บทที่ 171 ยานี่ ต้องไม่ใช่ยาดีอะไรแน่ๆ
ห้องหนังสือ
โห้หลีเฉินต้องเคลียร์งานต่อ เขาจึงเดินเข้าไปในห้องเหมือนทุกๆวัน
แต่ว่าวันนี้ ในห้องหนังสือกลับดูแปลกออกไป
เขาเหลือบมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นแผ่นหลังร่างบางที่ใส่ชุดกระโปรงสีฟ้ายืนอยู่ตรงบันไดชั้นหนังสือ เธอยืนโซเซอยู่บนบันได แล้วพยายามคว้าหนังสือที่อยู่ชั้นบน
กระโปรงตัวนั้น โห้หลีเฉินคุ้นตาอยู่แล้ว เพราะเป็นหนึ่งในกระโปรงตัวโปรดของเย้นหว่าน
เขาย่นคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหา
“คุณมาทำอะไรที่นี่คนเดียว”
พอได้ยินเสียงของเขา ผู้หญิงที่ยืนอยู่บนบันไดก็สะดุ้งตกใจ ก่อนที่เท้าของเธอจะไถล และกำลังจะล้มลงมา
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วมุ่น “ระวัง”
เขารีบวิ่งเข้าไป แล้วรับตัวเธอได้ ก่อนจะล้มลงไปบนพื้น
ร่างบางของหญิงสาวตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา และเขาได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวของเธอด้วย
กลิ่นที่แปลกหน้าทำให้โห้หลีเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างไม่พอใจ “คุณฉีดน้ำหอมทำไม… “
คำพูดของเขายังพูดไม่ทันจบ ก็หยุดชะงักไปกลางคัน
ตอนนี้เขาเพิ่งจะเห็นหน้าผู้หญิงที่อยู่อ้อมกอดชัดเจน ใบหน้าหวานนั้น ไม่ใช่เย้นหว่าน แต่เป็นเย้นซิน
เย้นซินมีสีหน้าตื่นตระหนก สองมือของเธอกอดคอของโห้หลีเฉินไว้อย่างหวาดกลัว ใบหน้าของเธอซีดเซียวจนน่าสงสาร
น้ำเสียงของเธอหวานหยาดเยิ้ม “พี่เขยคะ ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้ ฉันกลัวมากเลยค่ะ ฮือ…”
เธอพูด ก่อนที่ขอบตาของเธอจะเริ่มแดง ทำท่าทีเหมือนตกใจมาก
จึงดูยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่
แต่สีหน้าของโห้หลีเฉินกลับเหลือแต่ความเย็นชา
เขาโยนเธอลงตรงโซฟา ก่อนจะเดินห่างออกมา เพื่อรักษาระยะห่างจากเธอให้มากที่สุด
หลังจากนั้น เขาก็ถอดเสื้อคลุมของตัวเองทิ้ง แล้วหยิบทิชชู่เปียกมาเช็ดมือ
เหมือนเพิ่งจะจับของสกปรกมา
เย้นซินนอนอยู่บนโซฟา เธอจ้องมองการกระทําของโห้หลีเฉินอย่างตกตะลึง สีหน้าที่น้อยใจในตอนแรกเริ่มเหยเก แก้มที่แดงกลายเป็นซีดเผือด
เธออุตส่าห์วางแผนจนสามารถเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา ในที่สุดก็สามารถเข้าใกล้เขาได้แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรกับเขาเลย…
เขาถึงกับโยนเธอทิ้ง และท่าทางของเขา เหมือนกับว่าการโดนตัวเธอ เหมือนโดนขยะที่สกปรกมากอย่างนั้นแหละ
เย้นซินรู้สึกเสียหน้ามาก จนน้ำตาไหลออกมาจริงๆ
“พี่เขยคะ พี่รังเกียจฉันขนาดนี้เลยเหรอคะ”
โห้หลีเฉินโยนทิชชู่เปียกทิ้ง ก่อนจะมองหน้าเย้นซินอีกครั้ง ด้วยแววตาที่แสนจะเย็นชา
“ออกไปเดี๋ยวนี้”
คำพูดที่แสนเย็นชา ไม่มีอารมณ์ใดๆแฝงอยู่เลย
