นถ้าหานจื่อตายไป ความกดดันทั้งหมดก็จะตกมาที่ตัวเขา เขาจะโดนหนักมากกว่านี้
“แต่ถ้าทำแบบนี้ พวกเราจำต้องทำเรื่องหนึ่งให้ได้ ตอนที่ลงมือพวกเราต้องเร็วนิ่งแรง จะให้ฝู้ยวนมีโอกาสพักไม่ได้ ลงมือฆ่าเขาในหมัดเดียวให้ได้”
โห้หลีเฉินพูดอย่างจริงจัง
พูดแบบนี้ก็เพื่อหานจื่อและป่ายฉี
ฝู้ยวนตายอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาถึงได้คิดที่จะอยากให้คนอื่นตายไปพร้อมกับเขา
แต่ว่าตอนนี้ฝู้ยวนแข็งแกร่งขนาดนี้ การบรรลุเป้าหมายนี้ยากกว่าการเอาชนะเขาหลายสิบเท่า
“ยังมีอีกปัญหา”
แววตาของป่ายฉีมืดมนลง แล้วพูดอย่างลำบากใจว่า “ฉู่หยุนซีสั่งให้เราตามหาท่านอาวุโสเจ็ด ตอนนี้คงมีแค่ฝู้ยวนคนเดียวที่รู้ว่าพวกเขาอยู่ไหน ถ้าฆ่าเขาตอนนี้ พวกเราก็จะไม่มีทางรู้ที่อยู่ของท่านอาวุโสเจ็ดจากปากฝู้ยวนแน่นอน”
ตอนแรกแผนที่ดีที่สุดคือจับฝู้ยวนตัวเป็นๆ แล้วคิดหาทางให้เขาบอกที่อยู่ของท่านอาวุโสเจ็ดมา
โห้หลีเฉินมองเย้นหว่านด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง พวกเขาเข้าใจหัวใจของอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด
โห้หลีเฉินพูด “แม้จะจับฝู้ยวนตัวเป็นๆมาได้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะรู้ที่อยู่ของท่านอาวุโสเจ็ดจากปากเขา ความน่าจะเป็นไปได้นี้ต่ำเกินไป เมื่อเทียบกับหานจื่อและชีวิตคนพวกนี้แล้ว การฆ่าฝู้ยวนสำคัญกว่า”
“ส่วนท่านอาวุโสเจ็ด……” โห้หลีเฉินเงียบสักพัก แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “ฉันจะต้องหาเขาให้เจอ”
แม้จะไม่รู้จากปากฝู้ยวน เขาก็จะใช้ทุกวิถีทางแม้จะต้องพลิกแผ่นดินตามหา เขาก็จะหาท่านอาวุโสเจ็ดให้ได้
ป่ายฉีขยับริมฝีปากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาต้องยอมรับเลยว่า ที่โห้หลีเฉินพูดมาไม่มีผิด และชีวิตของหานจื่อ เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้
แต่โห้หลีเฉินกับเย้นหว่านยอมสละโอกาสที่จะได้คำตอบจากปากฝู้ยวน น้ำใจในครั้งนี้ เขาจะจำฝังใจไปตลอดชีวิต
หลังจากที่คุยกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็แอบไปในห้องที่มีถังเหล็กเมื่อกี้
โห้หลีเฉินยืนอยู่ข้างหน้า เย้นโม่หลินกับคนอื่นก็ถือมีดเอาไว้ ยืนอยู่ทั้งสองข้างอย่างระมัดระวัง เตรียมพร้อมตลอดเวลา ถ้าเกิดมีเหตุอันตราย ก็จะรีบลงมือในทันที
โห้หลีเฉินยื่นมือไปกดตามที่หานจื่อกดเมื่อกี้ แล้วเริ่มจิ้มรหัสลงไป
เย้นหว่านเกรงจนยืนตัวตรง กลัวว่าจะมีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาด
ถ้าเอามนุษย์พันธุ์แกร่งออกมาใช้ได้สำเร็จ อัตราการฆ่าฝู้ยวนในวันนี้ก็จะเพิ่มสูงมากขึ้น ไม่งั้น…….
ผลลัพธ์ยากที่จะคาดเดาได้
หลังจากนั้นสักพัก ภายในถังเหล็กก็เริ่มเปลี่ยนแปลงพร้อมกับมือของโห้หลีเฉินที่ขยับออกมา
เป็นเหมือนกับตอนที่หานจื่อสั่งการเลย น้ำยาด้านในถังเหล็กเริ่มลดลง จากนั้นกระจกก็เปิดออกช้าๆ ชายหนุ่มที่อยู่ด้านในก็ลืมตาขึ้นมากะทันหัน
แววตาคู่นั้นดำมืด ไม่เหมือนดวงตาของคน แววตาของเขาโหดเหี้ยมมาก คล้ายกับสัตว์ร้ายที่พร้อมตะครุบคนตรงหน้า
โห้หลีเฉินตกใจ รีบถอยหลังไปหลายก้าว ชายหนุ่มคนนั้นก็เดินตามออกมาด้วย
เย้นหว่านตกใจจนหัวใจหดเกร็งไปหมด คนที่ปล่อยออกมาตอนนี้ไม่เหมือนกับชายหนุ่มที่หานจื่อปล่อยออกมาก่อนหน้า คนที่หานจื่อปล่อยออกมา ดวงตาเป็นปกติ แต่คนตรงหน้านี้ นัยน์ตาที่ไม่มีตาขาวนั้น ดูน่ากลัวมากจริงๆ
เย้นโม่หลินกำลังจะลงมือฆ่าเขา
โห้หลีเฉินยกมือห้ามเขาไว้ก่อน จากนั้นก็มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาที่เย็นชา รอบกายแผ่ซ่านไปด้วยความเยือกเย็น แล้วตะคอกไปว่า:
“คุกเข่าลงไป!”
