บทที่ 160 ใส่ใจดูแล
จูเหลียนอีงกลับยิ้มเต็มใบหน้า ไม่ใส่ใจสักนิด
“หลีเฉินยังไม่ถือสาอะไร เธอจะกังวลอะไร? ขอเพียงพวกเขาแต่งงานกันดีๆ ต่อไปมีความสุขก็พอ”
เฝิงเสวียนหลันไม่มีเสียงไปชั่วขณะหนึ่ง
เห็นคุณนายใหญ่ตระกูลโห้มีท่าทีปกป้องโห้หลีเฉินกับเย้นหว่าน ขอเพียงไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวง
เรื่องแต่งงานนี้ ไม่อาจจะถอนได้
หล่อนไม่สามารถนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อไปได้แล้ว
คนอยู่ในเหตุการณ์ที่ไม่พอใจอีกคนยังมีเย้นซิน เห็นโห้หลีเฉินโปรดปรานเย้นหว่านขนาดนั้น หล่อนริษยาจนเกือบจะคลุ้มคลั่งแล้ว
หล่อนลำบากทำอะไรมากมายขนาดนั้น แต่ว่าในสายตาโห้หลีเฉินกลับไม่เคยมีหล่อนเลย
หากเป็นแบบนี้ต่อไป หล่อนคงได้แต่มองโห้หลีเฉินกับเย้นหว่านแต่งงานกันไปหน้าตาเฉย ตำแหน่งคุณผู้หญิงตระกูลโห้ คงไม่มีโอกาสของหล่อนอีกแล้ว
หล่อนไม่พอใจ
ทุกคนเดินไปห้องอาหารโดยต่างคนต่างคิด
ในคฤหาสน์ของโห้หลีเฉินนี้ไม่มีห้องครัว และไม่มีคนอื่นๆ แต่ที่คฤหาสน์ด้านข้าง กลับเป็นห้องครัวน้อยโดยเฉพาะของเขา
ด้านในมีพ่อครัวใหญ่ผู้มีชื่อเสียงหลายคนพร้อมรับใช้ทุกเวลา กำลังทำกับข้าวให้โห้หลีเฉิน ตอนที่ต้องการจะทำส่งเข้ามาให้เรียบร้อย
วันนี้ก็เช่นกัน
เพราะคนมาก โห้หลีเฉินไม่ชอบคีบอาหารจานเดียวกับใครแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นจึงทำอาหารตะวันตก
ส่วนที่เป็นของจูเหลียนอีงนั้น เนื้อวัวเป็นแบบอ่อนนุ่ม ทว่าทำอย่างประณีต
หลังจากที่ทุกคนค่อยๆ เริ่มทานกัน สถานการณ์ยังถือว่ากลมเกลียว
ใบหน้าเล็กเย้นหว่านนั้นยังคงแดงระเรื่อ มองผู้คนอย่างเขินอาย พยายามกดความรู้สึกถึงการมีตัวตนของเธอให้เล็กลง
แต่ทว่าโห้หลีเฉินกลับทำเรื่องที่ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คน
เห็นเพียงเขายกสเต๊กตรงหน้าของเธอออกไป จากนั้นนำสเต๊กที่เขาหั่นเรียบร้อยแล้ววางตรงหน้าเธอแทน
เขาทำอย่างเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ราวกับเคยทำแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน
และพอมองจากในสายตาของจูเหลียนอีงและเฝิงเสวียนหลัน หลายสิบปียังไม่เคยเห็นเรื่องหายากสักครั้งเดียว
หลังจากที่จูเหลียนอีงตื่นตระหนก ก็พยักหน้าติดๆ กันอย่างพอใจ “ไม่เลว หลีเฉินของย่าดูแลคนอื่นเป็นจริงๆ แล้ว มีลักษณะของสามีที่ดี”
เย้นหว่านยังไม่หายแก้มร้อน ชั่วพริบตาเดียวยิ่งแดงเพิ่มขึ้น
สามีคำนี้ ความจริงพูดไปก็ห่างไกลมาก
เธอก้มหน้าสายตาประกายแวววาว รู้สึกส้อมในมือเหมือนถูกไฟลวก
ดังนั้นเธอจึงวางส้อมลงไป เปลี่ยนไปทานซุปแทน
เสียงไม่สูงไม่ต่ำของโห้หลีเฉินดังขึ้นมาข้างหูเธอ “ทำไม ไม่ชอบกินสเต๊กเหรอ?”
