บทที่ 23 เย้นหว่าน เธออย่าทำตัวออกห่างจากฉัน
เพียงแค่คิด เย้นหว่านก็รู้สึกถึงความกดดันอย่างมหาศาล ผู้ชายคนนี้ช่างเหมือนเทพเจ้าที่ไม่อาจแตะต้องได้ ฉินฉู่ผู้เป็นเพื่อนสนิทเขามานานหลายปีก็ไม่ยอมช่วยอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหล่อน….
การจูบแบบเร่าร้อนในครั้งนี้
เย้นหว่านคิดไม่ตก พูดขึ้นด้วยสีหน้าแดงก่ำ
“อันนี้ยากเกินไป เปลี่ยนอันอื่นดีกว่า”
“ไม่ได้สิ เมื่อครู่ฉันยังยอมพลีชีพเสียชื่อเลย ถึงขั้นยอมสารภาพกับผู้ชายเลยนะ”
ฉินฉู่รีบปฏิเสธหล่อนทันที
“แต่…”
เย้นหว่านอยากจะพูดต่อ แต่ฉินฉู่กับจ้องหน้าหล่อนไว้
“พี่สะใภ้ พี่อายขนาดนี้ หรือว่าพี่กับหลีเฉิน ไม่เคยจูบกันมาก่อน?”
เย้นหว่านสะอึก ใจหายวาบจนไม่กล้าพูดอะไร
ตอนนี้หล่อนเป็นคู่หมั้นของโห้หลีเฉินอย่างเป็นทางการ ต้องช่วยเขาแสดงให้สมบทบาท ไม่เช่นนั้นอาจจะกระทบกับเรื่องความสัมพันธ์ของหล่อนกับเขา หล่อนจึงไม่กล้าตอบไปมั่วๆ
เย้นหว่านรู้สึกกระวนกระวายใจ หันไปมองโห้หลีเฉิน ขอความช่วยเหลือด้วยเสียงแผ่วเบา
“คุณโห้ช่วยฉันหน่อยนะ ”
โห้หลีเฉินมองดูใบหน้าแดงผ่าวของหล่อน ปิดตาครุ่นคิด
“โอเค” เขาพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
หลังจากนั้น ฝ่ามือของเขาโอบจับท้ายทอยของหล่อนไว้ ก้มหน้าลงบรรจงจูบ
“ม๊วฟ!”
เย้นหว่านตกใจตะลึง รู้สึกได้ถึงความเย็นและนุ่มนวลที่ริมฝีปาก มองไปที่หน้าตาอันมีเสน่ห์ตรงหน้าด้วยความเหลือเชื่อ
หล่อนเพียงแค่ให้เขาช่วยเปลี่ยนบทลงโทษในเกมส์ เขา…เขากลับจูบหล่อน?
อีกทั้งต่อหน้าผู้คนเยอะขนาดนี้!
เย้นหว่านใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา หล่อนอยากจะผลักเขาออกด้วยความกระวนกระวายใจ แต่มือของฝ่ายชายที่จับท้ายทอยหล่อนไว้กลับบีบแรงมากขึ้น ทำให้หล่อนขยับไปไหนไม่ได้
จูบของเขา เร่าร้อนและละมุนขึ้นเรื่อยๆ
เย้นหว่านเริ่มรู้สึกมึนหัว เสียงโหวกเหวกรอบข้างเริ่มฟังไม่ค่อยชัด เพียงแต่รู้สึกว่าหมดแรงไร้กำลัง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดฝ่ายชายก็ยอมปล่อยหล่อนออก
เย้นหว่านสีหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย ไม่กล้าสบตาใคร
ฉินฉู่ยืนกุมหัวใจไว้แน่น พูดตะโกนขึ้น “โรแมนติกมาก ทำให้พวกฉันบรรดาคนโสดอิจฉาตาร้อนกันหมดแล้ว”
เย้นหว่านรู้สึกอึดอัดใจ จนอยากจะหามุมไปแอบ
“พูดมากจริง ยังจะเล่นอีกไหม?”
