หลังจากสภาพแวดล้อมรอบๆ เงียบสงบลง มุมปากเย้นหว่านกลับยกยิ้มขึ้นอย่างเฉยเมย แล้วมองฝ่ามือที่เปื้อนเลือดของตัวเอง
คุมขัง?
หึ
แผนการของท่านอาวุโสเจ็ดยังอ่อนหัดไปนิด
เย้นหว่านไม่ใช่เย้นหว่านคนเดินที่ไม่เอาไหนอีกแล้ว ที่ยอมมาที่นี่กับท่านอาวุโสเจ็ดโดยไม่ขัดขืนนั้น นอกจากอยากจะหาเบาะแสของโห้หลีเฉินแล้ว ยังเป็นเพราะในเลือดของเธอนั้นมีหุ่นยนต์นาโนซ่อนอยู่
นี่คือสิ่งที่ป่ายฉีค้นคว้าวิจัยได้ก่อนที่จะออกเดินทาง แล้วปลูกฝังไว้ในเลือดของเธอ ยามเวลาปกติจะอยู่ในสถานะหลับสนิท และจะไม่ถูกตรวจพบโดยเครื่องจักรหรือเครื่องมืออื่นใดๆ
แต่ถ้าเมื่อใดที่เธอตั้งใจนำไปเช็ดคนอื่น เมื่อทำการสตาร์ทเครื่อง ก็จะสามารถระบุตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ
เธอกับป่ายฉีได้ตกลงกันไว้แล้ว ขอเพียงหุ่นยนต์นาโนทำการสตาร์ทเครื่อง ถ้าไม่ใช่เกิดอันตรายร้ายแรง ก็คือพบตัวท่านอาวุโสเจ็ดแล้ว
อีกไม่นาน พวกป่ายฉีก็จะต้องตามมา
ท่านอาวุโสเจ็ดยังคิดหวังที่จะใช้เธอเป็นตัวประกันเพื่อคุกคามพวกเย้นโม่หลิน ตอนนี้เขาได้เสียโอกาสนั้นไปแล้ว และสุดท้ายก็จะกลายเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ ในฤดูใบไม้ผลิใบไม้ร่วงสำหรับพวกเขาเท่านั้น
เย้นหว่านไม่มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองแต่อย่างใด ตอนนี้สิ่งเดียวที่กังวลก็คือโห้หลีเฉิน
เขาอยู่ที่ไหนกันแน่
อาการบาดเจ็บเป็นเช่นไร
เธอจะต้องรีบหาทางตามหาเขาให้พบโดยเร็วที่สุด มีเพียงการได้อยู่เคียงข้างเขาเท่านั้น เธอถึงจะสบายใจได้ลง
ในช่วงเวลาสองสามวันมานี้ คนของท่านอาวุโสเจ็ดจะใช้หน้าต่างบานเล็กนั้นมาสอดส่องดูว่าเย้นหว่านยังอยู่หรือไม่ อาหารสามมื้อต่อวันก็จะถูกส่งมาจากรูเหล็กขนาดเล็กเข้ามา
ความรู้สึกเดจาวูนี้ ก็เปรียบเสมือนคุกก็ไม่ปาน แม้แต่หน้าต่างของคุกก็ยังดูใหญ่กว่าเธอ
แต่ละครั้งที่มีคนมา เย้นหว่านก็แกล้งทำเป็นกรีดร้องโวยวายอย่างกระวนกระวาย ตบประตูอย่างรุนแรง ให้พวกเขาปล่อยเธอไป ให้เธอได้ไปดูแลโห้หลีเฉิน……
ท่านอาวุโสเจ็ดย่อมเพิกเฉยต่อคำขอของเธอ ทุ่มเทสนใจแต่การเตรียมแผนการที่จะใช้เธอสังหารพวกเขาอย่างไร แผนการของเขายังไม่ทันจะเป็นจริง ท้องฟ้ากลับเปลี่ยนสี
เกาะเล็กๆ แห่งนี้ในยามราตรีที่มืดมิด ถูกคนค้นพบ ถูกจู่โจม ถูกลุมสังหาร ก่อนฟ้าจะรุ่งสาง ผู้คนทั่วทั้งเกาะมีทั้งถูกสังหารตายและทั้งถูกจับกุม
สมุนทั้งซ้ายขวา กองกำลังทั้งหมดของท่านอาวุโสเจ็ด ล้วนไม่เหลือรอด
ส่วนเขา ก็ถูกบีบจนไร้ซึ่งทางถอย
เห็นได้ชัดว่าเป็นรุ่งอรุณที่พร่างพราย แต่เขากลับเหยียบอยู่บนเลือดที่นองไปทั่วทุกที่ จึงได้หนีตายเข้าไปในห้องเหล็กที่ขังเย้นหว่าน
มือของเขาถือกริชไว้ สีหน้าดุร้าย และไม่มีท่าทีที่สง่างามของสุภาพบุรุษอีกต่อไป
“เย้นหว่าน กูประเมินมึงต่ำไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่ามึงจะมีวิธีพาพวกมันมาที่นี่ได้!”