เย้นซินปัดน้ำตาทิ้งอย่างไม่ยอมแพ้ “พี่เขยคะ…”
“ต่อไปนี้ห้ามเข้ามาในห้องนี้อีก”
พอพูดจบ โห้หลีเฉินก็หันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องไป
โดยไม่มองหน้าของเย้นซินเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่ใช่แค่ไม่ยุ่งกับผู้หญิงเท่านั้น แต่เขายังเกลียดที่ต้องสัมผัสกับผู้หญิงอย่างนี้ด้วย เมื่อตะกี้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเย้นหว่านถึงได้อุ้มเย้นซิน แต่ความรู้สึกที่เธอทิ้งไว้ที่แขนของเขา รวมถึงน้ำหอมที่หวานเลี่ยน ทำให้เขารับไม่ไหว
อย่างที่เขาคิดไว้ มีแค่ตอนที่กอดเย้นหว่านถึงทำให้เขารู้สึกสบายได้
โห้หลีเฉินเดินออกจากห้องไป ก่อนจะตามมาด้วยเสียงที่เขาสั่งการเว่ยชี
“เอาเอกสารไปวางไว้ที่สวนดอกไม้ ฉันจะไปนั่งทำงานที่นั่น”
พอได้ยินแบบนั้น น้ำตาของเย้นซิน ก็ยิ่งไหลออกมาไม่หยุด
เธอยืนมองไปที่ประตู ด้วยความรู้สึกไม่พอใจและเจ็บปวด
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกดูถูกเหยียดหยามแบบนี้
อุตส่าห์ยอมเอาตัวเข้าแลก แต่กลับโดนรังเกียจ เหมือนเป็นตัวเชื้อโรค
หรือว่าเธอ จะไม่มีทางได้ผู้ชายคนนี้มาจริงๆอย่างนั้นเหรอ
ในเวลาเดียวกัน ด้านนอกหน้าต่าง มีเงาของผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่
คนคนนั้นก็คือป่ายฉีนั่นเอง
เขายืนมองทุกการกระทําของเย้นซินเงียบๆ ก่อนจะลูบคางอย่างนึกสนุก
“คิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งจะมาถึง ก็ได้เห็นเรื่องแบบนี้แล้ว น้องภรรยาพยายามยั่วพี่เขย น่าสนใจจริงๆ ไม่รู้ว่าเสี่ยวเย้นหว่านของเรา จะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
เขายิ้มย่อง ก่อนจะปีนป่ายไปตามระเบียงหน้าต่างอย่างคุ้นชิน ไม่นานก็มาถึงหน้าต่างห้องที่เย้นหว่านพักอยู่
เขามองเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่าง และเห็นเย้นหว่านกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง
ดีมาก เขาหาตัวเป้าหมายเจอแล้ว
ป่ายฉีรีบกระโดดเข้ามา และเข้าไปยืนในห้องได้อย่างง่ายดาย
ทันทีที่ได้ยินเสียงแปลกๆเย้นหว่านก็รีบหันหน้าไปมองทันที พอเห็นว่าเป็นป่ายฉี เธอก็สะดุ้งตกใจ
“คุณ คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง”
พอนึกถึงเรื่องร้ายๆที่ป่ายฉีเคยทำไว้ เย้นหว่านพูดจบ ก็เตรียมจะตะโกนขอความช่วยเหลือออกมา
“โห้หลี… อื้อ”
เธอเพิ่งจะตะโกนออกมา แต่ป่ายฉีเร็วกว่า เขารีบเดินเข้าไปหา แล้วเอามือปิดปากเธอไว้อย่างแน่นหนา
เย้นหว่านโดนป่ายฉีกอดไว้แน่น จนขยับตัวไม่ได้ และได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ออกมา
ป่ายฉีเริ่มปวดหัว จึงก้มหน้าลงไปพูดเกลี้ยกล่อม
“เย้นหว่านผู้น่ารัก ผมแค่ได้ข่าวว่าคุณได้รับบาดเจ็บ ก็เลยมาเยี่ยมคุณ คุณอย่าทำท่าทางเหมือนเห็นโจรขโมยของ และไม่ร้องตะโกนจะได้ไหม”