ความดุร้ายนัยน์ตาของชายหนุ่มก็รุนแรงมากขึ้น แต่ร่างกายของเขากลับแข็งทื่อ หลังจากที่กล้ามเนื้อของเขาสั่นไปทั้งตัว อารมณ์นัยน์ตาของเขาก็ถึงค่อยๆสงบลง
จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงไปตามคำสั่ง
สีหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ เม้มปากไว้แน่น ไม่ได้ส่งเสียงหรือพูดอะไรออกมาเลย
เย้นโม่หลินมองเขาไม่ละสายตา มีดในมือยังคงจับไว้ไม่ปล่อย
เขาถามเสียงเบาว่า: “ปฏิกิริยาเขาแตกต่างจากคนก่อน นี่สำเร็จหรือไม่สำเร็จกันแน่?”
ถ้าสำเร็จจริง ทำไมเขาไม่เรียกโห้หลีเฉินว่าเจ้านายล่ะ
ถ้าไม่สำเร็จ ทำไมเขาถึงเชื่อฟังแล้วยอมคุกเข่าลงไปล่ะ
ตอนแรกก็ไม่เข้าใจมนุษย์พันธุ์แกร่งพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่พวกเขาก็เดากันล้วนๆ ในจิตใจของพวกเขาก็กระวนกระวายอย่างมาก ราวกับคลื่นที่ซัดเข้ามา
ป่ายฉีสังเกตดูชายหนุ่มนี้ดีๆ แล้วลองขยับเข้าไปใกล้เขา แต่ขยับไปใกล้เล็กน้อยยังไม่ทันได้สัมผัสเนื้อตัวเขา ชายหนุ่มก็รีบตั้งท่าโจมตีทันที
“หยุด” โห้หลีเฉินตะคอกสั่ง ชายหนุ่มมนุษย์พันธุ์แกร่งถึงได้ชะงักหยุด แต่สายตาที่มองป่ายฉีนั้น ก็ยังคงมีความโหดเหี้ยมอยู่
ป่ายฉีไม่กล้าสัมผัสเขาอีก เลยไม่ได้ข้อสรุปใดๆเลย
เขาทำได้เพียงมองไปที่โห้หลีเฉิน “นายคิดว่ายังไง?”
โห้หลีเฉินมองชายหนุ่มนิ่งๆ ครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ยื่นมือไปหาเขา
เย้นหว่านเห็นแล้วก็ต้องตกใจอย่างมาก เมื่อกี้เธอยังเห็นชายหนุ่มกำลังจะทำร้ายป่ายฉีอยู่เลย เขาลงมือได้โหดเหี้ยมมาก แค่เขายกมือขึ้นก็คงหักแขนของคนธรรมดาได้แล้ว
เป็นหุ่นยนต์ฆ่าคนที่โหดเหี้ยมมากจริงๆ
เธอกังวลอยากเข้าไปบังตัวโห้หลีเฉินไว้ แต่เขากลับเงยหน้ามองเธอแล้วพูดปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร”
เย้นหว่านยกมือขึ้น สักพักก็ต้องวางลง แล้วก็พูดเตือนว่า “ระวังหน่อยนะ อย่าฝืนเกินไปล่ะ”
แม้จะไม่ได้ความช่วยเหลือจากมนุษย์พันธุ์แกร่ง เธอก็ไม่อยากให้โห้หลีเฉินเสี่ยงอันตรายอยู่ดี
โห้หลีเฉินพยักหน้า เผชิญหน้ากับมนุษย์พันธุ์แกร่งที่อันตรายขนาดนี้ เขาก็ยังคงไม่สะทกสะท้านอะไร
ฝ่ามือของเขาวางลงบนหัวของมนุษย์พันธุ์แกร่งช้าๆ ห่างกันแค่เล็กน้อยเท่านั้น
แววตาของมนุษย์พันธุ์แกร่งเปลี่ยนเป็นดุร้ายมากกว่าเดิม แต่เขากลับไม่ได้จะโจมตีเหมือนที่โจมตีป่ายฉี
เหมือนร่างกายของเขาถูกควบคุมและแข็งทื่ออยู่กับที่
มีเพียงมองดวงตาที่ขัดขืนคู่นั้นของเขา ก็ถึงได้เห็นความโหดเหี้ยมและอำมหิตของเขา
โห้หลีเฉินมองเขาด้วยแววตาที่เย็นชา ทันใดนั้นระหว่างนิ้วมือของเขาก็มีเข็มปรากฏขึ้น เข็มที่แหลมคมนั้น กดอยู่บนหัวของชายหนุ่มมนุษย์พันธุ์แกร่ง แค่จิ้มนิดเดียวก็มีเลือดออกมาแล้ว
และสามารถทิ่มลงไปได้ตลอดเวลา