เขาขบเคี้ยวเขี้ยวฟันแล้วกล่าว
ใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนตรวจเช็กตัวของเย้นหว่าน ไม่เห็นถึงอุปกรณ์ติดตามหรือวิธีการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกแต่อย่างใด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเย้นหว่านที่ถูกขังอยู่ตรงนี้ ส่งสารไปบอกเย้นโม่หลินได้อย่างไร
ช่วงเวลาไม่กี่วันนี้ ทานก็ไม่อิ่มนอนก็ไม่กลับ สีหน้าของเย้นหว่นดูขาวซีดและอ่อนเพลีย
แต่แววตาคู่นั้นกลับประกายอย่างน่ากลัว
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ รอยยิ้มเย็นยะเยือก “ยอมแพ้เถอะ บอกที่อยู่ของโห้หลีเฉินกับฉัน แล้วฉันจะปล่อยชีวิตคุณ”
“หึ ปล่อยงั้นเหรอ มึงเรียกฉู่หยุนซีมาด้วย กูยังจะมีชีวิตรอดด้วยเหรอ เขาจะต้องฆ่ากูอย่างแน่นอน!”
ท่านอาวุโสเจ็ดสาวเท้าก้าวเดินมาข้างหน้า กริชที่คมกริบจี้เข้ามาที่ลำคอของเย้นหว่าน
ด้วยความลนลานของเขา ทำให้กริชไปปาดเชือดโดนผิวหนังลำคอของเย้นหว่าน
เย้นหว่านรู้สึกเจ็บแปล๊บ แต่กลับไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา และมองท่านอาวุโสเจ็ดด้วยสีหน้าที่เย็นชา
“เห็นทีสิ่งชั่วร้ายที่คุณทำกับฉู่หยุนซี คงไม่น้อยเลยสินะ”
“ถุย มันสมควรแล้วที่โดนแบบนั้น!” ท่านอาวุโสเจ็ดแดกดันอย่างดุร้ายด้วยความโกรธ นิ้วมือที่บีบจับอยู่ที่ข้างบ่าของเย้นหว่าน แทบจะบีบทะลุเข้าไปในเนื้อหนังของเธอ
ความเกลียดชังและความดุร้ายประกายอยู่ในดวงตาของเขาอย่างพร่างพราย
เย้นหว่านจ้องมองเขา แล้วก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “ระหว่างคุณกับฉู่หยุนซีมีความแค้นอะไรกันแน่”
นิ้วมือของท่านอาวุโสเจ็ดที่บีบจับอยู่ข้างบ่าเย้นหว่านก็ยิ่งบีบแน่นขึ้น ราวกับจะบีบบ่าของเย้นหว่านขาดเสียให้ได้
และเวลานี้ ประตูเหล็กที่ปิดอยู่ก็ถูกผลักเปิดขึ้นจากด้านนอก เย้นโม่หลินที่รูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาราวกับยมทูตก็ไม่ปาน
มีเลือดเปื้อนแก้มของเขา มีลมหายใจโชกด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านกลัวไปทั่วทั้งร่างกาย
ดวงตาเย้นหว่านกะพริบเล็กน้อย ที่แท้วันนี้เย้นโม่หลินออกโรงด้วยตัวเอง ทุกอย่างถึงได้รวดเร็วเช่นนี้ จัดการกับผู้คนบนเกาะฉับไวเช่นนี้
เย้นโม่หลินจ้องท่านอาวุโสเจ็ดอย่างเย็นยะเยือก แล้วขบเคี้ยวเขี้ยวฟันกล่าวออกมาทีละคำๆ
“ปล่อยเธอซะ”
ท่านอาวุโสเจ็ดบีบจับข้างบ่าของเธอแล้วบังคับให้ลุกขึ้น เขายืนหลบอยู่ด้านหลังของเธอ และใช้กริชจี้กดอยู่ที่คอของเย้นหว่าน
“ปล่อยกู ไม่อย่างนั้นกูจะฆ่าเย้นหว่าน”
“คุณลองแตะต้องเธอดูสิ!” เย้นโม่หลินระเบิดความโกรธออกมา ราวกับสิงโตที่กำลังบ้าคลั่ง อันตรายสุดขีด
เขาจ้องท่านอาวุโสเจ็ด เส้นประสาททั้งหมดตึงแน่น ประหนึ่งพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ
ท่านอาวุโสเจ็ดกดกริชติดคอแน่นขึ้นไปอีก “เย้นโม่หลิน ถ้ามึงขยับอีก เย้นหว่านจะตายเดี๋ยวนี้!”