“เล่นแน่นอนสิ”
เกรงว่าโห้หลีเฉินจะพาเย้นหว่านกลับไปทันที ฉินฉู่จึงรีบยื่นลูกเต๋าให้เย้นหว่าน
ทั้งยังเล่นหน้าเล่นตากับเย้นหว่าน “พี่สะใภ้ สู้ๆนะครับ”
ถ้าโดนอีกครั้ง เย้นหว่านกลัวว่าชีวิตนี้คงไม่กล้าสู้หน้าใครอีก
หล่อนหยิบลูกเต๋ามาด้วยความลังเลใจ ยังรู้สึกกลัวกลับเรื่องเมื่อครู่ ไม่กล้าเขย่าตามอำเภอใจแล้ว
ดูเหมือนโห้หลีเฉินจะอ่านใจหล่อนออก เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย กระซิบข้างหูหล่อน
“สบายใจได้ มีผมอยู่”
เสียงแหบแห้งอันแผ่วเบาของเขา ทำให้เย้นหว่านรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
แม้ว่าใบหน้าหล่อนจะร้อนผ่าวมากขึ้น แต่ในใจหล่อนกับรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
ณ เวลาตีสอง
พวกเขาเล่นกันจนเหนื่อย ดื่มกันเมาจนมึนงง จนสุดท้ายทุกคนต่างเลิกราแยกย้ายกัน
เย้นหว่านเพิ่งหยิบกระเป๋าลุกขึ้นยืน ฉินฉู่หยุดอยู่ตรงหน้าหล่อน
“พี่สะใภ้ หลีเฉินดื่มไปเยอะ ขับรถไม่ได้ พี่ไปส่งเขาเถอะนะ พวกเราดื่มกันหมดทุกคน ไม่สะดวกไปส่งเช่นกัน”
“ฉัน?”
เย้นหว่านตกใจตะลึง มองไปที่ฝ่ายชายที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม คืนนี้เขาดื่มไปเยอะจริงๆ หล่อนเล่นเกมส์โดนลงโทษให้ดื่ม เขาก็ช่วยดื่มแทนหล่อนตลอด
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว นั่งพิงโซฟา ปิดตาลง
เย้นหว่านรู้สึกผิดขึ้นมา จากนั้นจึงเริ่มรู้สึกสงสัย “เว่ยชีล่ะ? เว่ยชีขับรถให้โห้หลีเฉินตลอดไม่ใช่เหรอ?”
“เว่ยชีเลิกงานแล้ว นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว”
ฉินฉู่พูดอย่างสมเหตุสมผล
เย้นหว่านครุ่นคิดไปมา หันไปมองกู้จื่อเฟย
ใบหน้าของหล่อนแดงเล็กน้อย ดื่มจนมึนเมา เมื่อเห็นเย้นหว่านมองมาที่หล่อน จึงยิ้มให้
“พ่อฉันให้คนขับรถที่บริษัทมารับฉัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เธอไปส่งคุณโห้ได้ตามสบาย”
เย้นหว่านหมดความกังวล จากนั้นหันไปมองผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้าง
พูดเรียกเขาเบาๆ “คุณโห้ไปกันได้แล้วค่ะ เดี๋ยวฉันไปส่งคุณนะ”
ภายใต้แสงสีในผับ ทำให้ใบหน้าอันคมเข้มของโห้หลีเฉินดูหล่อมากยิ่งขึ้น
เขาค่อยๆลืมตาขึ้น มองไปที่ฉินฉู่แวบหนึ่ง
ราวกับรู้สึกหวาดผวาอะไรบางอย่าง ฉินฉู่ลูบจมูกไปมา
โห้หลีเฉินไม่พูดอะไร ลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินออกจากผับไป
เขาเดินด้วยความนิ่ง รูปร่างสูงใหญ่ของเขาช่างชวนสะกดสายตาของผู้คน
ดูไปแล้ว เขาก็ไม่ได้เมา ก็แค่ไปส่งเขากลับบ้าน แบบนี้ก็สะดวกดี
เย้นหว่านถือกระเป๋า รีบเดินตามเขาไป
เมื่อเห็นว่าโห้หลีเฉินเดินออกไปไกลแล้ว ฉินฉู่จึงล้มตัวลงกลับไปนั่งบนโซฟาอีกครั้ง ยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
กู้จื่อเฟยหันไปมองเขา รู้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร “เมื่อครู่ฉันได้ยินนายโทรหาเว่ยชี ให้เขากลับไปก่อน”
ฉินฉู่ตกใจ คิดไม่ถึง
จากนั้นเขายิ้มให้กู้จื่อเฟยด้วยความเจ้าเล่ห์ “ถ้าฉันเดาไม่ผิด คนขับรถที่บริษัทเธอก็ไม่ได้มาที่นี่เช่นกัน”
“เหมือนกันนั่นแหละ ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกัน”
กู้จื่อเฟยลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินโซซัดโซเซออกไปข้างนอก
ฉินฉู่หยิบเสื้อคลุมขึ้น เดินตามไป “ฉันไปส่งเธอเอง”
เย้นหว่านขับรถของโห้หลีเฉินไปส่งถึงบ้านในกลุ่มวิลล่าส้ายน่า
หลังจากลงจากรถ กลับไม่เห็นโห้หลีเฉินตามลงมา หล่อนจึงเดินอ้อมไปยังที่นั่งข้างคนขับ ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ เวียนหัวรึเปล่า?”