เย้นหว่านสำลัก นี่เขามองไม่ออกหรือไงว่าเธอกำลังเขินอายอยู่?
ต้องพูดออกเยอะแยะด้วย เช่นนั้นเธอควรตอบอย่างไร
พัวพันต่อไป เย้นหว่านพูดเสียงต่ำ
“คอแห้งนิดหน่อย อยากทานน้ำก่อน”
“ซุปยังร้อน รอให้เย็นหน่อย”
ขณะพูดโห้หลีเฉินหยิบถ้วยซุปของเย้นหว่านขึ้นมาเป็นธรรมชาติมาก จากนั้นหยิบช้อนขึ้นคน แถมยังใช้ปากเป่าๆ
ดูเป็นธรรมชาติเหลือเกิน เป็นวิธีทำซุปให้เย็นแบบติดดินมาก
เย้นหว่านกลับมองอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ทั้งตัวเหมือนถูกทิ้งเข้าในที่นึ่ง ไม่เพียงหน้าเท่านั้น ทั่วทั้งตัวยังสุกไปหมด
คนที่อยู่บนโต๊ะอาหารล้วนมองโห้หลีเฉินด้วยสีหน้าต่างไปสารพัด เป็นใครก็นึกไม่ถึง โห้หลีเฉินที่สูงส่ง ปกติชอบความเป็นส่วนตัว คาดไม่ถึงว่าจะดูแลเย้นหว่านขนาดนี้
อ่อนโยนเอาใจใส่ ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายทั่วไป
เย้นซวนมิ้นมองแบบหน้าตาปลื้มใจ ถามเย้นซินที่นั่งด้านข้างอย่างทอดถอนใจ
“เสี่ยวซิน ปกติพี่เขยลูกอยู่ด้วยกันกับพี่สาวลูกแบบนี้เหรอ?”
เย้นซินพักอยู่หลายวันขนาดนี้ น่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดแล้ว
เย้นซินกำลังมองโห้หลีเฉินไปตรงๆ มองความอ่อนโยนเอาใจใส่ของเขา อิจฉาจนรับไม่ได้
ทันใดนั้นพอถูกถามประโยคนี้ขึ้นมา หล่อนอึ้งครู่หนึ่ง ในใจก็เต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย
ผู้ใหญ่ของสองตระกูลอยู่ที่นี่ ถ้ายอมรับว่าปกติโห้หลีเฉินดีต่อเย้นหว่านขนาดนี้ นั้นเรื่องแต่งงานยังจะหนีไปไหนได้?
หล่อนย่อมไม่สามารถพูดไปตามใจ
เย้นซินลังเลสักพัก “ปกติเหรอ ล้วนเป็นพี่ที่ตักซุปให้พี่เขยค่ะ”
หล่อนไม่ได้พูดมาก แต่คำพูดที่แห้งแล้งแบบนี้ ผลักดันให้การกระทำในตอนนี้ของโห้หลีเฉินเด่นชัดในด้านกลับกันอย่างน่าประหลาด กลายเป็นการเปรียบเทียบที่ชัดแจ้ง
ราวกับตอนนี้ที่โห้หลีเฉินทำล้วนเป็นการแสร้งทำออกมา ปกติไม่ดีต่อเย้นหว่าน
พอสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของพ่อแม่ตนเองและคนตระกูลโห้ เย้นหว่านว้าวุ่นใจนิดหน่อย ถลึงตาใส่เย้นซินอย่างตำหนิพอสมควร
เธอรีบพูดขึ้น “หนูชอบทานซุปค่ะ ทานข้าวกับใครก็จะถือโอกาสช่วยตักให้สักถ้วย เคยชินแล้วค่ะ”
หลังจากนิ่งไป เธอก็หน้าแดงอีก มองโห้หลีเฉินอย่างทำเป็นเขินอาย
“คิดไม่ถึงว่าบาดเจ็บแล้วยังมีโชคแบบนี้ สลับที่กัน ให้โห้หลีเฉินมาตักซุปให้ฉันแล้ว ความจริงฉันสามารถเป่าเองได้”
พูดๆ อยู่ เย้นหว่านก็ยื่นมือออกมาทางโห้หลีเฉิน
แต่ว่าโห้หลีเฉินหลบหนีมือของเธอ วางซุปลงไปตรงหน้าของเธออย่างมั่นคง
น้ำเสียงทุ้มต่ำ และเผด็จการ “เธอหยิบช้อนมากินก็พอ”
ถ้วยซุปหนักเกินไป เหมือนจะทำให้เธอเหน็ดเหนื่อย
ผู้ใหญ่หลายคนอยู่ด้วย ชั่วขณะนั้นก็โดนสาดความหวานชื่นเข้าไป รู้สึกอาหารยังทานไปได้ไม่เท่าไร ก็ใกล้จะอิ่มแล้ว
เย้นซินมองสองคนอยู่ รู้สึกว่าหายใจไม่สะดวกแล้ว
ทำไมวิธีการสารพัดเท่าที่หล่อนคิดออกมาได้ สองคนนี้ถึงยังดีกันได้ขนาดนี้มาตลอด? แม้กระทั่งยิ่งดีขึ้นด้วยล่ะ?