เย้นโม่หลินคิ้วขมวดขึ้นแน่น โมโหสุดขีด
ร่างกายตึงแน่น และไม่กล้าก้าวไปด้านหน้าจริงๆ
“หึ เขาไม่กล้าฆ่าคุณ แต่ผม ไม่ได้สนใจชีวิตของเย้นหว่าน”
มีเสียงใสชัดเจนของชายหนุ่มดังขึ้น แต่ว่าคำพูดของเขา กลับดุดันโหดร้ายไร้ความปราณีทิ่มแทงเข้ามาในกระดูกดุจไขกระดูก
เมื่อท่านอาวุโสเจ็ดมองเห็นเขา ร่างกายจึงเหยียดตึงออกมาเป็นเส้นตรง แม้แต่กริชที่ถืออยู่ในมือก็ยังสั่นเบาๆ
เขากัดฟัน “ฉู่หยุนซี มึงใช่ไหมที่บีบให้กูมาถึงจุดนี้?”
มีหลายเรื่องมากมายที่คิดไม่ตกไม่เข้าใจ แต่เมื่อฉู่หยุนซีปรากฏตัวพร้อมกับเย้นโม่หลินนั้น ทุกอย่างก็กระจ่างชัดเจนทันที
สามปีที่เย้นหว่านหายตัวไป จะต้องเป็นฝีมือของฉู่หยุนซีอย่างแน่นอน
หลังจากที่พวกเย้นหว่านสังหารฝู้ยวนแล้ว เหตุผลที่ทำไมยังไล่ล่าตามเขาไม่ปล่อย ก็ต้องเป็นเพราะฉู่หยุนซีอีกแน่นอน!
จนกระทั่งวันนี้ฉู่หยุนซีก็ยังไม่ปล่อยเขา!
ฉู่หยุนซีมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่รอยยิ้มนั้นกลับเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็งหมื่นปีที่ไม่เคยละลาย
เขากล่าวทุกคำด้วยคำพูดที่เคียดแค้นฝังแน่นในกระดูก
“ท่านอาวุโสเจ็ด สิ่งที่ผมทำกับคุณในตอนนี้ ก็แค่สิ่งที่คุณทำกับผมในตอนนั้น เพียงเศษหนึ่งส่วนพันเท่านั้น”
“ตอนนั้น คุณสังหารล้างโคตรตระกูลของผม ตัดขาของผม ทำลายชีวิตของผม แค้นเหล่านี้ ทำให้ผมทุกข์ทรมานผมทุกคืนวัน ให้ผมรีบตามหาคุณให้เจอแล้วแก้แค้นซะ”
ท่านอาวุโสเจ็ดขมวดคิ้วแน่น ดูดุร้ายไร้ที่เปรียบ
“กูน่าจะฆ่ามึงตั้งแต่ตอนนั้น จะได้ถอนรากถอนโคน!”
“ฆ่าผม? ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะผมแกล้งตายอยู่ในกองซากศพสามวันเต็มๆ ผมคงตายไปนานแล้ว”
นิ้วมือฉู่หยุนซีจับแน่นที่ราวจับรถเข็น ราวกับจะจับราวจับนั้นให้แหลกละเอียด “เพื่ออำนาจของตระกูลฉู่ เพื่อเอาใจหยูฉู่สอง ละทิ้งคุณธรรมแล้วสังหารล้างโคตรตระกูลฉู่ แย่งอำนาจของคุณพ่อผม คุณถึงได้มีตำแหน่งท่านอาวุโสเจ็ดอย่างทุกวันนี้ คนของตระกูลฉู่ในตอนนั้น ไม่เหลือรอดสักคนเดียวจริงๆ ”
ได้ฟังคำพูดของฉู่หยุนซี เย้นหว่านถึงได้รู้ว่า ที่แท้ฉู่หยุนซีกับท่านอาวุโสเจ็ดเคยเป็นครอบครัวเดียวกัน แซ่เดิมของท่านอาวุโสเจ็ดคือแซ่ฉู่
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงนิ่งเฉยในตอนแรก ไม่สนโลก แต่หยูฉู่สองกลับปล่อยให้เขานั่งตำแหน่งท่านอาวุโสเจ็ดอย่างมั่นคง