“อื้ม เวียนหัว”
สายตาของโห้หลีเฉินมองไปที่เย้นหว่านอย่างมีเลศนัย
เย้นหว่านลังเลอยู่สักพัก จึงลองถามเขาขึ้น “ให้ฉันช่วยพยุงไหมคะ?”
“โอเค”
เย้นหว่านตะลึง “…”
หล่อนเพียงแค่ถามเป็นมารยาทเท่านั้น ทำไมเขาถึงได้ตอบรับง่ายขนาดนี้? เขาคงรู้สึกไม่สบายมากจริงๆ
เย้นหว่านไม่คิดอะไรมาก จึงเปิดประตูรถออก ค่อยๆพยุงโห้หลีเฉินออกมา
แขนของเขาพาดอยู่บนไหล่ของหล่อน ตัวของเขากดทับบนตัวหล่อน แต่ความหนักกำลังพอดีกับแรงที่หล่อนรับไหว
ดูผ่านๆ เหมือนเขากำลังกอดหล่อนอย่างใกล้ชิดสนิทสนม
เย้นหว่านใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย วางตัวไม่ถูก คอยพูดปลอบตัวเองในใจให้คิดเพียงว่าช่วยพยุงคนเมาคนหนึ่ง
เมื่อเดินถึงหน้าประตู หล่อนเห็นประตูดิจิตอล จึงถามขึ้น
“คุณโห้รบกวนช่วยเปิดประตูให้หน่อยค่ะ”
โห้หลีเฉินยกมือขึ้น สแกนนิ้ว จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก
เย้นหว่านกำลังจะเปิดประตูออก แต่มือของหล่อนกลับถูกโห้หลีเฉินจับไว้ จากนั้นดึงนิ้วหล่อนกดลงไปที่สแกนนิ้ว
เสียงระบบสแกนนิ้วดังขึ้น ‘สแกนลายนิ้วมือสำเร็จ’
“คุณสแกนลายนิ้วมือฉันไว้ทำไม?”
เย้นหว่านตกใจมาก
โห้หลีเฉินพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่มีเหตุผล “ต่อไปจะได้สะดวกขึ้นไง”
สะดวก? สะดวกอะไรกัน นอกจากว่าหล่อนจะมาที่นี่บ่อยๆ……
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย้นหว่านเริ่มใจเต้นแรงอีกครั้ง กระวนกระวายใจคิดไม่ตก
หล่อนไม่กล้าคิดไปไกล จึงรีบผลักประตูเข้าไป จากนั้นค่อยๆปล่อยโห้หลีเฉิน
“คุณโห้ฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณรีบพักผ่อนนะ”
หลังจากหล่อนพูดจบ จึงหันหลังเดินออกไป
โห้หลีเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย ยื่นมือออกไปจับข้อมือของหล่อนไว้
เขามองไปที่หล่อนด้วยสายตาสุดแสนลึกซึ้ง
“เย้นหว่าน ต่อไปคุณอย่าตีตัวออกห่างจากผมแล้วนะ”
เย้นหว่านตกใจหยุดชะงัก เขา….เขาหมายความว่าอย่างไรกัน?
สายตาของฝ่ายชายมองหล่อนจนแทบจะกลืนกินเข้าไป เย้นหว่านหัวใจเต้นแรงระรัว หวาดกลัวจนตัวสั่น
หล่อนรีบพูดขัดขึ้น “เปล่า ฉันไม่ได้ตีตัวออกห่างคุณ”
“งั้นเหรอ?”
โห้หลีเฉินจ้องมองไปที่หล่อน ด้วยท่าทางไม่เชื่อ
ร่างสูงใหญ่ของเขา ใบหน้าอันหล่อเหลา เข้ามาประชิดหล่อน