อาหารมื้อหนึ่ง ยังถือว่าทานเสร็จด้วยดี
ที่จริงเย้นหว่านพะวักพะวนมาตลอด เพราะเป็นครั้งแรกที่เธอได้รับการบริการที่เอาใจใส่ไปหมดทุกอย่างแบบนี้ เรื่องเล็กน้อยอย่างการคีบอาหาร ใหญ่โตถึงขั้นหั่นสเต๊ก ขาดเพียงไม่ได้ป้อนเข้าปากเธอด้วยตนเอง
เธอรู้สึกกังวลมาก และผู้ใหญ่ก็อยู่ด้วย คิดแล้วว่าเพื่อให้คุณนายใหญ่ตระกูลโห้สบายใจ ดังนั้นโห้หลีเฉินถึงจงใจแสดงความรักใคร่ เธอจึงได้แต่ให้ความร่วมมือเต็มที่
ไม่ง่ายกว่าอาหารมื้อหนึ่งจะทานเสร็จลง
เย้นหว่านเกือบไม่กล้าแสดงกับโห้หลีเฉินต่อไปอีก หาข้ออ้างบอกว่าเหนื่อย อยากกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
เรื่องส่งพวกเขากลับไป จึงตกอยู่ที่ตัวของโห้หลีเฉิน
โห้หลีเฉินเหมือนเป็นผู้ชายธรรมดา พาเย้นซวนมิ้นและภรรยา ยังมีพวกจูเหลียนอีงสองคนมาส่งที่หน้าประตู จัดหาคนขับรถไปส่งพวกเขา
เดิมทีเย้นซินควรจะกลับไปกับพวกเย้นซวนมิ้น แต่หล่อนบอกว่าพี่สาวบาดเจ็บ อ้างเหตุผลมาดูแลเย้นหว่านเพื่ออยู่ต่อไปอีก
เย้นหว่านยืนอยู่ริมหน้าต่างในห้อง สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่หน้าประตูคฤหาสน์ได้พอดี หลังจากมองเห็นเย้นซวนมิ้น ภรรยา กับจูเหลียนอีง เฝิงเสวียนหลันขึ้นรถออกไป เธอถึงสบายใจหน่อย
เธอค่อยๆ โล่งอก หวังว่าครั้งต่อไปผู้ใหญ่สองตระกูลอย่ามาอีกเลย รับมือลำบากจริงๆ
เย้นหว่านยืนอยู่สักพัก เดินกะโผลกกะเผลกไปถึงห้องเสื้อผ้า หยิบชุดนอน จากนั้นเดินไปห้องน้ำอย่างกะโผลกกะเผลกอีกครั้ง
ตอนที่พึ่งมาถึงห้องน้ำ เวลานี้ประตูห้องถูกคนเปิดออกจากข้างนอก
คนที่เข้ามาเป็นโห้หลีเฉินอย่างไม่เกินความคาดหมาย
เขามองเห็นลักษณะที่เธอยืนขาเดียว ใบหน้าหล่อเหลาอึมครึมไปชั่วขณะหนึ่ง ก้าวขายาวเดินมาทางเธอก้าวใหญ่ๆ
“เธอเดินเองทำไม ขาไม่เจ็บแล้วเหรอ?”
เสียงพูดตกลงตามมาด้วย โห้หลีเฉินเดินมาด้านหน้าของเย้นหว่าน อุ้มเธอขึ้นมาแล้ว
เขาก้มหน้ามองชุดนอนในอ้อมอกของเธอ เสียงต่ำลงไปอีก
“อยากอาบน้ำ?”