“อื้ออื้ออื้อ”เย้นหว่านร้องอู้อี้อย่างต่อต้าน
ถ้าแค่มาเยี่ยมเธอจริงๆ จะต้องปีนหน้าต่างเข้ามาแบบนี้เหรอ เธอเชื่อเขาก็บ้าแล้ว
“คุณหนูครับ อย่างน้อยพวกเราก็เจอกันมาหลายครั้งแล้ว และผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรคุณรุนแรงไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงต้องทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับผมมากขนาดนี้ล่ะ”
ป่ายฉีถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ และดูเหมือนจะน้อยใจด้วย
เย้นหว่าน “อื้ออื้ออื้อ”
น้อยใจบ้าอะไรของเขา
ครั้งแรกที่ได้เจอกันก็คิดไม่ซื่อกับเธอ จนเกือบจะทำบ้าๆกับเธอไปแล้ว ครั้งที่สองยังตามจีบเธอต่อหน้าผู้คนมากมายในห้างสรรพสินค้า ครั้งนี้ยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่ นี่ถึงขั้นปีนหน้าต่างบ้านคนอื่นเลยนะ
คนที่ชื่อป่ายฉีคนนี้เป็นคนบ้าหรือไง
เย้นหว่านรู้สึกสับสนมาก และยิ่งดิ้นหนีรุนแรงขึ้นไปอีก
“อย่าดิ้น เดี๋ยวแผลคุณก็เปิดออกมาอีกหรอก”
ป่ายฉีพูดเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่เขากลับกำลังล็อกตัวเย้นหว่านไว้แน่น
การกระทําของเขา กลับไม่นุ่มนวลเหมือนคำพูด
เย้นหว่านไม่เชื่อในตัวเขา แต่เรี่ยวแรงของผู้ชายกับผู้หญิงมันแตกต่างกัน และป่ายฉีก็เป็นคนที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ด้วย เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ถึงจะพยายามดิ้นรนอยู่นาน ก็ไม่ได้ผลอะไรเลย
ในที่สุดป่ายฉีก็รอจนเย้นหว่านหมดแรงดิ้นรน ถึงจะพูดเกลี้ยกล่อม “เย้นหว่านผู้น่ารัก ผมแค่มาเยี่ยมคุณจริงๆ ไม่ทำอะไรอื่นแน่นอน ถ้าผมปล่อยมือออก คุณอย่าเพิ่งตะโกนเรียกคนอื่นโอเคไหม”
เย้นหว่านนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้ารับ
ป่ายฉีค่อยๆปล่อยมือที่ปิดปากเย้นหว่านไว้ออก แต่พอปล่อยมือออก เย้นหว่านก็รีบตะโกนสุดเสียง
“โห้… อื้อ”
ครั้งนี้เร็วยิ่งกว่า เธอเพิ่งจะส่งเสียง ก็โดนป่ายฉีปิดปากซะแล้ว
เย้นหว่านอารมณ์เสียมาก เธอถลึงตาใส่ป่ายฉีอย่างไม่พอใจ
คนบ้าคนนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่
เธอตะโกนเรียกโห้หลีเฉินไม่ได้ ต้องอยู่ในห้องกับเขาสองต่อสอง เธอจะทำยังไงดี
เย้นหว่านรีบคิดหาวิธีเอาตัวรอดในใจ
ป่ายฉีเห็นเย้นหว่านกลอกตาไปมาจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงถอนหายใจอย่างจนใจ ก่อนจะหยิบขวดยาที่ไม่มีฉลากออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
แล้วเปิดฝาขวดออกมา…
เย้นหว่านยิ่งดิ้นหนักขึ้นไปอีก เธอมองยาขวดนั้นด้วยสายตาหวาดกลัว ที่แท้เจ้าบ้านี่มาที่นี่ ก็เพราะเป้าหมายนี้เอง
ยานี่ต้องไม่ใช่ยาดีอะไรแน่ๆ ถ้าเธอกินลงไปไม่รู้จักว่าจะเกิดอะไรกับเธอบ้าง
เย้นหว่านรู้สึกกลัวมากจริงๆ